A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2097 ศึกมารผจญ
คำพูดอันทรงพลังของหานลี่ ทำให้หยวนเหยี่ยนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
แต่เขาในฐานะเผ่ามารระดับสูงสุด จะถูกคุกคามจุดอ่อนโดยได้อย่างไร เขาสีหน้าบึ้งตึงขึ้นทันที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“บนเกาะ เจ้าอาจจะอาศัยร่างทิพย์นิพพานมาปะทะกับข้าได้ แต่เจ้าจะอยู่ ณ ที่แห่งนี้ตลอดไปโดยไม่ไปจากไหนเลยหรือ ข้าเพียงแค่แผ่ตาข่ายรอบนอกทะเลสายฟ้ารอก็พอ ตอนที่เจ้าออกมา อย่างไรก็ไม่พ้นมือข้า”
“ถ้าไปจากเกาะขู่หลิงต่าว ถ้าโยมไม่ใช่คู่ปรับกับผู้อาวุโสทั้งสองท่าน แต่ที่แห่งนี้มีพลังวิญญาณอยู่เต็มเปี่ยม ถ้าจะให้บำเพ็ญเพียรอยู่ ณ ที่แห่งนี้สักหมื่นปี ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่รับไม่ได้เสียทีเดียว เวลาเพียงเท่านี้ สำหรับผู้บำเพ็ญพรตอย่างพวกเราแล้วไม่ใช่เวลายาวนานอะไรนัก” หานลี่ท่าทีเหมือนกับคาดการณ์เอาไว้แล้ว เขาพูดตอบโดยไม่ร้อนรน
“เจ้าคิดได้ดี! ไม่กลัวว่าข้าจะบันดาลโทสะ กลับไปเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาให้มาสร้างเขตอาคมชั้นสูงไว้ด้านนอก แล้วกำจัดเกาะแห่งนี้ให้สิ้นซากไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำตะคอกขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“เจ้าหากทำอย่างที่ว่าจริง ก็คงมีอันตรายอย่างแท้จริง แต่เจ้าแน่ใจว่าไม่ต้องการหญ้าหลอมมารนั้นแล้วหรือ ข้ายืนยันว่า ก่อนผู้อาวุโสจะได้ทำเช่นนั้น ก็คงจะทำลายโอสถวิญญาณทั้งหมดบนตัวไปก่อนเสียแล้ว” หานลี่พูดตอบสีหน้านิ่งเฉย
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนที่กำลังโกรธขึ้นหน้า ถูกหานลี่พูดยั่วโมโหก็หน้าเขียวปัดขึ้นมาทันที แค่นเสียงหนึ่งที กำลังคิดจะพูดข่มขู่อะไรสักอย่างออกมา
แต่ในเวลานั้นเอง บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาก็ยิ้มขึ้นมาทันใด สะบัดมือขัดคำพูดของชายหนุ่มในชุดสีดำ แล้วพูดขึ้นว่า
“หยวนเหยี่ยน เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว! ข้าต้องการวิญญาณนั้นในมือมัน เจ้าเองก็คงไม่อาจที่จะตัดใจจากหญ้าหลอมมารเช่นกัน ในเมื่อมันตัดสินใจที่จะเดิมพันแล้ว พวกเราก็ช่วยให้มันสมหวังสักหน่อยเสียเป็นไร หนึ่งในสิบส่วน หรือว่าไม่ได้เป็นโอกาสที่สูงมากนัก มิหนำซ้ำ เจ้าและข้าล้วนแต่เกรงว่าจะมีระดับมหาเมธีอีกคนปรากฏขึ้นในแดนวิญญาณ! แดนวิญญาณในเวลานี้ มีงานเพิ่มมาหนึ่งคนไม่นับว่ามาก ขาดหนึ่งคนก็ไม่นับว่าน้อย”
“นั่นก็จริง ถึงแม้ตอนที่เผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์กำลังเร่งดำเนินการตามแผนการใหญ่ในแดนวิญญาณ แต่หากมีระดับมหาเมธีคนใหม่ขึ้นมาอีกสักคน ก็ไม่ได้มีผลอะไรมากมายจริงๆ มิหนำซ้ำระดับการบำเพ็ญเพียรของมันก็ยังห่างจากระดับผสานอินทรีย์สัมบูรณ์ช่วงปลาย ยังเร็วนัก ต่อให้เข้าสู่สระล้างวิญญาณก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเลื่อนระดับโดยทันที พูดได้เพียงว่าเป็นการให้โอกาสกับมันในภายหลังเท่านั้น ได้ ข้าตกลง” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนโห่เป่าฮวาพูดเตือนสติ สีหน้าก็นิ่งอยู่สักครู่ ในที่สุดก็ขบฟันพยักหน้าตอบรับ
