A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2145 สนทนา
หลังจากที่หานลี่ได้ฟังดังนั้น ก็เงียบลงครู่หนึ่ง
“ร่างจันทราดาราทั้งเจ็ด”
นักพรตปูพรวดพราดเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค ด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“สหายปูเอง ก็เคยได้ยินร่างนี้?” บรรพชนอาวุโสตระกูลหล่งตกใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะถามกลับไป
“ข้าเคยได้ยินเจ้าของคนก่อนเอ่ยถึงอยู่ครั้งหนึ่ง ร่างนี้ค่อนข้างพิเศษ ถึงแม้จะอยู่ในแดนเซียนเองก็ค่อนข้างพบได้น้อยมาก” ทันทีที่นักพรตปูกลับคืนมาก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“สามารถคุมการฝึกฝนเซียนจอมปลอม เมื่อก่อนเจ้าของสหายนักพรตปูจะต้องเป็นนักรบที่มีความสามารถในแดนเซียนอย่างแน่นอน ที่พูดมาทั้งหมดจะต้องไม่ผิดแน่ และในแดนวิญญาณ ถึงแม้ว่าจะมีคนไม่รู้จักร่างจันทราดาราทั้งเจ็ดไม่มากนัก แต่ว่าถ้าพูดถึงความเข้มแข็งและยิ่งใหญ่ ที่จริงกลับไม่ใช่สิ่งที่ต้องเก็บเป็นความลับอะไร แต่ด้วยเหตุผลนี้ ผู้อาวุโสถึงได้ให้ความสำคัญกับหลิงหลงเช่นนี้ ถึงอย่างไรเสียหลังจากที่นางมีร่างจันทราเจ็ดดารา หากไม่เคยเข้าไปในบ่อชำระวิญญาณและได้ครอบครองและใช้บัววิญญาณพิสุทธิ์ ก็คงจะมีโอกาสได้เข้าถึงระดับมหายานเช่นนี้หรือ” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเสี่ยวถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“มีร่างจันทราเจ็ดดาราในกายแล้วละก็ ที่จริงการเข้าสู่ระดับมหายานมีความเป็นไปได้มากกว่าคนธรรมดาเสียอีก” หลังจากที่นักพรตปูเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ก็ไม่เอ่ยอะไรต่อ
ตอนนี้ จิตของหานลี่ได้กลับคืนมาจากการคิดไตร่ตรอง และได้เอ่ยถามบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยว
“ตามที่ท่านอาวุโสเอ๋าเซี่ยวกล่าวมา ตอนนี้ปัญหาของหลิงหลงแม้แต่ผู้อาวุโสก็ไม่มีวิธีแล้ว แต่พอข้าได้ยินท่าทางน้ำเสียงของท่านอาวุโสแล้วดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือหรือไม่!”
“ดีเลย ข้ารู้ว่าสหายหานไม่ใช่คนที่จะไม่จำความรู้สึกเก่า ความจริงหลังจากที่ผู้อาวุโสรู้ว่าเคล็ดวิชาลืมเลือนนั้นไม่เหมาะสมกับหลิงเอ๋อร์เจ้าเด็กนี่ จากที่ได้ครุ่นคิดอย่างหนัก ที่จริงก็นึกขึ้นมาได้อยู่วิธีหนึ่ง สามารถทำให้ได้ผลจากเคล็ดวิชานี้น้อยที่สุด และอาจจะมีโอกาสที่มันจะได้รับผลน้อยมากหรือไม่มีเลย ทว่าต้องรบกวนสหายหานให้พยายามอย่างเต็มที่” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวที่ได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกยินดี และเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ
“ยังต้องรบกวนผู้อาวุโสสั่งสอน ตราบใดชนรุ่นหลังสามารถทำได้ ข้าเองก็ไม่ปฏิเสธ” เรื่องราวของหานลี่และอิ๋นเย่ว์ที่เคยอยู่ร่วมกันเมื่อครั้นที่อยู่ในแดนมนุษย์มากมายก็แวบขึ้นมาในหัวที่ละน้อย หลังจากที่สูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ หานลี่จึงได้กล่าวคำรับปากไป
“ศิษย์พี่ปู ข้าต้องการคุยกันเป็นการส่วนตัวกับสหายหานข้างล่างเสียหน่อย หวังว่าสหายจะหลีกทางให้ชั่วคราว” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวไม่ได้เอ่ยร้องขอต่อหานลี่ในทันที แต่กลับเอ่ยขออภัยต่อนักพรตปูก่อน
นักพรตปูพอได้ยิน ใบหน้าที่เรียบนิ่งก็สั่นไหวเล็กน้อย แววตาอ่อนๆ กวาดมองไปที่หานลี่
แม้ว่าในครั้งแรกเขานั้นได้มีการหยุดข้อตกลงกับหานลี่ไปแล้ว และแม้ไม่มีสัญญาทุกการกระทำทุกอย่างจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของหานลี่ แต่ว่าเกือบจะทุกวันมานี้หานลี่ได้ให้ของเหลวสีเขียวลึกลับเป็นพื้นฐาน จิตใต้สำนึกของเซียนจอมปลอม ตนนี้ยังยอมที่จะปราถนาให้เขาเป็นผู้นำอยู่
“ศิษย์พี่ปู ท่านหลบออกไปก่อนก็ดีเหมือนกัน!” หลังจากหานลี่คิดไปคิดมา ก็พยักหน้าไปทางนักพรตปู
คำพูดถัดมาของบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยว ที่เกี่ยวข้องความลับสุดยอดของอิ๋นเย่ว์ เขาไม่อยากให้แม้แต่คนเดียวรับรู้
