A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2073 ยอดเขาทรายเหล็ก
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2073 ยอดเขาทรายเหล็ก
“ทั้งสองท่านขวางข้าน้อยเอาไว้ คงไม่ได้เพื่อดึงข้าเข้าร่วมตำหนักของท่านหรอกกระมัง ข้าน้อยเคารพเลื่อมใสตำหนักจอมอสูรมานาน แต่ไม่มีเจตนาจะเข้าร่วมกับขุมอำนาจอื่น” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ปฏิเสธอย่างไม่ต้องขบคิด
“นั่นมันน่าเสียดายจริงๆ ตำหนักของเรากำลังหาสหายที่มีเป้าหมายเดียวกัน เผื่อเตรียมการใหญ่เรื่องหนึ่ง หากสหายยอมเข้าร่วมตำหนักของเรา ย่อมไม่ผิดหวังแน่” นักพรตวัยกลางคนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยชักจูงอย่างแช่มช้า
“ขอบพระคุณสหายที่มีเจตนาดี แต่ข้าน้อยไม่อยากถูกผูกมัด” หานลี่ย่อมยังคงเอ่ยปฏิเสธ
“ในเมื่อสหายตัดสินใจแล้ว อาตมาก็จะไม่พูดอันใดมาก ส่วนเหตุใดเราสองคนถึงมาปรากฏตัวที่นี่ ความจริงแล้วก็ง่ายมาก ทว่ายี่สิบสามสิบปีก่อนตำหนักของเราได้รับงานมาชิ้นหนึ่ง มีคนยอมจ่ายค่าตอบแทนจำนวนมากให้พวกเราต่อกรกับเหล่าสหาย ทว่าเป็นเพราะนายท่านเข้าไปในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวเป็นเวลานานไม่ยอมออกมา ถึงได้ยืดเยื้อจนมาถึงยามนี้ สหายอย่าเข้าใจผิด แม้ว่าตำหนักจอมอสูรจะรับงานนี้มา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องการสังหารพวกท่าน ขอแค่ยอมจ่ายตามระดับ ก็จะส่งคู่ต่อสู้ที่อู่ในระดับเดียวกันไปลงมือครั้งหนึ่งก็พอแล้ว ปกติแล้วหากเผชิญหน้ากับตัวตนระดับเดียวกันอย่างสหาย พวกเราก็จะแค่ประมือประลองฝีมือกันเท่านั้น แม้กระทั่งหากมีวาสนาได้พบกับสหาย ก็อาจจะเรียนเชิญให้เข้าตำหนักของเรา” ในที่สุดนักพรตวัยกลางคนก็เอ่ยเหตุผลให้พวกเขาฟัง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าเองก็เคยได้ยินว่าตำหนักของท่านได้รับการไหว้วานมา แต่ไม่รู้ว่าผู้ใดตั้งเป้าหมายมาที่พวกเรา ไม่ทราบว่าสหายเหลิ่งจะบอกได้หรือไม่” แผ่นหลังของหานลี่มีเสียงไพเราะดังขึ้น กลับเป็นหญิงสาวสวมชุดขนนกที่ลอยตัวขึ้นมาจากด้านล่าง และหยุดอยู่ด้านหลังหานลี่พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“เรื่องนี้อาตมาไร้ความสามารถ ประการแรกตำหนักของเรามีกฎห้ามแพร่งพรายข้อมูลผู้ว่าจ้างต่อภายนอก ประการที่สองการไหว้วานครั้งนี้ไม่ได้ระบุชื่อ ตำหนักของเราจึงไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ใดเป็นผู้จ้างวาน” นักพรตวัยกลางคนสั่นศีรษะ แล้วเอ่ยอย่างบริสุทธิ์ใจ
“ข้าน้อยขอบคุณสหายทั้งสองที่บอก! คิดดูแล้วสหายร่วมวิถีของข้าน้อย ตำหนักของท่านก็ส่งคนอื่นๆ ไปต่อกรสินะ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ขอแค่สหายร่วมวิถีของสหายก็เป็นจอมมาร ย่อมเป็นการประลองฝีมือเท่านั้น” นักพรตวัยกลางคนหาววอดแล้วตอบกลับอย่างคลุมเครือ
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว! หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่เป็นไร ตำหนักของท่านคู่ควรกับที่เป็นขุมอำนาจที่มีชื่อเสียงในแดนศักดิ์สิทธิ์จริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถเคลื่อนไหวอาวุโสระดับจอมมารทีเดียวจำนวนมากขนาดนี้ได้ ปกติแล้วเผ่าเล็กๆ คงไม่อาจเทียบเทียมได้” หานลี่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่ปากก็จะเอ่ยชื่นชม