“ได้ ผู้อาวุโสทั้งสองตอบรับข้อแลกเปลี่ยนนี้ นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ฉลาด โอสถวิญญาณทั้งสองอย่างนั้น ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายกับข้านัก หลังจากออกจากสระล้างวิญญาณ จะมอบให้กับสองมืออย่างแน่นอน แต่ทว่าก่อนหน้านั้น ผู้น้อยหวังจะให้ทั้งสองท่านปฏิญาณสัญญาจิตมาร ตกลงที่จะปล่อยให้ไปจากแดนมานี้อย่างปลอดภัยหลังจากแลกเปลี่ยนแล้ว และจะไม่ใช้วิธีการอันใดอื่นๆ กับผู้น้อย” หานลี่คลายกังวล รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วพูดตอบ
“เจ้าอย่าได้คืบเอาศอกนะ เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ยังกล้าสั่งให้ค่าทำสัญญาจิตมาร!” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนได้หยิ่ง ไฟโทสะที่ดับไปเมื่อคู่ก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว
“จะให้ปฏิญาณก็ไม่เป็นไร แต่ข้าคงไม่อาจจะตอบตกลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ อยากให้ข้าทั้งสองทำเรื่องเช่นนี้ เจ้าก็เอาโอสถวิญญาณในมือออกมาครึ่งหนึ่งก่อน อีกครึ่งที่เหลือ ค่อยส่งมอบตอนออกมาก็ได้” เป่าฮวาพูดน้ำเสียงเรียบ
“ส่งมอบครึ่งหนึ่ง! เงื่อนไขนี้ผู้น้อยคงตอบรับไม่ได้ ผู้น้อยจะรู้ได้อย่างไร ว่าเบื้องหลังผู้อาวุโสทั้งสองต้องการโอสถวิญญาณจำนวนเท่าไหร่ถึงจะพอ หากต้องการเพียงเล็กน้อย ข้าทำเช่นนั้นมันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ” หานลี่หรี่ตาทั้งคู่ พูดปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
“ในเมื่อไม่ยอมที่จะเสี่ยง ข้าและหยวนเหยี่ยนก็จะไม่ทำสัญญาจิตมารใดๆ ทั้งนั้น ไม่เช่นนั้น หากเจ้าคิดจะทำการอะไรหลังจากนั้น ข้าทั้งสองก็ไม่เท่ากับมัดแขนมัดขาตัวเองหรอกหรือ แต่พวกข้ารับปากด้วยวาจาได้ว่า จะไม่ลงมือทำอะไรกับเจ้าภายหลัง” หญิงสาวในชุดสีขาวยิ้มอย่างเย้ายวนแล้วพูดตอบ
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยน ได้ยินเป่าฮวาพูดเช่นนั้น สีหน้าที่โกรธเกรี้ยวก็คลายลงกว่าครึ่ง แล้วพูดเห็นพ้องว่า
“ข้าก็รับรองได้ ขอเพียงแต่มอบหญ้าหลอมมารสู่มือข้า จะไม่ทำอะไรกับเจ้าอย่างเด็ดขาด”
“ทั้งสองท่านไม่ยินดีที่จะ ท่านไม่ยินดีที่จะปฏิญาณสัญญาจิตมาร ข้าก็จะไม่บังคับ ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน ผู้น้อยขอไปยังสระล้างวิญญาณก่อน ไว้หลังจากออกมาแล้ว ก็จะมอบโอสถวิญญาณให้เป็นการตอบแทน แต่หากถึงเวลานั้นแล้วทั้งสองท่านไม่ยอมให้ผู้น้อยจะไปแต่โดยดี คงได้แต่อาศัยอิทธิฤทธิ์ตัดสินกัน” หานลี่ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เขาพูดน้ำเสียงเรียบ จากนั้นร่างกายก็เปล่งแสงสีทอง เงาจำแลงศีรษะสีทองดวงที่สอง และแขนทองคำที่แปรมารทั้งสองข้างที่หัวไหล่ ทันใดนั้นก็หายลับไปพร้อมกัน
เขาได้สลายร่างอวตารนิพพานสอง แต่ความตื่นตัวระวังในใจกลับไม่ได้ลดน้อยลงแม้แต่น้อย แขนขาไม่ขยับ แต่ร่างกายกลับไถลออกไปด้านหลังไกลนะสิบจั้ง ทิ้งระยะห่างช่วงหนึ่งเงียบๆ จากนั้นก็กวาดสายตาไปยังเขตอาคมขนาดมหึมาด้านล่างสระน้ำ
เป่าฮวาเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้แสดงทีท่าแปลกใจ แล้วมองไปด้านล่างเช่นกัน จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบว่า
