A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2138 ทางเดินสำเภายักษ์
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2138 ทางเดินสำเภายักษ์
หานลี่และพวกที่โดยสารอยู่บนรถเหาะไม่หยุดชะงักเลยสักนิด หลังจากกะพริบวาบก็พุ่งไปยังใจกลางเมฆมารราวกับดาวตก
ท่ามกลางม่านหมอกสีดำที่แผ่ออกมา ทางเดินยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางสองสามลี้เผยออกมา
และในยามนั้นเองฉับพลันนั้นเมฆทั้งสองฝั่งก็มีเสียงเย็นชาที่แตกต่างกันสองเสียงดังขึ้น!
“ทางนี้ไปไม่ได้”
“กลับไปซะ”
สิ้นเสียงเมฆสีดำข้างหนึ่งก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีดำความยาวสิบจั้งเศษเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นอสรพิษสายฟ้าพุ่งไปยังรถเหาะ
หลังจากที่เสียงกรีดร้องยาวๆ ดังขึ้นจากอีกด้าน เงาลวงตากระบี่ยักษ์สีเขียวก็ยื่นออกมาจากม่านหมอก และสับลงมาจากกลางอากาศ กระบี่ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งม้วนวนออกมา
หานลี่ที่อยู่ในรถเหาะเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
แม้ว่าผู้ที่ลงมือทั้งสองจะซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอก แต่การลงมือกลับน่าตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่จอมมารเผ่ามารธรรมดาๆ จะเทียบเทียมได้
แน่นอนว่าเขาจะไม่ได้เห็นการโจมตีนี้อยู่ในสายตา ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งกลับชี้ไปที่กระบี่สีเขียวที่กำลังพุ่งเข้ามาเบาๆ
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นจากในแขนเสื้อ ลำแสงสีทองสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าสีทองหนาๆ ดีดออกมา และอีกด้านกลับมีไอกระบี่ปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้ว ลำแสงสีทองเจิดจ้าม้วนวนออกมา
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น
ประจุไฟฟ้าปะทะประจุไฟฟ้า กระบี่ลำแสงปะทะกระบี่ลำแสง
หลังจากที่ทั้งสี่สัมผัสกันก็ระเบิดลำแสงเจิดจ้าออกมา แต่หลังจากนั้นก็หม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว คาดไม่ถึงว่าจะสลายหายไปพร้อมกัน
ทั้งสี่ดูเหมือนจะเสมอกัน
หานลี่เห็นฉากนั้นพลันตกตะลึง เผ่ามารสองคนที่อยู่ท่ามกลางเมฆสีดำทั้งสองฝั่งก็ตกตะลึง
ต้องเข้าใจว่าการโจมตีของเผ่ามารระดับสูงสองคนนั้นแม้จะดูธรรมดา แต่ความจริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยอานุภาพที่ไม่ธรรมดา
ประจุไฟฟ้าสีดำสายนั้นเลื่องชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่อัสนีเทวะของแดนมาร แฝงไว้ด้วยพลังกัดกร่อนที่น่ากลัว สมบัติทั่วๆ ไปถูกฟันลงไป จะต้องถูกกัดกร่อนจนเป็นรูพรุนทันที
ส่วนไอกระบี่สีเขียวอีกสายก็เป็นอิทธิฤทธิ์ประจำกายของเผ่ามารอีกตนที่ฝึกฝนอย่างหนักมาเป็นหมื่นปี อาศัยความแหลมคมที่ไม่เป็นสองรองใครของมันก็ไม่รู้ว่าสับกระบี่บินและดาบบินมาเท่าไหร่แล้ว
แต่ยามนี้ทั้งสองโจมตีพร้อมกัน คาดไม่ถึงว่าจะถูกหานลี่ใช้ขั้นตอนเดียวกันโจมตีจนสลายหายไป จะไม่ทำให้เผ่ามารทั้งสองที่มองตนเองว่าสูงส่งตกตะลึงได้อย่างไร
ทว่าหานลี่ไม่คิดจะอยู่กับมารทั้งสองต่ออีก รถเหาะที่เดิมหยุดชะงักเพราะการสั่นสะเทือน ก็สั่นเทาอีกครั้งกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งไปยังทางเดินยักษ์
“บังอาจ?”