นักพรตวัยกลางคนหัวเราะหึๆ ยามที่กำลังคิดจะเอ่ยอันใดนั้น หยกที่ห้อยอยู่ตรงเอวพลันระเบิดลำแสงสีขาวออกมา ในเวลาเดียวกันก็ส่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมา
นักพรตเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ประสานมือคารวะหานลี่ แล้วเอ่ยคำกล่าวลาชายร่างใหญ่คิ้วหนาเหล่านั้น
หานลี่และหญิงสาวสวมชุดขนนกเองก็เอ่ยอย่างมีมารยาทสองประโยค ย่อมไม่ได้เหนี่ยวรั้งอันใด
ลำแสงหลีกหนีสีเหลืองและเงินพวยพุ่งไปที่ขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง
หลังจากเสียงแหวกอากาศดังขึ้น ทั้งสองสลายหายไปที่ขอบฟ้า
“ท่านเซียนเยี่ย เจ้าคิดว่าคำพูดเมื่อครู่ของพวกเขาเป็นความจริงหรือไม่!” หานลี่มองลำแสงหลีกหนีที่สลายหายไป แล้วเอ่ยถามด้วยกายที่ไม่เคลื่อนไหวเลยสักนิด
“น่าจะจริงเก้าส่วนเท็จหนึ่งส่วนกระมัง! ดูจากท่าทางที่พวกเขาลงมือเมื่อครู่ ไม่เหมือนกับมีใจจะสังหารพวกเราตั้งแต่แรกจริงๆ แต่หากพวกเราเผยความอ่อนแอออกมาเพียงเล็กน้อย ไม่แน่ว่าพวกเขาก็อาจจะลงมือสังหารจริงๆ ตำหนักจอมอสูรมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนักในพวกเผ่ามาร” หญิงสาวสวมชุดขนนกเอ่ยอย่างมีความคิด
“คงงั้นกระมัง ทว่าข้าว่าสิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดก็คือไม่แน่ใจตื้นลึกหนาบางของข้า ถึงอย่างไรเสียเพิ่มสหายหล่งและเผ่าวิญญาณเหล่านั้น จอมมารในกลุ่มของพวกเราก็มีเกือบสิบคน นี่เพียงพอจะเป็นขุมอำนาจธรรมดาๆ ของแดนมารแล้ว พวกเขาถึงได้ระมัดระวังเช่นนี้! แต่เช่นนี้เกรงว่าพวกเขาคงสนใจประวัติความเป็นมาของพวกเรามากกว่าเดิม” หานลี่เอ่ยอย่างแช่มช้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เก็บพวกเขาไปเสียเลย จะได้ไม่กลับไปรายงาน แล้วกลายเป็นความเปลี่ยนแปลงในการเคลื่อนไหวของพวกเรา หากน้องและพี่หานร่วมมือกัน อาจจะทำได้” หญิงสาวสวมชุดขนนกกลอกตาคู่งามไปมา แววตาฉายแววเย็นชา
“เก็บพวกเขาย่อมเป็นไปไม่ได้! แต่ถึงอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นอสูรมารแปลงกาย พลังยุทธ์เหนือกว่าจอมมารทั่วไป พวกเรามีความมั่นใจแค่ห้าหกส่วนเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นฟังจากคำพูดของพวกเขาครั้งนี้ตำหนักจอมอสูรไม่ได้มาแค่พวกเขาสองตน ทางฝั่งพี่หล่งก็จะนาจะมีคนไปสอบสวน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราสองคนอย่าทำอันใดให้มากความเลย” หานลี่สั่นศีรษะขณะเอ่ย
“นั่นมันก็ใช่ แต่ในแดนมารตำหนักจอมอสูรมีอำนาจไม่น้อย หากเสียแรงตรวจสอบพวกเรา เกรงว่าคงไม่อาจปิดบังได้” หญิงสาวสวมชุดขนนกถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง คิ้วดำขลับขมวดมุ่น
