A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2072 การต่อสู้
ยามนี้หานลี่ไม่ได้ปิดบังกลิ่นอายระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายอีก สะบัดหัวไหล่ พลังแรงกดที่น่ากลัวแผ่ออกมากดร่างของชายร่างใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
จากพลังยุทธ์ที่น่ากลัวซึ่งเหนือกว่าระดับเดียวกันสองสามเท่า ประกอบกับเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ กลิ่นอายนี้ย่อมแข็งแกร่ง จนแทบจะทำให้ชายร่างใหญ่ที่อยู่ตรงข้ามสัมผัสได้เล็กๆ แล้วหน้าเปลี่ยนสีพุ่งออกไปสิบกว่าจั้งทันที พลางรีบปล่อยกลิ่นอายของตนออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นจอมมารระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง
แต่กลิ่นอายของเขากลับแปลกประหลาดยิ่ง คาดไม่ถึงว่าจะแฝงไว้ด้วยลำแสงสีเงิน!
ชายร่างใหญ่พลันตะลึงงัน รีบเอ่ยร้องเรียกนักพรตวัยกลางคนที่อยู่ด้านล่าง
“คนผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา ข้าคนเดียวเกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ พี่เหลิ่งเข้ามาพร้อมกันเถิด”
เอ่ยจบชายร่างใหญ่คิ้วหน้าก็ร้องคำรามต่ำๆ ออกมา เปียที่อยู่ด้านหลังลุกชัน ในเวลาเดียวกันมือหนึ่งก็ร่ายอาคม ผิวมีลำแสงสีเงินระยิบระยับ ร่างทั้งร่างราวกับเงินบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น
ในเวลาเดียกวันใบหน้าของชายร่างใหญ่ก็บิดเบี้ยว จมูกส่งเสียงแหลมสูงราวกับปากนกอินทรีออกมา ในเวลาเดียวกันศีรษะก็มีขนนกสีเงินงอกออกมา
“ร่างอสูรแปลง! ที่แท้สหายทั้งสองก็มีต้นกำเนิดมาจากอสูรแปลงกาย”
หานลี่เห็นฉากนี้ก็ร้องอุทานออกมา ใบหน้าเผยสีหน้าสนอกสนใจออกมา
จากทัศนียภาพที่เลวร้ายของแดนมารที่แย่กว่าแดนวิญญาณ อสูรมารแปลงกลายฝึกฝนจนกลายเป็นจอมมารย่อมแข็งแกร่งกว่าปีศาจบำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ในระดับเดียวกันมาก และไม่ใช่สิ่งที่เผ่ามารทั่วไปจะเทียบเทียมได้
มิน่าล่ะพวกเขาถึงกล้าขวางจอมมารเผ่ามารตนอื่นๆ ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
นักพรตวัยกลางคนที่อยู่ด้านล่างเห็นกลิ่นอายอันน่ากลัวที่หานลี่แผ่ออกมา ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากที่ในร่างส่งเสียงระเบิดเปรี๊ยะๆ ออกมา ร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้น กลับกลายเป็นมารหัวพยัคฆ์ร่างมนุษย์ตนหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบเล็กน้อย แล้วมาปรากฏอยู่ข้างกายของชายร่างใหญ่
“นายท่านไม่ธรรมดาดังคาด มิน่าล่ะถึงดูมีแผนการเช่นนี้ ร่างเดิมของข้าสองคนคืออสูรมาร แต่สหายพลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา เราสองคนจึงมีเพียงต้องร่วมมือกันสู้กับสหายแล้ว ทว่าสหายวางใจ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้อาตมาล้วนจะบอกเหตุผลของเรื่องนี้ตามความจริง” นักพรตวัยกลางคนที่กลายร่างเป็นมารแววตาฉายแววหวาดกลัว ปากก็เอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า
“ข้าน้อยขอขอบคุณ แต่ยามนี้ขอเชิญทั้งสองชี้แนะด้วย!” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่คิดเช่นนั้น กระตุ้นอาคมในมือ เทวรูปมารสีทองที่แผ่นหลังขยับแขนทั้งหก ชั่วขณะนั้นอาวุธมีดหนักอึ้งหกชิ้นพลันส่งเสียงกรีดร้องออกมา พลิ้วไหวแล้วมีลำแสงสีทองพุ่งออกมาจากด้านบน
ลำแสงสีทองหกสายผสานกันที่ตรงหน้า คาดไม่ถึงว่าจะผสานรวมกันกลายเป็นระลอกคลื่นลำแสงสีทองสูงสิบจั้งเศษ ม้วนวนแล้วกดไปที่มารสองตนอย่างดุดัน
คลื่นยักษ์ยังไม่ทันได้ม้วนไปหามารตนที่สอง บรรยากาศรอบๆ ก็ส่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ราวกับว่าบรรยากาศกว่าครึ่งถูกลำแสงสีทองกดลงมาจนพังทลายก็ไม่ปาน
“มาแล้วก็ดี!”