“ยังคิดจะหนี?”
เผ่ามารระดับสูงสองฝั่งเห็นเช่นนั้นก็ร้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างไม่ได้นัดหมาย โยนความตกตะลึงระคนสงสัยในใจทิ้งไปแล้วลงมืออีกครั้ง
ครั้งนี้กลางหมอกสีดำข้างหนึ่งพลันมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้น ประจุไฟฟ้าสีดำหนาแน่นพุ่งออกมา
อีกด้านหนึ่งพลันมีเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น ไอกระบี่ที่หนากว่าก่อนหน้าสี่ห้าเท่าเปล่งแสงสว่างวาบราวกับดวงอาทิตย์แล้วสับลงมา
การโจมตีทั้งสองแทบจะเกิดขึ้นพร้อมกัน และยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายกลับไม่ได้พุ่งมา แต่เป็นปากทางเดินนั้น ครู่ต่อมาปากทางเดินก็ถูกผนึกไว้อย่างแน่นหนา
รถเหาะคิดจะหนีเข้าไปย่อมต้องทะลวงทั้งสองไปถึงจะได้
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้หานลี่ที่อยู่บนรถเหาะไม่โกรธแต่กลับยิ้มทันใดนั้นก็ร้องคำรามต่ำๆ ร่างกายเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ร่างทั้งร่างกลายเป็นวานรยักษ์ขนสีทองสูงสองสามจั้ง สองมือยักษ์แค่กุมนิ้วทั้งห้า แขนก็ใหญ่ขึ้นสองสามเท่า และโคจรพลังสิบส่วนโจมตีไปที่ประจุไฟฟ้าและกระบี่ลำแสงตรงหน้าเสียงดัง “ปังๆ”
จากพลังของหานลี่ที่กลายร่างเป็นวานรยักษ์ภูเขาสำแดงไปเต็มกำลัง อานุภาพน่าเหลือเชื่อขนาดไหนแค่คิดก็รู้แล้ว เกรงว่าสิ่งมีชีวิตระดับมหายานก็ไม่มีทางยอมรับการโจมตีหนีตรงๆ ได้
อากาศตรงหน้าบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง อากาศรางเลือน เงากำปั้นยักษ์สีทองสองกำปั้นปรากฏขึ้น ขนาดเท่าภูเขาขนาดย่อม และทุบไปตรงหน้าราวกับเป็นของจริง
หลังจากเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น ประจุไฟฟ้าและกระบี่ลำแสงที่ขวางอยู่เบื้องหน้าก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้การโจมตีของเงากำปั้นลำแสงสีทองนับหมื่นสาย และถูกโจมตีจนเกิดทางออก
รถเหาะแค่รางเลือนก็เปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปในทางเดินด้านหลัง
จากนั้นในทางเดินก็มีรัศมีห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบระลอกคลื่นปรากฏขึ้น รถเหาะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง
ยามนี้เมฆสีดำทั้งสองฝั่งแยกตัวออก ถึงได้มีเงาร่างคนสองสายพุ่งออกมาอย่างร้อนรน
หลังจากที่ทั้งสองกะพริบวาบๆ ก็ปรากฏตัวที่ทางเข้าทางเดินพร้อมกัน มองไปยังทางเดินที่ลึกล้ำยากจะคาดเดา คาดไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
มารทั้งสองคนหนึ่งมีใบหน้าสดใส สวมชุดคลุมยาวสีม่วง หัวมีเขางอกออกมาเขาหนึ่ง คนหนึ่งผิวสีดำสนิท เรือนผมสีแดงเพลิง สวมชุดเกราะสงครามสีขาว
“จะทำอย่างไรดี คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะบุกเข้าไปจริงๆ คงไม่ได้บังเอิญพบกับใต้เท้าพอดีหรอกกระมัง” เผ่ามารผิวดำสนิทอายุประมาณสี่สิบปีเศษ เอ่ยด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ
“น่าจะไม่บังเอิญขนาดนั้น ใต้เท้าแค่บอกว่าจะกลับมาจากแดนวิญญาณวันนี้ แต่ไม่ได้บอกเวลาที่แน่นอน บางทีอาจจะเป็นตอนเย็นถึงจะกลับมา” เผ่ามารอีกคนหนึ่งพยายามเยือกเย็น แล้วเอ่ยอย่างไม่ตรงกับใจ