แม้ว่าท่านผู้นี้จะเป็นเพียงหุ่นเชิดของร่างทรง
นักพรตปูก้มหน้าเล็กน้อย ไม่พูดมากความลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ ค่อยเดินออกไปข้างนอกห้องโถงใหญ่
หลังจากที่เขาเดินออกไปข้างนอกห้องโถงใหญ่ ฉับพลันมีแสงสีขาวอ่อนๆ ประกายขึ้น และปิดลงเอง
หลังจากที่นักพรตปูเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกสายตาของทหารหุ่นเชิดในชุดเกราะเพ่งมอง จนเดินมาถึงถึงข้างกายจูกั่วเอ๋อร์ที่ยืนรออยู่ด้านนอก
จูกั่วเอ๋อร์ที่ได้ยินเสียงฝีเท้า หันมองกลับไปเห็นนักพรตปู ฉับพลันใบหน้าก็แสดงออกถึงความดีใจขึ้นมา
…
หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม ในที่สุดประตูห้องโถงใหญ่ก็เกิดประกายแสงสีขาวและเปิดออก
เงาร่างปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง หานลี่ก็เดินออกมาจากข้างในนั้น คิ้วค่อยขมวดขึ้น ราวกับว่าจิตใจนั้นเต็มไปด้วยความคิดมากมาย
“ไปกัน บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวได้จัดการเตรียมห้องสงบๆ ให้แล้ว พวกเราโดยสารเรือลำนี้กลับไปที่ค่ายทหารพันธมิตรแล้วค่อยคุยกัน” สายตาของหานลี่กวาดมองไปยังนักพรตปูและจูกั่วเอ๋อร์ สีหน้ากลับมาเป็นปกติ และเอ่ยขึ้นเบาๆ
จากนั้นเขาได้หมุนกายกลับมุ่งตรงไปข้างล่างปากทางบันไดชั้นหนึ่ง
นักพรตปูไม่มีความเห็นเลยแม้แต่น้อย รีบตามไปทันที
จูกั่วเอ๋อร์กะพริบตาดวงโตสีขาวดำชัดเจนไปมา ในใจนั้นมีความรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับการสนทนาลับของหานลี่และบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวระหว่างที่อยู่ในห้องโถง แต่ก็ไม่กล้าที่จะเปิดปากถามออกไป ทำได้เพียงแค่คาดเดาเท่านั้น
…
หลังผ่านไปครึ่งค่อนวัน ด้านในห้องแห่งความลับว่างเปล่าบนชั้นสองของเรือหอคอย
หานที่ลี่นั่งขัดสมาธิอยู่บนฟูก มือทั้งสองข้างใช้หัวแม่มือและนิ้วจับข้อนิ้วในท่าสวดเต้าหยิน ไม่ขยับแม้แต่น้อย แสงสีทองกะพริบออกมาจากร่างไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ากำลังเปลี่ยนถ่ายลมเป็นกำลัง
ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองข้างของเขาเปิดขึ้น แสงสีทองที่ปรากฏพลันหายไป ในที่สุดไม่นานก็ได้รับวิทยายุทธ์ และเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“สหายหลิงหลง ในเมื่อมาถึงด้านนอกประตูแล้ว เชิญเข้ามาคุยกันเถิด”
“เพียงไม่ได้พบกันพันกว่าปี ศิษย์พี่หานก็กลายเป็นคนแปลกหน้าขึ้นมา น้องยังหวังที่จะให้ศิษย์พี่หานเรียกน้องว่า ‘อิ๋นเย่ว์’ อยู่” หลังที่เสียงถอนหายใจเบาๆ เสียงไพเราะด้านนอกประตูก็ถูกส่งออกมา
“ในเมื่ออิ๋นเย่ว์รักและคำนึงถึงเรื่องผ่านมาเช่นนี้ เพื่อความเป็นพี่น้องไม่มีข้อยกเว้นที่จะรับคำสั่งไว้อย่างเป็นมารยาท” สีหน้าของหานลี่แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย หลังจากที่ตอบกลับไปเบาๆ แขนเสื้อก็พุ่งเข้ามาแต่ไกลประตูห้องเกิดการสั่นเล็กน้อย
วินาทีต่อมา แสงบนประตูห้องก็สว่างไสวขึ้น ของต้องห้ามเดิมที่ประดับอยู่ด้านบนก็พลันหายไป และเปิดออกเองจากด้านนอก
บนขั้นบนไดด้านนอกประตูห้อง ร่างบางอรชรที่ยืนอยู่ตรงนั้น เป็นอิ๋นเย่ว์ที่โผล่ออกมาโดยกะทันหัน
ดวงตาดำขลับคู่สวยหยาดเยิ้มเคลื่อนไหว ใบหน้าขาวสะอาดมีเลือดฝาดประดับอยู่ราวกับสีชาด ประกอบกับผมสีเงินยาวสลวยจรดเอว ใบหน้าที่งดงาม เกือบจะทำให้หานลี่ที่มองอยู่นั้นตกอยู่ในภวังค์อย่างห้ามไม่ได้
และอิ๋นเย่ว์ที่เห็นประตูห้องเปิด สีหน้าบนใบหน้าก็เปลี่ยนเล็กน้อย ทันใดนั้นเท้าขาวสะอาดก็ได้เดินเข้ามา และเพียงไม่ก็ก้าวก็จะเดินมาถึงสถานที่ที่ห่างไกลจากหานลี่ไม่ถึงจั้ง หลังจากที่ได้ทำการสำรวจคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด ฉับพลันก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นสาเหตุมาจากวิทยายุทธ์ ทำให้คำพูดและการกระทำของน้องดูไร้มารยาท หวังว่าศิษย์พี่หานจะไม่ตำหนิกัน!”
