A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2070 คู่ต่อสู้ที่คาดไม่ถึง
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2070 คู่ต่อสู้ที่คาดไม่ถึง
“บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามาร! ท่านเซียนกำลังล้อเล่นหรือ หากยอดเขาทรายเหล็กมีบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารนั่งบัญชาการอยู่จริง โลหิตเที่ยงแท้นี้ผู้แซ่หานไม่ต้องการแล้ว” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่หานคิดมากเกินไปแล้ว หากมีร่างเดิมของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารนั่งบัญชาการอยู่ที่ยอดเขาทรายเหล็ก ตระกูลหล่งและเผ่าวิญญาณจะเลือกเส้นทางทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวทำไมกัน คงหลบหลีกไปตั้งนานแล้ว จากที่น้องรู้ความจริงแล้วยอดเขาทรายเหล็กมีร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์นามว่าหลิงหยวนอยู่ตนหนึ่งเท่านั้น ดูเหมือนว่าร่างเดิมของเขาจะเคยได้รับการช่วยเหลือจากเผ่าปีกมรกต ถึงได้ให้ร่างแยกมานั่งบัญชาการอยู่ที่ยอดเขาทรายเหล็ก ปีนั้นสหายเคยสังหารร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งในสงครามที่เมืองเทวะสวรรค์ คิดดูแล้วการต่อกรกับร่างแยกร่างหนึ่งก็น่าจะไม่เป็นปัญหา และยิ่งไปกว่านั้นขอแค่พวกเราระมัดระวังในการเคลื่อนไหว ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลิงหยวนรู้” หญิงสาวสวมชุดขนนกกะพริบดวงตาคู่งามปริบๆ ขณะเอ่ย
“แค่ร่างแยกร่างหนึ่ง แต่ยังคงไม่ใช่สิ่งที่ต่อกรได้ง่ายๆ จากที่ข้ารู้ร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารและร่างเดิมมีการเหนี่ยวนำกันลับๆ และนี้ไม่เหมือนกับยามที่อยู่ในแดนวิญญาณ หากร่างเดิมบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลิงหยวนเองก็พักอยู่ไม่ไกลจากยอดเขาทรายเหล็ก เมื่อพวกเราไปยุ่งกับร่างแยก เกรงว่าร่างเดิมของเขาคงมาถึงอย่างรวดเร็ว อันตรายมาเกินไปหน่อย!” หลังจากที่หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปสองสามคราก็ยังสั่นศีรษะ
“พี่หานวางใจ ในเมื่อน้องคิดจะทำเช่นนี้ จะไม่สืบข่าวคราวมาก่อนได้อย่างไร จากข่าวที่ข้ารวบรวมมา ร่างเดิมของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลิงหยวนไม่เพียงอาศัยอยู่ห่างไกลมาก ยังกักตนปิดตายมาเป็นหมื่นปีแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารผู้นี้ก็เคยมีร่างแยกเพลี่ยงพล้ำ แต่ร่างเดิมไม่เคยปรากฏตัว แม้กระทั่งมีข่าวลือว่าร่างเดิมของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลิงหยวนผู้นี้เพลี่ยงพล้ำไปแล้ว ยามนี้เหลือแค่ร่างแยกสองสามร่างที่เคลื่อนไหวไปมาเท่านั้น แน่นอนว่าข่าวนี้จะเป็นความจริงหรือเท็จ คนทั่วไปย่อมไม่อาจพิสูจน์ได้ ไม่มีผู้ใดกล้ารบกวนการกักตนฝึกบำเพ็ญเพียรของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่ง ทว่าเช่นนั้นพี่หานเองก็ไม่ต้องกังวลว่าร่างเดิมของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลิงหยวนจะลงมือขอแค่ต่อกรกับร่างแยกที่นั่งบัญชาการอยู่ที่ยอดเขาทรายเหล็กได้ก็พอแล้ว” หญิงสาวสวมชุดขนนกเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“หากเป็นเช่นนั้นละก็ ก็เป็นแผนที่ใช้ได้ ทว่าสาเหตุที่ข้าสังหารร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ได้ในแดนวิญญาณ ก็เพราะตอนนั้นสหายท่านอื่นคอยช่วยอยู่ด้านข้าง มิเช่นนั้นอาศัยเพียงข้าคนเดียวก็ยังมีกำลังไม่พอ” หานลี่ถึงได้เอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