“สระล้างวิญญาณนั้นในช่องว่างน่าพิศวงของเกาะแห่งนี้ เขตอาคมวันนี้เป็นทางเข้าออกทางเดียวที่เชื่อมต่อกับที่นั่น สหายหานแค่เข้าไปอยู่ตรงกลาง ก็สามารถเคลื่อนที่ไปได้อย่างง่ายดาย แต่ข้าขออธิบายก่อนว่า ที่ซึ่งสระล้างวิญญาณอยู่คือสถานที่ซึ่งมีพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่สุดของดินแดนมารทั้งหมดนี้ สำหรับมนุษย์จากแดนวิญญาณอย่างเจ้า การฝึกบำเพ็ญที่นี่เพียงหนึ่งวันเทียบได้กับการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงภายนอกหนึ่งปี แต่ในช่องว่างนี้มีข้อจำกัดวิญญาณที่จะเข้าออกอย่างมาก หนำซ้ำยิ่งระดับการบำเพ็ญพรตสูง ข้อจำกัดก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ระดับการบำเพ็ญเพียรของสหายหาน อยู่ได้อย่างมากเพียงสามวันก็ถึงขีดจำกัด วันก็ถึงขีดจำกัดเมื่อ วันก็ถึงขีดจำกัดเมื่อเกินเวลา อาจจะออกมาไม่ได้อีกตลอดไป”
“ช่องว่างอันนั้นมีข้อจำกัดกับเผ่าพันธุ์มารของพวกเราอย่างถึงที่สุด แม้แต่จะผ่านเข้าไปก็ยังทำไม่ได้ จะถูกกันเอาไว้อยู่ภายนอก หาไม่แล้วหากไม่มีข้อจำกัด ข้าคงยินดีที่จะไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วยตัวเองสักครั้ง”หยวนเหยี่ยนยิ้มร้ายแล้วพูดขึ้น ในคำพูดเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ประสงค์ดี
“ถ้าเช่นนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองท่านก็ไม่เคยเข้าไปมาเลยสินะ” หานลี่สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย หลุดปากพูดออกมา
“พวกข้าถึงแม้จะคอยดูแลสถานที่แห่งนี้มาไม่รู้กี่หมื่นปีแล้ว แต่ถ้าเป็นเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปได้มาก่อน”คิ้วดำขลับของเป่าฮวาขมวดแน่น แล้วพูดตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เช่นนี้เอง!”
หานลี่พยักหน้า แล้วไม่ได้พูดอะไรต่ออีก กุมหมัดคำนับไปยังหญิงสาวในชุดขาว แล้วก็เปล่งแสงพุ่งลอยไปยังก้นสระ
แน่นอนด้วยความระมัดระวังของเขา ย่อมไม่มีทางเชื่อคำพูดของเป่าฮวาว่าเป็นความจริงทั้งหมด
ห่างจากเขตอาคมตั้งนานสิบกว่าจั้ง แสงสว่างหยุดลง เขาปรากฏตัวอีกครั้ง รออยู่ที่นั่นนิ่งไม่ขยับไหว และเริ่มสำรวจอักขระยันต์อันลึกลับต่างๆ บนเขตอาคมที่อยู่ด้านล่าง
เป่าฮวาและบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนเมื่อมองไกลๆ จากที่สูงแล้ว ก็ไม่มีใครทำการก่อกวนใดๆ ราวกับรู้ใจกัน
ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป หานลี่ก็ถอนหายใจหนึ่งที เงาร่างวูบไหว แล้วพุ่งลงไปด้านล่างโดยไม่ลังเลอีกต่อไป
เมื่อเท้าทั้งสองของเขาเหยียบลงตรงใจกลางเขตอาคม เขตอาคมก็ส่งเสียงอื้ออึงขึ้นมาทันที
ลำแสงห้าสีแต่ละลูกพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าไปยังที่ต่างๆ จากนั้นก็หมุนวนอย่างคลุ้มคลั่งไม่หยุด พร้อมกันนั้นกระแสคลื่นกลางความว่างเปล่าก็แผ่ปกคลุมไปทั่วเขตอาคม
หานลี่ที่อยู่ตรงกลาง พริบตาเดียวก็ถูกปกคลุมด้วยมุ้งแสงห้าสีชั้นหนึ่ง ร่างกายเลือนราง ทันใดนั้นก็หายวับไปไร้ร่องรอย
ลำแสงมากมายที่พลานุภาพน่าตะลึงในตอนแรก พริบตาเดียวก็มืดลง เขตอาคมขนาดยักษ์ทันใดนั้นก็เงียบลงทันที
เป่าฮวาและหยวนเหยี่ยนเห็นดังนั้น ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นฉากเช่นนี้
หยวนเหยี่ยนมองไปยังความว่างเปล่าเงียบๆ ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ถามหญิงสาวในชุดสีขาวว่า
“เป่าฮวา เจ้าคิดจะปล่อยมันไปจริงๆ หรือ ควรรู้นะ ว่าคนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬ เพียงแค่ระดับผสานอินทรีย์ก็ยังรับมือกับเจ้าและข้าได้พอตัวเลย หากปล่อยออกไป เกิดบรรลุขั้นสำเร็จ ต้องเป็นศัตรูตัวฉกาจผู้หนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์พวกเราซึ่งระดับมหาเมธีทั่วไปเทียบไม่ได้เลยทีเดียว”
