A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2130 คลื่นใต้น้ำ
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2130 คลื่นใต้น้ำ
ทว่าก่อนหน้านี้เขาต้องได้วิธีหลอมไอหยินธรณีชั่วร้ายมาก่อนถึงจะได้
นอกจากนี้ต้องรีบเอาเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตมาให้ได้ เขาได้หนทางการติดต่อจากเรือนก่วงหยวนแล้ว คิดดูแล้วก็น่าจะไม่ยากอันใด
หานลี่กระตุ้นลำแสงหลีกหนีเร่งเดินทางไปพลาง พิจารณาแผนต่อไปไปพลาง
สองสามวันต่อมาในที่สุดเขาก็กลับมายังเมืองน้ำตกสีครามได้อย่างปลอดภัย
แต่ภายในโรงเตี๊ยมที่พักอยู่ คาดไม่ถึงว่าวิญญาณมารจะมารออยู่ในนั้นตั้งนานแล้ว
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าถึงมาด้วยตัวเอง” หานลี่รู้สึกประหลาดใจ พลางเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม
จากที่เขาปรึกษากับวิญญาณม่วงก่อนหน้า เพื่อไม่ให้ผู้ใดสังเกตเห็นความสัมพันธ์ของทั้งสอง และนำปัญหามาให้วิญญาณม่วง หากมีเรื่องสำคัญจริงๆ ให้วิญญาณม่วงส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงมาก็พอแล้ว
ทั้งสองพยายามอย่าพบหน้ากันจะดีกว่า
แต่ยามนี้วิญญาณม่วงกลับมาปรากฏตัวขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนจะรออยู่สักระยะแล้ว นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจ
“ข้าไม่อาจไม่มาเองได้ ท่านอาจารย์ลิ่วจี๋ของข้ามาถึงทะเลสาบน้ำตกสีครามแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ก็เรียกข้าให้พาลูกน้องไปพบ!” วิญญาณม่วงกลับไม่สนใจเรื่องอื่น อ้าปากก็เอ่ยสิ่งที่ทำให้หานลี่ใจเต้นออกมา
“ลิ่วจี๋มาแล้ว ร่างเดิมหรือ?” หานลี่เอ่ยถามตามจิตสำนึก
“ไม่ใช่ เป็นแค่ร่างแยกระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายเท่านั้น แต่เช่นนั้นจากอิทธิฤทธิ์ของนางและสมบัติที่พกมา ก็ไม่ต่างจากบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เท่าใดนัก” วิญญาณม่วงสั่นศีรษะ แล้วเอ่ยอย่างหวาดกลัว
“ในเมื่อไม่ใช่ร่างเดิม ข้าก็ไม่ต้องกังวลอันใด แต่ลิ่วจี๋มาที่นี่ได้อย่างไร คงไม่ได้มาหาข้าสินะ! ข้ามั่นใจว่าไม่ได้ไปล่วงเกินบรรพชนแรกเริ่มผู้นี้ หากอยากลงมือกับข้า คงไม่ใช่แค่ส่งร่างแยกมา วิญญาณม่วงเจ้ารู้เป้าหมายที่นางมาหรือไม่?” หานลี่ครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ในคำสั่งที่มอบหมายให้ข้า ไม่ได้กล่าวให้ละเอียด ดูเหมือนว่าจะให้ข้าและลูกน้องช่วยค้นหาคนคนหนึ่งในละแวกนี้ ให้ชัดเจนก็คือในคำสั่งไม่ได้เปิดเผยเลยสักนิด ข้าเองก็รู้สึกว่าไม่ได้มาหาเจ้า แต่เพื่อความระมัดระวัง พี่หานระวังตัวหน่อยเถิด”วิญญาณม่วงเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“ได้ ข้ารู้แล้ว ลิ่วจี๋เป็นบรรพชนแรกเริ่มเผ่ามาร ระวังหน่อยย่อมดีกว่า ช่วงนี้วิญญาณม่วงเจ้าอย่าเพิ่งติดต่อกับข้าเลย เพื่อไม่ให้ถูกนางพบแล้วจะไม่เป็นพอดีต่อเจ้า อีกสักระยะข้าจะออกจากทะเลสาบน้ำสีครามให้เร็วที่สุด เตรียมกลับไปยังแดนวิญญาณ” หานลี่ได้ยินใบหน้าที่มองสีหน้างดงามไม่เป็นสองรองใครพลันอดที่จะร้อนฉ่าไม่ได้ แต่ปากกลับออกคำสั่งอย่างเย็นชา
“ข้าเข้าใจแล้ว ก็หมายความว่าครั้งหน้าที่พวกเราจะได้พบกัน ไม่แน่ว่าอาจจะต้องใช้เวลาสองสามร้อยปีหรือแม้กระทั่งพันปีแม้ว่าเจ้าจะมีสมบัติทลายเขตแดนที่น้องหญิงหลันให้ ก็ไม่อาจใช้กลับมาแดนมารได้ตามอำเภอใจ” วิญญาณม่วงมีสีหน้ามืดมน เผยสีหน้าโศกเศร้าอย่างที่สัมผัสได้ยากออกมา
“นั่นก็ไม่แน่ ช่วงนี้ข้ามีวาสนา ไม่ต้องฝึกฝนอย่างหนักแล้ว น่าจะทะลวงจุดคอขวดระดับมหายานได้ในเร็ววัน ขอแค่ข้าพัฒนาระดับสำเร็จ จะต้องกลับมาแดนมารแล้วช่วยเจ้าจากลิ่วจี๋ทันที ช่วงนี้วิญญาณม่วงเจ้าก็อดทนไปก่อน พยายามรักษาชีวิตอยู่ในแดนมารให้ได้ หากมีเรื่องอันใด ก่อนที่ลิ่วจี๋คิดจะใช้เจ้าหลอมเป็นร่างแยก เจ้าก็ไปที่เรือนก่วงหยวนให้พวกเขาใช้สมบัติบอกข้า ข้าจะทลายเขตแดนมาพบเจ้าให้ทันเวลา” หานลี่สัญญาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่วิญญาณม่วงก็มองหานลี่ด้วยแววตาประหลาดๆ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“ขอบคุณคำสัญญาของพี่หาน น้องหญิงซาบซึ้งใจยิ่งนัก เชื่อว่าจากความอัจฉริยะของพี่หาน จะต้องทะลวงระดับมหายานกลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดได้แน่ วิญญาณม่วงอยู่ที่นี่ ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของพี่หานล่วงหน้า ข้าเองก็ไม่สะดวกที่จะรั้งอยู่ที่นี่นานขอตัวลาก่อน”
สิ้นเสียงของสตรีผู้นี้ ฉับพลันนั้นก็คารวะหานลี่ แล้วหันกายจากไปอย่างไม่ลังเลอีก
หานลี่มองเงาแผ่นหลังอันงดงามของวิญญาณม่วงสลายหายไปจากประตูใหญ่ มุมปากขยับสองสามครา สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้เอ่ยอันใดอีก สีหน้ามืดมนลงส่วนหนึ่ง
……
สองวันต่อมาบนยอดเขาเล็กๆ ทะเลสาบด้านนอกเมืองน้ำตกสีคราม หานลี่ยืนอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง มองผิวทะเลสาบยักษ์ที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตาอย่างเงียบๆ ไม่ไหวติง
ยามนี้เป็นยามเช้าตรู่ท้องฟ้ายังไม่สว่างไสว ผิวน้ำมีหมอกวารีจางๆ คลี่คลุมอยู่ ทำให้อากาศชื้น
ฉับพลันนั้นหานลี่ก็เลิกคิ้วขึ้น ทันใดนั้นก็เอ่ยโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
“ในเมื่อแขกผู้มีเกียรติมาแล้ว เหตุใดต้องหลบซ่อนตัวด้วย สหายก็นับว่าเป็นเจ้าของที่นี่ครึ่งหนึ่ง ยังกลัวข้าน้อยจะลอบโจมตีอันใดหรือ?”