จุดนี้น้องย่อมรู้ดี ดังนั้นก่อนที่ข้าจะออกเดินทางจากแดนวิญญาณ ก็ได้ไปหาเพื่อนสนิทมาคนหนึ่งแล้วยืมสมบัติวิเศษ ‘ไข่มุกเกลื่อนฟ้า’ มาสมบัติที่ใช้แล้วหมดไปชิ้นนี้ไม่มีประสิทธิภาพอื่น แต่หากสำแดงออกมา กลับสามารถสร้างอีกโลกหนึ่งได้ ขอแค่สหายรั้งร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารไว้ ข้าก็สามารถอาศัยพลังของสมบัติชิ้นนี้กระตุ้นเคล็ดวิชาลับของตระกูลเยี่ยก็สามารถกักเขาเอาไว้ได้ครึ่งวันแล้ว หากมีเวลานานขนาดนั้นเจ้ากับข้าก็หนีได้สบายๆ แล้ว ขอแค่พวกเราไม่เปิดเผยฐานะเผ่ามนุษย์ ข้าก็ไม่เชื่อว่าร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลิงหยวนจะไล่ตามโลหิตเที่ยงแท้นี้อย่างไม่ลดละจริงๆ” หญิงสาวสวมชุดนกเอ่ยอย่างมีแผนการ
“อืม ดูแล้วท่านเซียนเยี่ยคงคิดแผนการมาตั้งนานแล้ว ในเมื่อขอแค่พัวพันชั่วครู่ ผู้แซ่หานย่อมไม่มีปัญหาอันใด ข้าน้อยมั่นใจว่าทำได้” หานลี่ถอนหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง และเผยสีหน้าพึงพอใจออกมาพลางพยักหน้า
ในที่สุดหญิงสาวสวมชุดขนนกเห็นหานลี่ไม่ได้กังวลย่อมรู้สึกผ่อนคลายลง ใบหน้างดงามดุจดอกไม้
แม้ว่าเพื่อเรื่องนี้นางเริ่มคิดแผนการเริ่มต้นที่แดนวิญญาณ แต่หากหานลี่ไม่ยอมช่วยจริงๆ นางคนเดียวก็ไม่อาจนำโลหิตหงส์มรกตมาอย่างราบรื่นได้ นี่เพิ่งเริ่มต้น ก็เอาของมูลค่ามหาศาลมาเชิญหานลี่ให้ลงมือแล้ว
จากนี้ทั้งสองก็อยู่ในสำเภาเหาะแล้วเริ่มพิจารณาแผนการอย่างละเอียด
หลังจากนั้นไม่นานก็ตามสำเภาเหาะพุ่งไปกลางอากาศ บนพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปมีเส้นสีเหลืองปรากฏขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นดินสีเหลืองอย่างช้าๆ
ดูแล้วราบเรียบเป็นอย่างมาก มองปราดเดียวไม่อาจมองเห็นปลายทางได้
สำเภาเหาะเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นเหนือเนินดิน ตรงที่หญิงสาวสวมชุดขนนกและหานลี่กำลังพูดคุยกันอยู่ ฉับพลันนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีกวาดสายตามองไปยังด้านนอกหน้าต่าง
“อันใด พี่หานพบอันใดหรือ” หญิงสาวสวมชุดขนนกพลันตกตะลึง อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ และในเวลาเดียวกันที่แผ่จิตสัมผัสออกมากวาดไปกลางอากาศบริเวณรอบด้วยความระมัดระวัง
“ไม่เป็นไร แค่พบว่าใต้ดินด้านล่างมีอสูรมารระดับต่ำซ่อนอยู่ มันสามารถกลืนกลิ่นอายของมันกับบริเวณรอบๆ ได้ แม้แต่ข้าเองก็ยังหาไม่พบจนเกือบจะถูกตบตา” หานลี่ชักสายตากลับมาแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“อ๋อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย! ทว่านั่นก็ไม่แปลก สภาพแวดล้อมขอแดนมารเลวร้ายกว่าแดนวิญญาณ อสูรมารระดับต่ำล้วนมีพรสวรรค์ในการรักษาชีวิต มิเช่นนั้นคงถูกอสูรมารระดับสูงเหล่านี้สังหารไปจนเกลี้ยงแล้ว” หญิงสาวกลับตอบกลับด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
