A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2033 จิตสังหารเจ็ดพิฆาตและแมลงมารกระดูกดำ
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2033 จิตสังหารเจ็ดพิฆาตและแมลงมารกระดูกดำ
เจ้าเมืองเซวี่ยยาสีหน้าตกใจและโกรธเกรี้ยว ร่างกายสั่นเทิ้มเบาๆ ไม่หยุด พยายามที่จะหลบแสงสีทองนั้น แต่จิตสัมผัสถูกวังวนสีเงินนั้นดึงเอาไว้ การเคลื่อนไหวจึงช้ากว่าปกติไปหลายส่วน
เสียงดัง ‘ตึง’
แสงสีทองฟาดไปบริเวณลำคอของเจ้าเมืองเซวี่ยยา ทันใดนั้นแสงสีเลือดก็ปะทุออกมา แล้วถูกดีดออกไปยังง่ายดาย
และท่ามกลางแสงสีเลือดมีแผ่นหยกสีแดงดั่งโลหิตแผ่นหนึ่งปรากฏอยู่รำไร ยืดหดสว่างมืดสลับกันไม่หยุด
เจ้าเมืองเซวี่ยยาผู้นี้ครอบครองอาวุธมารชั้นสูงที่สามารถสั่งการปกป้องได้ด้วยตนเอง ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้สามารถป้องกันการโจมตีเอาชีวิตของแสงสีทองได้
แต่ด้วยเหตุนี้ เจ้าเมืองเซวี่ยยาเองก็ยังเหงื่อแตกไปทั่วทั้งตัว ร้องออกมาเสียงดัง บนผิวกายมีลมสีเลือดพัดโบก จิตสัมผัสถูกดึงกลับมาโดยทันที พร้อมกันนั้นเงาร่างก็ขยับไหวหายลับไปทันที แล้วปรากฏอยู่บนก้อนหินขนาดยักษ์อีกก้อนหนึ่งซึ่งไกลออกไปนับสิบจั้ง
แสงสีทองสายนั้นส่งเสียงหวีดแหลม เปล่งแสงแล้วตามไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลานั้นเอง ผู้เฒ่าดวงตาสีเงินก็ตั้งตัวได้ อ้าปากคายหัวอสูรดำสนิทหัวหนึ่งออกมาทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แสงสีเลือดที่พ่นออกจากปากปะทะเข้าด้วยกันกับแสงสีทอง
และในเวลานั้น อีกฝั่งหนึ่งก็มีเสียงดังกึกก้องแว่วมา
หยางรองถูกมืออสูรโจมตีจนเซล้มตีลังกา แต่ดูเหมือนจะมีสมบัติวิเศษประหลาดบางอย่างคุ้มกันกายเช่นกัน ผิวกายวาบแสงสีเงินออกมาชั้นหนึ่ง ทันใดนั้นก็กลายสภาพเป็นเงาเจ็ดแปดร่างพุ่งออกไปทุกทิศ และหลุดรอดจากการโจมตีของมืออสูร
เสียงถอนหายใจเสียงหนึ่งแว่วมา!