ชายร่างใหญ่คิ้วหนาพลันร้องด้วยเสียงประหลาดๆ ออกมา ผู้ที่กลายเป็นมนุษย์สีเงินกำหมดทั้งสองโจมตีไปที่ระลอกคลื่นยักษ์สีทองอย่างต่อเนื่อง
เสียงระเบิดสองเสียงดังขึ้น!
ชั่วพริบตาที่กำปั้นสีเงินโจมตีออกไป พลันเปล่งแสงสีเงินออกมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นรัศมีสีเงินขนาดเท่าล้อรถสองวง โจมตีไปที่ระลอกคลื่นยักษ์สีทองอย่างแรง ส่งเสียงกรีดร้องอึกทึกออกมา
ลำแสงสีทองและเงินตัดสลับกันไปมา ระลอกคลื่นสีทองครึ่งหนึ่งและรัศมีสีเงินสองกลุ่มเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป ระลอกคลื่นสีทองส่วนหลังกลับม้วนวนไปทางชายร่างใหญ่ต่ออย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
แต่ยามนี้นักพรตวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างกายชายร่างใหญ่กลับอ้าปากออกพ่นเปลวเพลิงสีเขียวออกมา
เสียง ‘พรึ่บ’ ดังขึ้น!
เปลวเพลิงสีเขียวขยายใหญ่ขึ้นสิบจั้งเศษ และกลายเป็นพยัคฆ์เพิงสีเขียวตัวหนึ่ง กระโจนเข้ามาอย่างดุดัน กรงเล็บเพลิงทั้งสองเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะฉีกระลอกคลื่นสีทองครึ่งท่อนออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็กระโจนลงมาอีกครั้ง หนีกลับไปอยู่ที่เหนือศีรษะของนักพรตวัยกลางคนอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนมีสติสัมปชัญญะอย่างไรอย่างนั้น
“สหายมีอิทธิฤทธิ์อย่างไร ก็สำแดงออกมาเถิด การหยั่งเชิงเช่นนี้ย่อมไม่คุ้มค่าเมื่อเราสองคนร่วมมือกัน อย่าเสียเวลาเลย!” ชายร่างใหญ่คิ้วหนาหัวเราะร่าขณะเอ่ย
นักพรตวัยกลางคนที่กลายเป็นมารหัวพยัคฆ์แววตาเปล่งประกาย และไม่ได้เอ่ยปากห้ามปรามอันใดสหายร่วมวิถี
“ก็ดี ในเมื่อสหายทั้งสองปรากฏร่างที่แท้จริงออกมา เช่นนั้นข้าน้อยก็จะใช้อิทธิฤทธิ์ที่แท้จริง ให้ชนะในกระบวนท่าเดียว” หานลี่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ตอบกลับพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
“เยี่ยมเช่นนั้นก็รับ ‘กระบี่หมื่นลวงตา’ ที่ผู้แซ่ลั่วเพิ่งเรียนรู้มาไปเสีย!” ชายร่างใหญ่ได้ยินพลันเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมา และใช้มือหนึ่งร่ายอาคม
แผ่นหลังมีเสียงอึกทึกดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีปีกสีเงินคู่หนึ่งปรากฏออกมา!
ปีกคู่นี้แค่กระพือ ขนนกจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมา และโต้ลมกลายเป็นกระบี่เล่มเล็กสีเงินความยาวสองสามชุ่นเป็นเล่มๆ เปล่งแสงสว่างวาบจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาเหนือหานลี่พลันมีเสียงกึกๆ ดังขึ้นไม่หยุด กระบี่ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วตัดสลับกันไปมา จนกลายเป็นเงาลวงตาของภูเขากระบี่ยักษ์สายหนึ่ง ห่อหุ้มหานลี่และรัศมีสองสามลี้เอาไว้ข้างใน
ดูแล้วน่ากลัวยิ่ง!
ส่วนนักพรตวัยกลางคนที่กลายเป็นมารหัวพยัคฆ์ตนนั้น ก็ร้องต่ำๆ โดยไม่พูดไม่จา เหนือศีรษะมีพยัคฆ์เพลิงสีเขียวหมอบอยู่ ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นเป็นสิบเท่า กลายเป็นสิ่งมหึมาความยาวร้อยจั้งเศษ และเงยหน้าขึ้นอ้าปากพ่นไปทางหานลี่
เสียงอึกทึกดังขึ้น!