หานลี่พยักหน้ายังไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
ยามนี้สำเภาเหาะเปล่งแสงสว่างวาบมาอยู่บนเนินดินด้านล่าง แล้วโคลนพลันแยกออก อสูรมารขนาดสองสามฉื่อราวกับเม่นพลันปีนขึ้นมาจากด้านใน หนามแหลมสีเทาขาว แต่เหนือหัวกลับมีหนวดยาวสองสามเส้น ในเวลาเดียวกันดวงตาที่ปูดออกมาสองดวงกำลังจ้องเขม็งไปยังจุดที่สำเภาเหาะหายไป คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงสีแดงวาววับ ราวกับว่ามีสติสัมปชัญญะเป็นของตัวเอง
……
หนึ่งเดือนต่อมาบนที่ราบสูงดินสีเหลืองและภูเขาที่อยู่ติดกัน เมืองขนาดสิบลี้เศษแห่งหนึ่งได้สร้างหนองน้ำไว้บนพื้นดิน
รอบเมืองเล็กๆ ไม่มีกำแพงมีแค่แนวรั้วไม้สีเหลืองเรียงเป็นสัญลักษณ์อยู่รอบๆ เท่านั้น
เหนือเมืองเล็กๆ มีลำแสงหลีกหนีหลากสีสันพุ่งไปมาเป็นบางครั้งคราว บ้างก็พุ่งไปยังจุดที่ไกลออกไป บ้างก็ร่อนลงตรงจัตุรัสเล็กๆ ใจกลางเหมือง
แต่มุมรอบๆ ของเมืองกลับมีแท่นสูงสิบกว่าจั้งตั้งตระหง่านอยู่สองสามแท่น ด้านบนมีธงยักษ์เปล่งแสงสีดำมันวาว แผ่กลิ่นอายสีดำจางๆ ออกมา ปกคลุมทั้งแท่นเอาไว้ข้างใน
และด้านบนแท่นสูงเหล่านั้นมีผู้พิทักษ์เผ่ามารอยู่ประมาณสี่ห้าคน กำลังรักษาการณ์อยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
จากใจกลางจัตุรัส เมืองเล็กๆ มีถนนโค้งไปโค้งมาอยู่สองสามสาย สองฝั่งมีเผ่ามารมาเปิดร้านค้า หอสุราต่างๆ อยู่
เผ่ามารจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วนเข้าๆ ออกสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ด้วยอย่างคึกคัก
ในหอสุราที่ไม่สะดุดตาซึ่งอยู่ตรงขอบของจัตุรัสที่อยู่ห่างจากเมือง เผ่ามารสองตนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง พลางหลับตาทำสมาธิ
บนโต๊ะมีไหสุราสีเขียวมรกตวางอยู่ และจอกสุราสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกอีกสองจอก
ในจอกสุรามีกลิ่นสุราแรงๆ โชยมา สุราในั้นเป็นสีแดงก่ำราวกับสีอำพัน แค่มองก็รู้ว่าเป็นสุราดีที่หายาก
ทั้งโรงสุรานอกจากสองคนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผู้ใดอีก ราวกับว่าทั้งสองคนเหมาไปอย่างไรอย่างนั้น
“พวกเขาน่าจะใกล้มาถึงแล้ว” ชายร่างใหญ่คิ้วหนาหูทั้งสองมีต่างหูสีทองหนึ่งในนั้นเงยหน้าขึ้นมองไปยังใจกลางจัตุรัสสองสามแวบ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามสหายร่วมวิถี เผยท่าทางอดหมดความอดทนออกมา
“ตามข้อมูลของเจ้าตามาร ผู้ต้องสงสัยดูจะเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งออกจากทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ทว่าพอพวกเขาออกจากทะเลทรายก็แบ่งออกเป็นกลุ่มเล็กๆ แยกกันไปคนละเส้นทาง ที่พวกเราสองคนต้องต่อกรก็มีแค่สองคนเท่านั้น คำนวณจากการเดินทางแล้วก็น่าจะถึงในอีกสองวัน เมืองมังกรธรณีแห่งนี้เป็นที่พักเพียงแห่งเดียว ขอแค่พวกเขามาจากทางนี้ก็จะต้องมาหยุดพักที่เมืองแห่งนี้แน่” เผ่ามารที่อยู่ตรงข้ามเป็นนักพรตวัยกลางคนสวมชุดนักพรตใบหน้าสุขุมคนหนึ่ง ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นขณะเอ่ย