บริเวณที่หยางรองยืนอยู่เริ่มกระเพื่อม แสงสีดำเจ็ดแปดร่างผุดออกมาจากความว่างเปล่า พุ่งออกไปยังทิศทางที่เงาร่างนั้นไป ตามด้วยไอสีดำสายหนึ่งม้วนตัวปรากฏขึ้น ในนั้นมีร่างคนในชุดคลุมสีดำผู้หนึ่งยืนอยู่ กำลังชักฝ่ามือข้างหนึ่งกลับ
ใบหน้าคนผู้นั้นขาวซีดยากจะเปรียบเปรย แต่ว่าหน้าตานั้นเหมือนกับเจ้าเมืองเซวี่ยยาแทบจะเป็นคนคนเดียวกัน ราวกับเป็นพี่น้องฝาแฝด
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
เงาร่างที่หลบหนีของชายวัยกลางคน ส่วนใหญ่ถูกแสงสีดำแทงทะลุจนแตกสลาย มีเพียงเงาจำแลงร่างหนึ่งที่ทันใดนั้นก็คายแสงสีเขียวออกไปด้านหลัง รวมเข้ากับแสงสีดำด้านหลังกลายเป็นแสงวิญญาณรูปหนึ่งแล้วดับไป
เงาจำแลงเลือนรางวูบไหวชั่วครู่ แล้วยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายกลับมาชัดเจนเหมือนตอนแรกอีกครั้ง แต่มองไปยังเงาร่างที่อยู่ในไอสีดำนั้นด้วยสายตาเยือกเย็น
“ร่างอวตาร! ข้าก็ว่าทำไมระดับการบำเพ็ญเพียรของสหายปิ่งหลายปีมานี้ไม่พัฒนาขึ้น ที่แท้ก็มัวแต่ทุ่มเทบำเพ็ญฝึกฝนร่างที่สองนี่เอง”
“หากไม่มีตัวช่วยนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะตามเจ้ามาที่นี่หรือ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าก็เรียกสหายที่ซ่อนตัวของเจ้าออกมาเสียสิ คลังสมบัติชีหลิงถูกกำหนดไว้แล้วว่ามีเพียงไม่ข้าก็เจ้าหนึ่งคนเท่านั้นที่จะได้ ไม่อาจแบ่งสวนอย่างเท่าเทียมใด” เจ้าเมืองเซวี่ยยามองไปยังแสงสีทองลูกนั้น แล้วเลื่อนสายตาลงต่ำพลางพูดขึ้นช้าๆ
“ฮึ ในเมื่อถึงขั้นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรที่จะพูดอีก พี่ยา เจ้าปรากฏตัวเถอะ ในเมื่อเขามีร่างที่สอง แต่เมื่อเทียบกับร่างจริงนั้นระดับการบำเพ็ญเพียรยังห่างชั้น เจ้ากับข้าวร่วมมือกันยังพอมีหวัง” ดวงตาหยางรองฉายแววเหี้ยมโหด แล้วพูดขึ้นโดยไม่ปิดบังอะไรอีก
“รู้แต่แรกแล้วว่าคลังสมบัติชีหลิงนั้นยากจะได้มาโดยง่าย เพราะอย่างไรเสียในปีนั้นสหายปิ่งก็สามารถเล็ดลอดสายตาของสมหาสมุทรเหลยไห่และภูเขาเทียนฝางออกมาได้ ทั้งยังขโมยอิฐศักดิ์สิทธิ์สำเร็จ” แสงสีทองสายนั้นดีดออกสู่ความว่างเปล่า จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
จากนั้นแสงสีทองก็ส่องกะพริบ ชายอัปลักษณ์เปลือยเท้าร่างกายสูงใหญ่ผู้หนึ่งทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ชายผู้นี้สองมือว่างเปล่า แต่สะพายน้ำเต้าสีทองขนาดใหญ่ครึ่งตัวคนไว้บนหลัง แล้วมองไปยังเจ้าเมืองเซวี่ยยาด้วยสายตาอมยิ้ม
“จอมมารน้ำเต้าทอง” เมื่อเจ้าเมืองเซวี่ยยาเห็นใบหน้าของชายอัปลักษณ์และน้ำเต้าทองคำขนาดยักษ์นั่นชัดเจนแล้ว ก็เอ่ยชื่อของอีกฝ่ายออกมาด้วยสีหน้าตะลึงเล็กน้อย