“ตรวจสอบก็ตรวจสอบสิ! แดนมารกว้างใหญ่กว่าแดนวิญญาณ มีจอมมารของตำหนักจอมอสูรที่ไม่อาจรู้ได้เพิ่มขึ้นมาก็ไม่แปลกอันใด พวกเขามากสุดก็แค่สงสัยเท่านั้น คงไม่เคลื่อนไหวอันใด รอให้พวกเขาหาข้อมูลที่แท้จริงได้ก็ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งปีแล้ว เวลานานขนาดนั้นพวกเราคงทำธุระเสร็จและกลับไปยังแดนวิญญาณตั้งนานแล้ว การเคลื่อนไหวหลังจากนี้ต้องระวังหน่อย” หานลี่ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา
“มีเพียงเช่นนี้ หวังว่าแผนการต่อจากนี้ของพวกเราจะราบรื่น อย่าเกิดอุปสรรคอันใดอีก” หญิงสาวสวมชุดขนนกได้ยินพลันพยักหน้า แล้วเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
“ท่านเซียนไม่ต้องกังวลใจ! ขอแค่ข่าวที่สหายได้รับมาไม่ผิดพลาด เรื่องเอาโลหิตเที่ยงแท้หงส์มรกตมาน่าจะไม่ใช่ปัญหา ทว่าข้าเองก็แปลกใจ เมื่อครู่ที่จอมมารทั้งสองของตำหนักจอมอสูรบอกว่ามีแผนการใหญ่ ตกลงมันคือสิ่งใดกันแน่ ฟังจากคำพูดของพวกเขาดูเหมือนจะไม่ได้หลอกลวงเลย!” หานลี่กลับเอ่ยขึ้นด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
“หรือว่าเกี่ยวข้องกับการรุกรานเข้าไปในแดนวิญญาณ หรือว่าสงครามครั้งนี้ได้ผลลัพธ์แล้ว!” หญิงสาวสวมชุดขนนกได้ยินพลันตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใด ใบหน้างดงามพลันซีดขาว
“พวกเราเพิ่งออกมาจากทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว ไม่เข้าใจเรื่องอื่นมากนัก หวังว่าจะไม่ใช่กระมัง! ทว่าที่พวกเรารีบร้อนอยู่ในเมืองเล็กๆ คนอื่นๆ อาจจะได้รับข่าวนี้แล้ว หวังว่าในเมืองมารเมืองต่อไป พวกเราจะได้ข่าวคราวเช่นเดียวกัน” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
เขารู้ดีอยู่แก่ใจ จากการเตรียมตัวที่เพียบพร้อมของเผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณ แม้ว่าจะไร้เทียมทานในระยะเวลายี่สิบสามสิบปี แต่ก็มีมากมายที่ต้องตกเป็นรอง ไม่อาจพ่ายแพ้รวดเร็วเช่นนี้
และยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ที่เข้ามาในแดนมาร หานลี่เองก็รู้ว่าการรุกรานเผ่ามนุษย์ในครั้งนี้เป็นแค่ขุมอำนาจส่วนเล็กๆ ของแดนมารเท่านั้น ขุมอำนาจจำนวนมากดูเหมือนจะไม่ได้สนใจสงครามครั้งนี้
มิเช่นนั้นต่อให้เผ่ามนุษย์และเผ่าต่างๆ เตรียมการพร้อมแค่ไหน ก็ไม่อาจต้านทานเผ่ามารทั้งหมดได้ กลับเป็นผู้ที่อยู่ระดับสูงที่สุดของแดนมาร บรรพชนศักดิ์สิทธิ์แดนมารเหล่านั้นล้วนส่งร่างแยกมาจุติที่แดนวิญญาณ
นั่นเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเล็กๆ
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว แล้วรู้สึกกลัดกลุ้มในใจ แต่ใบหน้าก็ไม่เผยสีหน้าใดๆ ออกมา ร้องเรียกหญิงสาวสวมชุดขนนก แล้วบินกลับไปที่สำเภาเหาะสีดำอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่สำเภาเหาะก็ส่งเสียงอึกทึก กลายเป็นลำแสงสีดำพวยพุ่งขึ้นบนไปท้องฟ้า
……
ในเวลาเดียวกันเหนือทะเลสาบสีดำเขียว บรรพชนตระกูลหล่งและอาวุโสฮุยกำลังบินเคียงไหล่กันมองไปยังไอสีดำสองกลุ่มที่อยู่ไกลออกไป