เสาลำแสงสีเขียวขนาดเท่าตัวคนส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงแล้วพ่นออกมาจากปากของพยัคฆ์ยักษ์ เปล่งแสงสว่างวาบแล้ววาดไปกลางอากาศจนมาอยู่ตรงหน้าหานลี่ ท่าทางยิ่งใหญ่ราวกับว่าจะโจมตีทุกอย่างจนสลายหายไปได้
รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง มือเท้าไม่ขยับ เนตรมารที่สามตรงหว่างคิ้วของเทวรูปสามเศียรหกกรที่อยู่ด้านหลังกลับส่งเสียง ‘พรึ่บ’ ออกมา พ่นเส้นไหมสีดำเป็นมันวาวออกมา และโจมตีไปยังเสาลำแสงสีเขียวพร้อมกันอย่างแม่นยำไม่ผิดเพี้ยน
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏออกมา!
เส้นไหมสีดำบางราวกับเส้นไหม ชั่วพริบตาที่โจมตีไปยังเสาลำแสงหนานาคาดไม่ถึงว่าทั้งสองจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างเงียบเชียบ
นักพรตที่กลายเป็นมารมองเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกตกตะลึง
ยามนี้ภูเขากระบี่ยักษ์ที่อยู่กลางอากาศพลันมีกระบี่ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนแฝงอยู่ แล้วกดมาที่หานลี่ที่อยู่ด้านล่าง
หากถูกอิทธิฤทธิ์นี้โจมตีเข้าจริงๆ ต่อให้กายเนื้อของหาลี่แข็งแกร่งราวกับสมบัติวิเศษ กว่าครึ่งย่อมรู้สึกว่าไม่อาจกินแรงได้
แต่แววตาของหานลี่แค่เปล่งประกาย เทวรูปสามเศียรหกกรที่แผ่นหลังโยนอาวุธทั้งหกชิ้นในมือออกมาพร้อมกัน กลายเป็นลำแสงสีทองหกดวงส่งเสียงร้องราวกับฟ้าคำรามออกมาแล้วสับไปที่ภูเขากระบี่
จากนั้นฝ่ามือเทวรูปทั้งหกพลันกำหมัด แล้วโจมตีไปยังที่สูงกลางอากาศอย่างช้าๆ
ระลอกคลื่นปรากฏขึ้นใต้ภูเขากระบี่ อักขระยันต์สีทองจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันกลายเป็นระลอกคลื่นสีทองขนาดสองสามหมู่
หานลี่ใช้นิ้วชี้ๆ ไปที่ระลอกคลื่นกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นพลันหมุนคว้าง พลังมหาศาลที่ยากจะต้านทานทะลักออกมา
ชั่วพริบตากระบี่ลำแสงสีเงิน พลังไร้รูปร่างก็ปะทะเข้าด้วยกันในพริบตา
หลังจากที่เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น บรรยากาศทั้งหมดพลันสั่นคลอน ไอมารสีดำปรากฏขึ้นกลางอากาศ แล้วทะลักออกมาอย่างรุนแรง
“ลำแสงมารถ้ำน้ำวน!”
นักพรตวัยกลางคนเห็นฉากนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี แล้วร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
ชายร่างใหญ่คิ้วหนาที่อยู่รอบๆ พลันเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น เผยแววหวาดกลัวไม่อยากจะเชื่อออกมา
หานลี่ได้ยินมุมปากก็ขยับเล็กน้อย ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก
ยามนี้ไม่ว่าหานลี่หรือเผ่ามารแปลงกายสองตนก็ไม่ลงมือทันที แค่ยังคงมองไปยังที่สูงซึ่งส่งเสียงอึกทึกออกมาไม่หยุด
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา เสียงร้องถึงได้ค่อยๆ สลายหายไป ระลอกคลื่นรุนแรงสลายออก ในที่สุดบนที่สูงก็กลับมาชัดเจนดังเดิม
หานลี่มีแววตาเคร่งขรึม เห็นเพียงไม่ว่าระลอกคลื่นสีทองที่อยู่กลางอากาศหรือเงาลวงตาของภูเขากระบี่สีเงินก็สลายหายไปอย่างไร้เงา!
การโจมตีเมื่อครู่ดูเหมือนจะแบ่งออกเท่าๆ กัน!
หานลี่พลันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะแสดงอิทธิฤทธิ์ของระลอกคลื่นลำแสงสีทองออกมาแค่สองสามส่วนเท่านั้น แต่ตัวตนระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางคนหนึ่งจะต้านทานได้ง่ายๆ ได้อย่างไร!