“คิดไม่ถึงว่า คนไร้ชื่อเสียงอย่างผู้น้อย จะเคยได้ยินผ่านหูสหายมาด้วย ข้าได้ยินกิตติศัพท์ของสหายปิ่งมานานแล้ว วันนี้ได้ปะทะฝีมือ นับว่าสมใจแล้ว” จอมมารน้ำเต้าทองยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นพลางประสานมือคำนับ
จอมมารผู้นี้ดูท่าทีกักขฬะหยาบกร้าน แต่วาจานั้นไพเราะมีมารยาท ไม่เห็นถึงความป่าเถื่อน ท่าทีประหนึ่งผู้สูงส่งแห่งแดนลับแล
“ก็ดี วันนี้ขอเพียงสังหารพวกเจ้าทั้งสองคน คลังสมบัติชีหลิงนี้ก็ถือว่าเป็นของข้าแล้ว ไม่เสียแรงที่ข้าวางแผนอย่างยากลำบากมาหลายร้อยปีเพียงเพื่อวันนี้”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน” หยางรองได้ยินก็ตะลึง ความระแวดระวังตัวผุดขึ้นกลางใจ
ชายอัปลักษณ์เมื่อได้ยิน แววตาก็เผยความประหลาดใจ
เจ้าเมืองเซวี่ยยากลับหัวเราะแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่เอาฝ่ามือทั้งสองข้างตบไปที่เอวทั้งสองข้างพร้อมกัน
เสียงดังขึ้น ‘พรึ่บ’ ถุงหนังดำหนึ่งแดงหนึ่งสองถุงลอยออกมาพร้อมกัน แล้วหมุนกลับเอาปากถุงลง แสงรำไรสีเลือดสายหนึ่งและกลุ่มแมลงสีดำราวกับก้อนเมฆฝูงหนึ่งทันใดนั้นก็กรูกันออกมา
แสงโลหิตอาจจะดูธรรมดา แต่สีเลือดนั้นเมื่อแบ่งตามระดับความเข้มข้นของเฉดสีที่แตกต่างกันแล้ว แยกได้เจ็ดชั้น และส่งเสียงหึ่งๆ ระงมฟังน่าประหลาดออกมา
ส่วนแมลงมารที่ขนาดใหญ่ราวกับหัวแม่โป้งในเมฆแมลงเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ดำสนิทไปทั้งตัว กว่าครึ่งตัวบนหลังมีลวดลายสีขาว ประกอบกันเป็นรูปร่างคล้ายหัวกะโหลก ดูหน้าหวาดกลัวยิ่งนัก
“ไม่ได้การแล้ว นั่นคือจิตสังหารเจ็ดพิฆาตและแมลงมารกระดูกดำ สหายหยาง พวกเรารีบถอยก่อน” จอมมารน้ำเต้าทองที่สีหน้านิ่งเฉยในตอนแรกเมื่อได้เห็นกลุ่มก้อนเมฆแมลงก็หลุดเสียงร้องออกมาทันที จากนั้นก็พลิกฝ่ามือตบไปคราหนึ่ง น้ำเต้าทองคำบนหลังทันใดนั้นก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า กลายเป็นแสงสีทองห่อหุ้มเขาเอาไว้ ส่งเสียงคำรามก้องแล้วพุ่งถอยออกไป
หยางรองที่อยู่อีกฝั่งเมื่อเห็นแสงโลหิตและเมฆแมลงสีดำที่พุ่งมา ก็ตกใจทันทีเช่นกัน รู้ตัวทันทีว่าครั้งนี้ผิดแผนเสียแล้ว ดูเบาเจ้าเมืองเซวี่ยยาผู้นี้ไปเล็กน้อย จึงสะบัดแขนเสื้อทันทีโดยไม่พูดอะไร เปลวไฟสีเขียวลูกหนึ่งม้วนพุ่งออกมาใต้ฝ่าเท้า แล้วพุ่งออกไปอีกทางหนึ่งเช่นกัน
ทั้งสองคนเกรงกลัวแสงโลหิตและเมฆแมลงสีดำอย่างมาก รีบหนีเอาตัวรอดทันทีโดยไม่คิดอะไรทันที