“อ๋อ นี่คงเป็นปัญหากังวลใจของเหล่าบรรพชนอย่างพวกเจ้าสินะ ข้าไม่ได้อยู่ในฐานะบรรพชนนานแล้ว จะทำอะไรยอมต้องเป็นไปตามความคิดของเจ้า อย่างไรเสียข้าก็จะไม่ออกมืออยู่แล้ว เมื่อข้าได้โอสถวิญญาณที่ต้องการแล้ว ก็จะไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทันที ขอเตือนเจ้าอีกสักคำว่า เจ้าเด็กเผ่าพันธุ์มนุษย์คนนี้มีร่างทิพย์นิพพานและสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬในมือ ถึงแม้ว่าการที่จะเอาชนะเจ้าและข้านั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าคิดจะหนีล่ะก็ ต่อให้อยู่นอกทะเลสายฟ้า จะรั้งเขาเอาไว้นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย มิหนำซ้ำดูท่าทางสุขุมนิ่งของเขาเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีเอาตัวรอดอย่างอื่นที่เกินคาดหมายก็เป็นได้ เจ้าอย่าเสียทีทั้งขึ้นทั้งล่องแล้วกัน!” เป่าฮวามองชายหนุ่มในชุดดำปราดหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ
“ฮึ เจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ เจ้าเมื่อก่อนไม่ได้เป็นเหมือนตอนนี้ เมื่อก่อนในพวกเราทั้งสามคน เจ้าคือคนที่คอยครุ่นคิดเพื่อเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด หรือว่าแม้แต่เรื่องศึกใหญ่แดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็ไม่เคยถ่ายถามบ้างเลยเชียวหรือ” ใช้หนูชุดดำถลึงตาใส่หญิงสาวชุดขาวครู่หนึ่ง แล้วพูดแสดงความรู้สึกในใจออกมา
“ไม่ผิด ข้าในตอนนั้นทุ่มเทความคิดอย่างมากเพื่อเรื่องศึกใหญ่ หาไม่แล้วก็คงไม่ถูกลิ่วจี๋หาประโยชน์โดยง่าย ตอนนี้หรือ ข้าไม่ได้ใส่ใจอะไรอีกต่อไป แต่ถ้าเห็นการกระทำของเจ้า เห็นได้ชัดมากใช้รูปแบบวิธีการที่ข้าเลิกใช้ไปแล้วในอดีต เตรียมที่จะช่วงชิงอาณาเขตดินแดนวิญญาณ จากนั้นก็ค่อยๆ แปรสภาพเป็นมาร แล้วเคลื่อนย้ายผู้คนในเผ่าไปยังดินแดนวิญญาณ” ใบหน้าอันงามของเป่าฮวาบึ้งตึง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ถูกต้อง เพื่อที่จะรับมือกับศึกใหญ่แดนศักดิ์สิทธิ์ พวกข้าเตรียมแผนการไว้หลายชุด ตอนแรกคิดจะใช้วิธีที่ประนีประนอมที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อลิ่วจี๋เข้ามาแทนที่เจ้าแล้ว สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างมาก จำใจต้องและทิ้งแผนการอื่น แล้วใช้วิธีช่วงชิงแดนวิญญาณ วิธีนี้เท่านั้นที่จะเห็นผลเร็วที่สุด” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นก็ทอดถอนใจพูดออกมา
“แต่ทว่า แผนการของพวกเจ้าดูเหมือนจะดำเนินการได้ไม่ค่อยราบรื่นเสียเท่าไร ด้านหน้าถึงแม้จะครอบครองพื้นที่เล็กน้อยของเผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถกำราบอำนาจของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ได้อย่างเด็ดขาด แม้แต่ในตอนนี้ ยังตกอยู่ในสภาพชะงักกับที่อีก” ดวงตาเป่าฮวาเป็นประกายเล็กน้อย ยิ้มเยาะหนึ่งทีแล้วพูดตอบ
“เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล ที่อยู่ในสภาพใช้งานเช่นนี้ เป็นเพราะว่าระดับมหาเมธีของเผ่าต่างๆ จับมือกัน และยังขอความช่วยเหลือจากเผ่าอื่น ไว้พวกข้าเตรียมการเสร็จสิ้นครบถ้วน สามารถเอาตัวจุติจุติเข้าไปอยู่ในแดนวิญญาณอย่างสมบูรณ์แล้ว พวกมันต่อให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า บอกไม่อาจต้านทานได้” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนพูดขึ้นอย่างผยอง