“ตำหนักจอมอสูร ถูกเจ้าพวกนี้จับตามองแล้ว ยุ่งยากจริงๆ” บรรพชนตระกูลหล่งมองท้องฟ้า เอ่ยพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่หล่งไม่ต้องสนใจมากนัก พวกเขารู้ว่าพวกเราไม่ใช่สิ่งที่หาเรื่องได้ง่ายๆ คิดดูแล้วคงไม่ทำอันใดพวกเราเพียงเพราะเรื่องที่ถูกไหว้วานมาหรอก พวกเรารีบเร่งเดินทางเถิด ขอแค่ไปถึงทะเลกำเนิดมารให้ไวที่สุด ต่อให้ตำหนักจอมอสูรใช้คนจำนวนมาก ก็ทำอันใดพวกเราไม่ได้ บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หมื่นอสูรนั่นคงไม่ลงมาตรวจสอบพวกเราด้วยตัวเอง” อาวุโสฮุยกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หมื่นอสูรย่อมไม่อาจใช้ร่างจริงมาต่อกรกับพวกเรา แต่หากส่งร่างแยกมา กลับเป็นเรื่องที่เป็นไปได้” บรรพชนตระกูลหล่งตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“คงไม่หรอกกระมัง ต่อให้พวกเรามีประวัติความเป็นมาที่น่าสงสัย ก็คงไม่ได้รบกวนบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งง่ายๆ” ชายชราแซ่ฮุยได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้ง
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง พวกเรารีบไปกันเถิด ครั้งนี้พวกเราเดินหน้าเต็มกำลัง ไม่ต้องประหยัดพลังปราณอันใดแล้ว” หลังจากที่บรรพชนตระกูลหล่งครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ชายชราแซ่ฮุยพยักหน้าย่อมไม่มีเจตนาคัดค้านอันใด!
……
อีกด้านสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวและชายหนุ่มเผ่าวิญญาณนามว่า “จื่อสุ่ย” หยุดอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก และกลางอากาศฝั่งตรงข้าม ชายชราเผ่ามารผิวสีเขียวและแดงสองคนลอยอยู่ตรงนั้นด้วยหน้าซีดขาว แต่สายตาที่มองมายังชายหนุ่มเผ่าวิญญาณ คาดไม่ถึงว่าจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
……
เวลาสั้นๆ ต่อจากนั้นหานลี่และหญิงสาวสวมชุดขนนกเองก็กระตุ้นสำเภาเหาะสีดำเต็มอัตรา บินไปด้วยทีเดียวหนึ่งเดือน ในที่สุดก็หยุดลำแสงหลีกหนีลงในบ่อน้ำในเมืองเผ่ามารเล็กๆ แห่งหนึ่ง และรั้งรออยู่ตรงนั้นสองสามวัน
ช่วงเวลานี้หานลี่และหญิงสาวสวมชุดขนนกแยกกันเคลื่อนไหว รวบรวมข่าวที่ต้องการ และสุดท้ายก็รู้สถานการณ์การต่อสู้คร่าวๆ ของเผ่าต่างๆ และเผ่ามาร
ได้รู้ว่ายี่สิบสามสิบปีที่ผ่านมาเผ่ามนุษย์ร่วมมือกับเผ่าต่างๆ เปิดฉากการต่อสู้กับเผ่ามารสองสามครั้ง และยิ่งไปกว่านั้นสุดท้ายแล้วบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารก็ลงไปจุติที่แดนวิญญาณ หลังจากที่ระดับมหายานของเผ่าต่างๆ ลงมือ แต่ก็ยังคงยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อกันได้ หานลี่และหญิงสาวสวมชุดขนนกอดที่จะผ่อนลมหายใจออกมาไม่ได้
แม้ว่าพวกเราจะได้รับข่าวแค่คร่าวๆ แม้กระทั่งไม่ครบถ้วน แต่สถานการณ์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แย่นัก
สำหรับทั้งสองแล้วนี่ก็เพียงพอแล้ว
ดังนั้นหลังจากที่สองคนรั้งรออยู่ในเมืองสองวัน ก็ควบคุมสำเภาเหาะบินต่อ
เป้าหมายของพวกเขาต่อจากนี้ก็คือยอดเขาทรายเหล็กที่เป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าหงส์มรกต!
ครั้งนี้พวกเขาบินผ่านดินแดนมากมาย และบินได้นานสามเดือนเต็มโดยไม่เกิดอันใดขึ้น ในที่สุดก็มองเห็นยอดเขาสีดำสนิทอยู่ไกลๆ
ยอดเขานี้ไม่ว่าต้นไม้หรือว่าก้อนหินล้วนเป็นสีดำเขียว มองจากไกลๆ ให้ความรู้สึกไม่สบายใจ ราวกับว่าในยอดเขามีมารจำนวนนับไม่ถ้วนซ่อนตัวอยู่!