นี่ย่อมทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
ยามที่หานลี่กำลังขบคิดในใจอย่างรวดเร็วนั้น ชายร่างใหญ่และนักพรตวัยกลางคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง หลังจากถ่ายทอดเสียงหากันเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะไอมารที่ผิวจะหมุนวน พากันเก็บร่างครึ่งอสูร ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในร่างเดิม
นักพรตวัยกลางคนประสานกำปั้นคารวะหานลี่ ก็เอ่ยอย่างเกรงใจ
“อิทธิฤทธิ์ของสหายช่างกว้างใหญ่นัก คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ระลอกคลื่นลำแสงสีทองก็ยังควบคุมได้ จากนี้ไม่จำเป็นต้องทดสอบอันใดแล้ว เราสองคนรู้ว่าสู้มิได้”
“ใช่แล้ว คาดไม่ถึงว่าสหายจะฝึกฝนเคล็ดวิชามารได้ถึงขั้นนี้ ช่างน่าเลื่อมใสนัก ฮ่าๆ ในที่สุดข้าน้อยก็รู้จักคำเรียกที่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าแล้ว!” ชายร่างใหญ่คิ้วหนาหัวเราะร่าใบหน้าประดับไปรอยยิ้ม
“สหายทั้งสองเองก็มีอิทธิฤทธิ์ไม่ธรรมดา แต่ไม่ทราบว่ายามนี้จะบอกเหตุผลที่ลงมือกับเราสองคนได้หรือยัง” หานลี่เก็บเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
“เรื่องนั้นย่อมไม่มีปัญหา ทว่าก่อนหน้านั้นข้าน้อยอยากถามสหายสักหน่อย เคยได้ยินตำหนักจอมอสูรมาบ้างหรือไม่” นักพรตวัยกลางคนตอบรับเต็มปากเต็มคำ แต่สุดท้ายกลับถามย้อนกลับ
“ตำหนักจอมอสูรคือขุมอำนาจที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในแดนของเรา ข้าน้อยจะไม่เคยได้ยินได้อย่างไร หรือว่าสหายทั้งสองมาจากตำหนักจอมอสูร” หานลี่พลันตกตะลึง แล้วตอบกลับด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกันความคิดต่างๆ ในใจของเขาก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว ข้อมูลเกี่ยวกับตำหนักจอมอสูรฉายแวบผ่านในหัวอย่างรวดเร็ว
ตำหนักจอมอสูรก็ความหมายเหมือนชื่อ ไม่เพียงเป็นหนึ่งในขุมอำนาจยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงในแดนมาร ในตำหนักยังเป็นที่รวมตัวของจอมมารจำนวนมากที่มีอสูรมารแปลงกายเป็นผู้นำ แม้กระทั่งในขุมอำนาจนี้ยังมีบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หมื่นอสูรที่ลึกลับมากตนหนึ่ง
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หมื่นอสูรผู้นี้ลึกลับมาก ว่ากันว่าไม่เคยคบค้ากับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ผู้ใด และไม่ค่อยเปิดเผยหน้าตาในตำหนักจอมอสูร แต่แปดเก้าส่วนย่อมเป็นอสูรมารแปลงกายระดับมหายานตนหนึ่ง ดังนั้นก่อนที่จะเข้ามาในแดนวิญญาณ ตำหนักจอมอสูรจึงเป็นหนึ่งในขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของแดนมารที่บรรพชนตระกูลหล่งและพวกเคยเตือนว่าอย่าไปหาเรื่องหลายครั้ง
หานลี่ในยามนี้ได้ยินว่าทั้งสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมาจากตำหนักแห่งนี้จะไม่ใจหายได้อย่างไร
“หึๆ ในเมื่อสหายเคยได้ยินตำหนักของข้า ไม่ทราบว่าสนใจจะเข้าร่วมตำหนักของข้าเป็นอาวุโสแขกผู้มีเกียรติได้หรือไม่” นักพรตวัยกลางคนหัวเราะแล้วเอ่ยสิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงออกมา
“สหายอยากเชิญข้าน้อยเข้าร่วมตำหนักจอมอสูร” หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดใจเล็กน้อย
“ใช่แล้ว จากอิทธิฤทธิ์ของสหาย ขอแค่เข้าร่วมตำหนักของเราย่อมต้องได้รับตำแหน่งสำคัญ ฐานะเหนือกว่าอาตมา และยิ่งไปกว่านั้นตำหนักของข้ายังมีบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หมื่นอสูรนั่งบัญชาการอยู่ ขอแค่ชี้แนะในการฝึกฝนเพียงเล็กน้อย อนาคตของสหายย่อมได้รับผลประโยชน์ที่ไร้ขีดจำกัดแน่” นักพรตวัยกลางคนเอ่ยดึงเข้ามาเป็นพวก