“คิดจะหนีตอนนี้ ไม่รู้สึกว่าสายเกินไปหน่อยหรือ! ข้าอยู่ที่เมืองเซวี่ยยาแห่งนี้มาหลายปี ถึงจะฝึกฝนทั้งสองอย่างนี้ออกมาได้ กำลังอยากให้สหายทั้งสองท่านทดลองเสียหน่อยพอดี” เจ้าเมืองเซวี่ยยาพูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง มือทั้งสองข้างร่ายอาคม แสงโลหิตและเมฆแมลงก็แยกกันตามไปติดๆ ความเร็วดูเหมือนยังเหนือกว่ามารทั้งสองตนนั้นไปอีกขั้น
หยางรองและจอมมารน้ำเต้าทองเองย่อมสังเกตเห็นถึงจุดนี้ ด้วยความตื่นตระหนก ต่างพ่นเลือดสดออกมาซึมแทรกไปในแสงหลีกหนีตัวเอง แล้วแยกร่างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เจ้าเมื่องเซวี่ยยาเห็นเช่นนั้น สีหน้าพลันบึ้งตึง และร่างกายก็สั่นไหว กลายร่างเป็นแสงสีเทาแยกกันพุ่งออกไป กะพริบอยู่สองสามที จากนั้นก็พุ่งเข้าซึมแทรกลงไปในจิตสังหารเจ็ดพิฆาตข้างหน้า
จากนั้นร่างทั้งสองก็เลือนราง แสงรำไรสีเลือดหลายชั้นแผ่ออกมาจากผิวกาย ทั่วทั้งตัวหลอมหายไปในแสงสว่าง
จิตสังหารที่ตอนแรกมีความเร็วสูงอยู่แล้วก็สั่นสะท้าน ส่งเสียงดังกึกก้อง ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพียงกะพริบไม่กี่ที ก็ตามคนทั้งสองที่กำลังหนีอยู่ด้านหน้าไปจนทัน แล้วเลี้ยวกลับมาดักด้านหน้า
แสงโลหิตแยกออก เจ้าเมืองเซวี่ยยาและเงาจำแลงร่างนั้นก็ปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง พร้อมส่งยิ้มอย่างโหดเหี้ยมไปยังทั้งสอง
หยางรองที่อยู่ในแสงหลีกหนีเห็นเช่นนั้น ก็ตื่นตะลึงหยุดลงทันที แล้วหันกลับมาอย่างร้อนรน
เห็นเมฆแมลงลอยม้วนตามหลังมาใกล้เต็มที ล้อมหน้าและหลังพวกเขาไว้ตรงกลางมันและจิตสังหารเจ็ดพิฆาตพอดี
“ก็ได้ ถือว่าเจ้าชนะ ขอเพียงปล่อยพวกข้าสองคน อิฐศักดิ์สิทธิ์ก้อนสุดท้ายนี้ข้าก็มอบให้เจ้าแล้วกัน” หยางรองก็นับว่าเป็นคนที่เด็ดขาดมากกว่าใครทีเดียวคนหนึ่ง คิดเพียงชั่ววินาที ก็ตะโกนร้องบอกผู้เฒ่าดวงตาสีเงินอย่างรีบร้อน
“ได้ เจ้าเอาอิฐศักดิ์สิทธิ์มา ให้ข้าตรวจสอบดูก่อนว่าเป็นของจริงหรือปลอม แล้วข้าค่อยไว้ชีวิตพวกเจ้า” เจ้าเมืองเซวี่ยยาพูดขึ้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ในเวลานี้เมฆแมลงที่พวยพุ่งมาจากด้านหลังกำลังลอยม้วน รวมเข้ากับจิตสังหารด้านหน้ากลายเป็นวงล้อมขนาดมหึมาวงหนึ่ง ล้อมหยางรองและจอมมารน้ำเต้าทองไว้ตรงกลางพอดีอย่างไร้ช่องโหว่
ผู้เฒ่าตาสีเงินตอบรับชัดเจนเช่นนี้ กลับทำให้หยางรองรู้สึกอึ้งและลังเลใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ก่อนจะเอาอิฐศักดิ์สิทธิ์ให้เจ้า ขอให้สหายปฏิญาณสัญญาจิตมาร แล้วลงนามในสัญญาเลือดที่ใต้เท้าบรรพชนโลหิตทำขึ้นเองก่อน” แววตาหยางรองฉายแววยินดีขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด
“ได้ แต่ก่อนหน้านั้น ข้าเองก็ต้องตรวจสอบดูก่อนว่าพวกเจ้าเอาอิฐศักดิ์สิทธิ์ก้อนนั้นติดตัวมาด้วยหรือไม่ หาไม่แล้วข้าก็จะทำลายพวกเจ้าให้สิ้นซาก แล้วจะใช้อาคมสูบวิญญาณหาดูว่าอิฐศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ไหน” ชาวเมืองเซวี่ยยาพูดเสียงเรียบ
“พี่จิน เจ้าว่า…” หยางรองได้ยิน สีหน้าก็บึ้งตึงสับสน หันหน้าไปถามเพื่อน
“อืม เอาอิฐศักดิ์สิทธิ์ให้สหายปิ่งดูก็ได้ แต่หากกล้าสั่งให้จิตสังหารและเมฆแมลงโจมตีละก็ จงทำลายอิฐศักดิ์สิทธิ์นี้ทันที” ชายอัปลักษณ์หรี่ตาทั้งคู่ลงครู่หนึ่ง แล้วพูดตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
จอมมารน้ำเต้าทองผู้นี้จับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ถี่ถ้วนระแวดระวัง
“พี่จินพูดมีเหตุผล เช่นนั้นข้าก็จะเอาอิฐศักดิ์สิทธิ์ของจริงให้พี่ปิ่งดูแล้วกัน แต่สหายปิ่งต้องใช้วิชาลับที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ตรวจสอบแต่ไกลๆ เท่านั้น” หยางรองกลอกตา พลางแสดงท่าทีเห็นพ้องด้วยความยินดี แล้วพูดเสียงดังไปยังเจ้าเมืองเซวี่ยยาที่อยู่ไกลออกไป
“ย่อมได้ ขอเพียงอิฐศักดิ์สิทธิ์เป็นของจริง ข้าก็จะลงนามในสัญญาเลือดและปฏิญาณสัญญาจิตมาร” เจ้าเมืองเซวี่ยยาพูดตอบด้วยสีหน้านิ่งเฉย
หยางรองพยักหน้ารับ ทันทีที่อ้าปาก ไอสีดำสายหนึ่งก็ถูกคายออกมา
กลางไอสีดำมีวัตถุหนึ่งปรากฏอยู่รำไรขยายตัวออก แล้วกลายเป็นกล่องไม้สีเขียวยาวครึ่งฉื่อหนึ่งใบ
หยางรองใช้มือข้างหนึ่งตบไปที่หีบ ฝาก็กระเด็นขึ้น ก้อนอิฐผลึกที่เหมือนกับก่อนหน้านี้ราวกับเป็นอันเดียวกันก็ลอยออกมาในทันที
“นี่ก็คืออิฐศักดิ์สิทธิ์ของจริงก้อนที่สี่ หากสหายปิ่งต้องการละก็…” หยางรองยกมุมปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับผู้เฒ่าดวงตาสีเงินที่อยู่ห่างออกไป
แต่ในเวลานั้นเอง ความว่างเปล่าที่อยู่ด้านหน้าตัวเขาก็แยกออก ฝ่ามือสีทองข้างหนึ่งยื่นออกมาอย่างไม่รีบร้อน แล้วขวาก้อนอิฐผลึกที่เพิ่งจะลอยออกมาก็นั้นเอาไว้
“แย่แล้ว”
“รนหาที่ตาย”
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้า อยู่ในระยะประชิดกับหยางรองและจอมมารน้ำเต้าทองจนถึงกับอึ้ง จากนั้นก็โกรธจัดจนเริ่มออกมือพร้อมกันในทันที
ทันทีที่หยางรองอ้าปาก ศีรษะมารดำทะมึนจำนวนหนึ่งแถมด้วยรอยยิ้มอันประหลาดก็พุ่งตรงออกไปหาฝ่ามือทอง
จอมมารน้ำเต้าทองม้วนแขนเสื้อด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม กระบี่แสงสว่างจ้าตายาวกว่าสิบจั้งเล่มหนึ่งส่องสว่างฟันไปยังความว่างเปล่าด้านหน้า หมายจะฟันเจ้าของฝ่ามือมือและความว่างเปล่าที่เขาซ่อนตัวอยู่ให้ขาดจากกัน