“หากเป็นเช่นนั้นก็ดี! แต่ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้พวกเราไม่อาจหนีการละเลยหน้าที่ได้ เจ้าพวกนั้นคือใครกันแน่ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าบุกเข้าไปในทางเดิน หรือว่าไม่กลัวพบกับใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์?” เผ่ามารผิวดำถอนหายใจออกมา เอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น แต่ประโยคสุดท้ายกลับเปลี่ยนเป็นกัดฟัน
“คนอื่นไม่ต้องพูดถึง ผู้ที่ลงมือเมื่อครู่มีอิทธิฤทธิ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา ทำลายอิทธิฤทธิ์ของเจ้ากับข้าได้อย่างสบายๆ ไม่ใช่จอมมารธรรมดาๆ แน่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์?” เผ่ามารชุดคลุมสีม่วงลังเลเล็กน้อย แววตาเปล่งประกายพลางเอ่ยอย่างฉงน
“ใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ย่อมเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าคนผู้นั้นจะมีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจ แต่ยังไม่ถึงระดับนั้น และยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นบรรพชนศักดิ์สิทธิ์จริง จะบุกเข้ามาที่นี่ทำไม ไม่สำแดงฐานะออกมาเลย เจ้ากับข้าก็จะเปิดทางให้แต่โดยดีแล้ว!” เผ่ามารผิวดำได้ยินกลับสั่นศีรษะราวกับตีกลอง
“หากไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ เป็นจอมมารที่แข็งแกร่งคนอื่นที่ระดับต่ำกว่าระดับมหายาน และหากบอกว่าแข็งแกร่งดั่งคนผู้นั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากเป็นคนผู้นั้นจริง เจ้ากับข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร ลองกลับไปถามจอมมารตนอื่นที่รักษาการณ์อยู่ด้านล่างป้อมเป็นไง ดูว่าพวกเขาพบอันใดหรือไม่?” เผ่ามารชุดคลุมสีม่วงครุ่นคิดแล้วเอ่ยอย่างลังเล
“เจ้ากับข้าล้วนดูไม่ออก เจ้าพวกไร้ประโยชน์นั้นคงมองไม่เห็นแม้แต่หน้าตา จะช่วยได้อย่างไร?” เผ่ามารผิวดำกวาดตามองไปด้านล่าง เห็นลำแสงหลีกหนีสองสามสายกำลังพุ่งมาก็หรี่ตาทั้งสองข้างลงแล้วเอ่ยอย่างหยิ่งยโส
“แต่ไม่ว่าอย่างไร ถามสักหน่อยก็ไม่ผิด ไม่แน่ว่าอาจจะมีเบาะแส” เผ่ามารผิวดำกลับมีท่าทางอย่างไรก็ได้
และในยามที่เผ่ามารทั้งสองพูดคุยกัน ลำแสงหลีกหนีสองสามสายถึงได้หม่นแสงลงแล้วมาอยู่ตรงทางเดิน และเผยร่างจอมมารเผ่ามารร่างกายสูงใหญ่แตกต่างกันสองสามคนออกมา พลางทยอยกันคารวะมารทั้งสองด้วยท่าทีนอบน้อมยิ่ง
เผ่ามารผิวดำเองก็ไม่เกรงใจ ทันใดนั้นฝ่ามือข้างหนึ่งก็วาดไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นกลางอากาศพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ท่ามกลางรัศมีลำแสงสีเขียวมีหน้าตาของหานลี่และพวกทั้งสามปรากฏขึ้น
“รู้จักคนเหล่านี้หรือไม่ มีใครรู้จักพวกเขาบ้าง?” เผ่ามารผิวดำเอ่ยถามอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินคำถามของเผ่ามารผิวดำ จอมมารที่เข้ามาใหม่ก็มองภาพเหมือนของหานลี่และพวกอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แต่กลับอดที่จะมองสบตากันไปมาไม่ได้
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้มีจอมมารบุรุษร่างกายผ่ายผอมก้าวมาข้างหน้า แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง
“ใต้เท้าทั้งสอง จากอิทธิฤทธิ์ของพวกท่าน คนพวกนี้อาจจะไม่ใช่คนจากแดนมารของพวกเรา แต่เป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์จากแดนวิญญาณ!”