“หึๆ การแลกเปลี่ยนจำนวนมากเช่นนี้ ระวังหน่อยก็ไม่มีผลร้าย” กลางอากาศมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ชายสวมชุดคลุมสีเทาสวมงอบปรากฏขึ้น หลังจากหัวเราะหึๆ ก็ใช้เสียงแหลมๆ ตอบกลับ
“อันใดระมัดระวังหน่อยก็แล้วแต่นายท่าน ทว่าเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตที่ข้าต้องการ สหายนำมาด้วยแล้วสินะ” ในที่สุดหานลี่ก็หันกายมาแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตย่อมนำมาด้วยอยู่แล้ว ทว่าจำนวนที่สหายต้องการนั้นน่าตกตะลึงเกินไป ข้าเสียค่าตอบแทนไปไม่น้อย ถึงได้พอรวบรวมมาได้ ดังนั้นราคาของมัน เกรงว่าคงต้องสูงขึ้นอีกสองส่วน” ผู้สวมชุดคลุมสีเทาสวมงอบแววตาเปล่งประกายแล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“เพิ่มขึ้นสองส่วน? ข้าไม่เคยได้ยินการเพิ่มราคาก่อนจะทำการแลกเปลี่ยนมาก่อน” หานลี่พลันตะลึงงัน ทันใดนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
“ราคาตามเดิมย่อมได้ ทว่าจำนวนที่สหายต้องการ พวกเรากลับจัดหาให้ได้แค่หนึ่งในสามส่วนเท่านั้น สหายคงไม่ปล่อยให้พวกเราทำการแลกเปลี่ยนแบบเสียเปรียบหรอกกระมัง!” ผู้สวมชุดคลุมสีเทาไม่ใส่ใจเลยสักนิด แล้วตอบกลับพร้อมกับเสียงหัวเราะแหลมๆ
“หึ พวกเจ้าจะเสียเปรียบ? ช่างเถิด ข้ายังมีธุระอื่น ไม่มีเวลามาต่อรองกับพวกเจ้า เอาตามที่พวกเจ้าว่าก็แล้วกัน ราคาเพิ่มขึ้นได้สองส่วน แต่คุณภาพของเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตก็ต้องผ่านมาตรฐาน จำนวนก็ลดลงได้เล็กน้อย” หานลี่แค่นเสียงหึ หลังจากที่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส สุดท้ายก็ตัดสินใจแล้วถึงได้เอ่ยขึ้น
“ฮ่าๆ สหายโปรดวางใจ เมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตล้วนเป็นสินค้าระดับสุดยอด และยิ่งไปกว่านั้นจำนวนก็ไม่ลดลงเลย” ผู้สวมชุดคลุมสีเทาพลันดีใจ แล้วตอบกลับพร้อมกับหัวเราะร่า
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง เริ่มการแลกเปลี่ยนเถิด” หานลี่มีท่าทีไม่คิดเช่นนั้นแล้วสะบัดแขนเสื้อ วงแหวนทรงกลมสีดำบินออกมาแล้วพุ่งไปหาผู้สวมชุดคลุม
“สหายวางใจข้าน้อยเป็นอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าจะมอบศิลามารออกมาให้ก่อน” ผู้สวมชุดคลุมสีเทาเห็นหานลี่ทำเช่นนี้ ก็ตกตะลึงเล็กน้อย แต่การเคลื่อนไหวในมือกลับไม่ชักช้าเลยสักนิด มือหนึ่งตะปบออกไป ดูดวงแหวนทรงกลมเข้ามาในมือ และใช้จิตสัมผัสกวาดเข้าไปข้างใน
หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชา กลับไม่ได้ตอบคำถามนี้
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใบหน้าของผู้สวมชุดคลุมสีเทาสวมงอบพลันเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“ดูแล้วสหายคงเป็นผู้ที่มีประวัติความเป็นมาจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะเอาศิลามารจำนวนมากออกมาในครั้งเดียวได้จริงๆ ในเมื่อสหายเป็นผู้ที่รักษาสัญญา ข้าน้อยย่อมไม่มีทางผิดสัญญา พี่ฟาง ปรากฏตัวเถิด เอาเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตทั้งหมดออกมา” ผู้สวมชุดคลุมสีเทาเก็บวงแหวนทรงกลมเข้าไป เสียง “ปัง” ดังขึ้น ปรบมือทั้งสองข้างเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยความดีใจ
สิ้นเสียงกลางอากาศที่สูงกว่าเดิมมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ เงาร่างคนสีเขียวสายหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ
คนผู้นี้ดูเหมือนจะขยับมือข้างหนึ่ง
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น!