“หึ นั่นก็ไม่แน่ หากเป้าหมายไม่ต้องการหยุดพักแล้วบินผ่านไปเลย เจ้ากับข้าไม่มาเสียเที่ยวหรือ” ชายร่างใหญ่คิ้วหนากลับแค่นเสียงหึแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา
“หึๆ พี่ลั่ววางใจเถิด เมืองแห่งนี้อยู่ใกล้กับทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวมากที่สุด หากพวกเขาคือเป้าหมายจริงๆ น่าจะอยู่ในทะเลทรายมายี่สิบสามสิบปีแล้ว หากออกมาจะไม่หาที่ใกล้ๆ มาเสริมยาลูกกลอน ผลึกศิลา และของต่างๆ ที่สูญเสียไปได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ไม่หยุดพัก ก็ต้องหาข่าวคราวที่เกิดขึ้นช่วงนี้สักหน่อย พวกเขาจะต้องมาที่เมืองนี้แน่” นักพรตวัยกลางคนกลับตอบกลับพร้อมกับสั่นศีรษะ
“พี่เหลิ่งพูดถูก ข้ากลับไม่ค่อยเชื่อ” ชายร่างใหญ่ค้อนปะหลักปะเหลือก พลางเอ่ยอย่างไม่สมอารมณ์
“อ่อ เช่นนั้นพี่ลั่วจะพนันกับน้องหรือไม่” นักพรตวัยกลางคนกลับฉีกยิ้มแล้วถามย้อนกลับ
“เด็กอย่างเจ้าคิดจะพนันอันใด” ชายร่างใหญ่เลิกคิ้วหนานาเผยสีหน้าระแวดระวังขณะเอ่ยถาม
“การพนันครั้งนี้ เจ้ากับข้าต้องจ่ายค่าตอบแทนกันเป็นอย่างไร ค่าตอบแทนธุรกิจในครั้งนี้นับว่ามากมายแล้วมิเช่นนั้นพวกเราคงไม่มาปรากฏตัวที่นี่” นักพรตเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“พี่เหลิ่งกลับดีดลูกคิดที่สมปรารถนา* ข้าไม่พนันกับเจ้าหรอก หากเปลี่ยนวิธีการพนัน ผู้แซ่ลั่วก็พอสนใจอยู่บ้าง” ชายร่างใหญ่คิ้วหนาสั่นศีรษะระรัวราวกับตีกลอง และยิ่งไปกว่านั้นยังถลึงตาขณะเอ่ย
“เช่นนั้นสหายลั่วคิดจะพนันอะไร” นักพรตวัยกลางคนหยักมุมปากเล็กๆ แล้วเอ่ยด้วยถามพร้อมกับอมยิ้ม
“หากจะพนันก็ต้องพนันว่าเจ้ากับข้าจะผู้ใดจะทำให้เป้าหมายพ่ายแพ้ได้ก่อนเป็นอย่างไร” ชายร่างใหญ่กลอกตาไปมาขณะเอ่ย
“หึๆ ผู้แซ่เหลิ่งมั่นใจว่าจะอิทธิฤทธิ์ไม่ด้อยไปกว่าสหาย การพนันครั้งนี้ก็ช่างเถิด” นักพรตหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย
“เหตุใดพี่เหลิ่งถึงปฏิเสธไวเช่นนี้ ไม่แน่ว่าคู่ต่อสู้ของข้าอาจจะแข็งแกร่งกว่าคนที่เจ้าต้องต่อกรมากก็ได้!” ชายร่างใหญ่กลับเบะปากขณะเอ่ย
“ผู้แซ่เหลิ่งทำอะไรก็เชื่อเพียงตัวเองไม่เชื่อโชคชะตาอยู่แล้ว!” นักพรตตอบกลับอย่างราบเรียบ
“ฝึกฝนอยู่กับเจ้าในตำหนักมานานหลายปี เจ้าก็น่าเบื่อเช่นนี้ ทำอันใดก็ต้องมั่นใจ ไม่ยอมเสี่ยงเลยสักนิด” ชายร่างใหญ่สั่นศีรษะอีกครั้ง ท่าทางเบื่อหน่าย
นักพรตวัยกลางคนได้ยินคำนี้ก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา ยามที่กำลังคิดจะเอ่ยอันใดอีกนั้น ฉับพลันนั้นแววตาพลันเปล่งประกาย ชักสายตามองไปยังสำเภาเหาะสีดำที่ร่อนลงที่จัตุรัส
“ใช่แล้ว อาวุธมารเหาะเหินลำนั้น เหมือนกับในรูปภาพทุกระเบียบนี้!” ชายร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น สองมือกำหมัด เสียงฟ้าร้องเปรี๊ยะๆ ดังขึ้น
*ดีดลูกคิดที่สมปรารถนา หมายถึง คิดรอบคอบถี่ถ้วน มีแต่ทางได้ไม่มีทางเสีย