“ผู้แข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์!” เผ่ามารผิวดำได้ยินแล้วพลันตะลึงงันและฉงนขึ้นมา
เผ่ามารชุดคลุมสีม่วงที่อยู่ด้านข้างได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“ใช่แล้ว หลังจากที่ท่านทั้งสองมารักษาการณ์ที่นี่ ก็กักตนฝึกฝนมาโดยตลอด ไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลก แต่ความจริงแล้วมีเรื่องของคนเหล่านี้แพร่งพรายไปกว่าครึ่งแดนศักดิ์สิทธิ์นานแล้ว แม้กระทั่งมีข่าวลือว่ามีบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ถูกพวกเขาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก” จอมมารอีกคนหนึ่งอธิบายอย่างร้อนใจ
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย พวกเจ้าอธิบายมาให้ละเอียดซิ” มารทั้งสองหน้าเปลี่ยนสี แล้วมีท่าทีไม่อยากจะเชื่อ
“เรื่องนี้ต้องเริ่มที่สองสามปีก่อน…” จอมมารร่างกายผ่ายผอมไม่กล้าดูแคลน เริ่มอธิบายข่าวลือของหานลี่ทันที
มารทั้งสองฟังอย่างตั้งใจไปพลาง สีหน้าเปลี่ยนสีไปมาไปพลาง
……
กลางอากาศในทางเดิน รถเหาะถูกอักขระยันต์และลำแสงห่อหุ้มเอาไว้ตั้งนานแล้ว และกำลังเหาะเหินไปตามระลอกคลื่นกลางอากาศอย่างรวดเร็ว
หานลี่ยืนอยู่ตรงหัวรถเหาะ และกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ตั้งนานแล้ว แม้ว่าจะยังคงยืนตัวตรงแน่ว แต่ใบหน้ากลับเผยสีหน้าผ่อนคลายลง
เมื่อเข้ามาในทางเดิน หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยามรถเหาะก็กลับมาสู่แดนวิญญาณโดยอัตโนมัติ
แม้ว่าอีกฝั่งของทางเดินจะเป็นแดนวิญญาณของเผ่าพฤกษา แต่ก็ยังคงทำให้หานลี่รู้สึกตื่นเต้น ตื่นเต้นที่จะได้กลับบ้านเก่า
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป รถเหาะบินโคลงเคลงไปอย่างไร้ซึ่งการขัดขวาง
หานลี่ขบคิดในใจว่าน่าจะมาได้ครึ่งทางแล้ว ฉับพลันนั้นตรงข้ามก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีสำเภาสงครามขนาดใหญ่สีดำสนิทอีกลำหนึ่งปรากฏขึ้น ความยาวร้อยจั้งเศษ ด้านบนมีนักรบเผ่ามารยืนอยู่เต็มไปหมด และกำลังเหาะมาตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“แย่แล้ว”
หานลี่ร้องอุทานในใจ รวบรวมพลังปราณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
แม้ว่าจะกลัวพายุอากาศที่รุนแรงในทางเดิน ปกติแล้วจึงจะไม่ลงมือต่อสู้กันง่ายๆ แต่หากอีกฝ่ายลงมือก่อนโดยไม่สนใจ เขาย่อมไม่อาจยอมให้จับโดยไม่ตอบโต้ได้
และสำเภายักษ์ที่น่าตกตะลึงนี้ เกรงว่าด้านบนคงมีเผ่ามารระดับสูงอย่างจอมมารที่ไม่ธรรมดาดูแลอยู่แน่
เขาย่อมต้องระมัดระวังมากขึ้น
รถเหาะและสำเภาเหาะนั้นรวดเร็วยิ่ง!
แค่หนึ่งชั่วลมหายใจทั้งสองก็อยู่ห่างกันแค่คืบ ล้วนมองเห็นผู้ที่อยู่ด้านบนของกันและกันได้อย่างชัดเจน