กำไลเก็บของสีเขียวมรกตดีดออกมาจากร่าง หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็บินมาหาหานลี่อย่างมั่นคง
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี แต่แขนเสื้อพลันม้วนวน ตะปบกำไลทรงกลมที่บินมาอยู่ตรงหน้าไปจากนั้นก็แตะไปที่หน้าผาก เริ่มตรวจสอบของที่อยู่ด้านในเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าการตรวจสอบของหานลี่ละเอียดกว่าผู้สวมชุดคลุมสีเทามาก
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร เขาถึงได้ชักมือกลับมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย และเอ่ยกับผู้สวมชุดคลุมสีเทาอย่างราบเรียบ
“แม้ว่าราคาจะสูงหน่อย แต่ของก็ไม่เลวจริงๆ”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ปิดบังสหาย การรวบรวมเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตระดับสูง ทำให้การแลกเปลี่ยนของพวกเราและตระกูลอื่นๆ ล่าช้าลง ดังนั้นข้าน้อยก็ทำได้เพียงขึ้นราคา” ผู้สวมชุดคลุมสีเทาเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเสียงแหลมๆ
“ในเมื่อแลกเปลี่ยนกันเสร็จแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่รั้งรออยู่นานขอตัวลาก่อน” หานลี่เก็บกำไลสีเขียวมรกต สองมือประสานกำปั้นคารวะขณะเอ่ย
จากนั้นก็เห็นเขามีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ คนกลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไป แค่กะพริบวาบๆ ก็หายวับไปจากขอบฟ้า
“คาดไม่ถึงว่าจะเดินเหินได้อย่างสบายๆ ภายใต้เขตอาคม ดูแล้วคนผู้นี้คงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ เหนือกว่าที่เจ้ากับข้าคาดการณ์เอาไว้!” ผู้สวมชุดคลุมสีเทามองท้องฟ้าชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยขึ้น
น้ำเสียงเปลี่ยนจากแหลมสูงเป็นทุ้มต่ำ!
“ในเมื่อคนผู้นี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ลงมือได้ ย่อมถือว่าทำการแลกเปลี่ยนก็พอแล้ว จะว่าไปแล้วผู้ที่ซื้อเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตอยู่ในเมืองช่วงนี้ ดูเหมือนว่าพลังยุทธ์จะไม่อ่อนแอ พวกเราลงมือแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น” เงาสีเขียวกลางอากาศเอ่ยอย่างเย็นชา
“เผชิญหน้ากับขุมอำนาจใหญ่ๆ บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่อยากล่วงเกินง่ายๆ คู่ต่อสู้ที่พวกเราลงมืออย่างเงียบๆ ได้ มีเพียงขุมอำนาจเล็กๆ หรือไม่ก็แขกนิรนามที่มาเพียงลำพังเท่านั้น ผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่เพียงมีพลังยุทธ์ไม่อ่อนแอ และยิ่งไปกว่านั้นพอเข้ามาในเมืองก็กว้านซื้อทองคำมารอย่างโจ่งแจ้ง น่าจะเป็นผู้ที่มาจากขุมอำนาจไม่ใช่เล็กๆ แน่นอนว่าพวกเราย่อมไม่อาจล่วงเกินได้ เอาศิลามารได้เยอะหน่อยก็นับว่าไม่กลับไปมือเปล่าแล้ว” ผู้สวมชุดคลุมสีเทากลับดูเหมือนว่าจะใจกว้าง แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“ถึงอย่างไรเสียคนผู้นี้ก็มีประวัติความเป็นมาลึกลับ เวลาสั้นเกินไป ไม่อาจตรวจสอบฐานะที่แท้จริงของเขาได้ในระยะเวลาอันสั้น และพวกเราก็ถูกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เรียกหาแล้ว ต้องออกจากเมืองทันที ไม่มีปัญหาใดสอดแทรกเข้ามาก็ไม่เลวแล้ว” เงาร่างคนสีเขียวตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก ทันใดนั้นผิวก็เปล่งแสงสว่างวาบ หนีหายไปจากกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
“เกินจำนวนก็ไม่เลวแล้ว! ข้ามีลางสังหรณ์หากลงมือกับคนผู้นั้น ไม่แน่ว่าผู้ที่ต้องรู้สึกเสียใจภายหลังอาจจะเป็นพวกเราสองคน” ผู้สวมชุดคลุมสีเทามองจุดที่เงาร่างคนสีเขียวสลายหายไปชั่วครู่ ก็หรี่ตาทั้งสองข้างลงแล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