หลังจากที่พูดจบ มือขาวบริสุทธิ์ที่ว่างเปล่าของนางก็หยิบฟูกอีกอันที่อยู่ใกล้ๆ ขึ้นมา แล้วนั่งคุกเข่าตรงข้ามกับหานลี่
หานลี่มองพิจารณาหญิงงามตรงหน้าเขาที่ดูแตกต่างราวกับเป็นคนละคน หลังจากยิ้มเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อรู้ว่าเป็นเพราะวิทยายุทธ์เจ้าถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ หานนั้นจะเอามาใส่ใจได้อย่างไร เจ้าเพิ่งจะได้หลุดพ้นจากผลจากเคล็ดวิชา ก็รีบร้อนมาเสียแล้ว ควรจะปรับสมาธิทำจิตให้สงบมากกว่านี้ก่อน”
“ไม่เป็นไร! เมื่อวันเวลาเรียงลำดับผ่านไปอย่างเหมาะสม ผลกระทบจากเคล็ดวิชาลืมเลือนที่มีต่อน้องนั้นก็น้อยมากแล้ว และข้าก็กังวลว่ามันจะสายเกินไป ไม่ทันได้พูดบางประโยคกับศิษย์พี่หาน สักพักคงได้กลับไปเป็นแบบท่อนไม้เช่นนั้นอีกครั้ง นั่นไม่ทำให้ยิ่งหงุดหงิดไปกันใหญ่เหรอ” อิ๋นเย่ว์ยิ้มหวาน และเอ่ยขึ้นอย่างสบายใจ
“หลายปีมานี้ที่ไม่พบกัน นิสัยใจคอเจ้านั้นเหมือนเมื่อก่อนไม่มีเปลี่ยนเลย ในใจคิดอะไรอยู่ ก็พูดสิ่งนั้นออกมาตรงๆ เลย” หานลี่สับสนเล็กน้อย แต่ทันใดก็ยิ้มฝืนพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“หืม ศิษย์พี่หานยังจะกล้าพูด นิสัยนี้ของข้าไม่ได้เหมือนตอนที่ถูกท่านใช้เยี่ยงทาส และถูกบังคับให้ฝึกฝนนะ ไม่เช่นนั้นเมื่อท่าน’เจ้านาย’คนก่อนไม่ไว้วางใจข้า ข้าก็แค่’อสูรวิญญาณ’ ยังไม่อยากถูกกำจัดออกไปตรงๆ หรอก” อิ๋นเย่ว์เหล่ตามองหานลี่ มือขาวยกขึ้นมาปิดริมฝีปากแดงหัวเราะเบาๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“เฮ้อ… เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องของวันวานแล้ว อิ๋นเย่ว์ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงมากมาย ตอนแรก ไม่ใช่ว่าข้าไม่รู้ร่างที่แท้จริงของเจ้า นึกว่าเจ้าเป็นแค่ปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่งเท่านั้น!” หานลี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าที่ปรากฏสีหน้าเก้อเขินที่พบเจอได้ยากขึ้นมา
“เป็นเช่นนี้จริงหรือ! เริ่มตั้งแต่เมื่อไร ศิษย์พี่หานอาจจะคิดแบบนี้จริงๆ แต่หลังจากนั้นแล้ว ก็ควรระแวงน้องตั้งนานแล้ว ทว่าตอนนั้น ก็ไม่เคยเห็นท่านเรียกใช้ข้าไปที่นั่นเลย!” ริมฝีอิ๋นเย่ว์งอนขึ้น เอ่ยขึ้นพร้อมกับท่าทางเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“ตอนนั้นหานคนนั้นการบำเพ็ญตนยังตื้นเขินอยู่ เจอเรื่องร้ายอย่างต่อเนื่อง แล้วก็เป็นความโชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากสหายอิ๋นเย่ว์ ถึงได้สามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติใหญ่หลายครั้งติดต่อกัน ไม่เช่นนั้นข้าน้อยคงจะไม่มีวันได้บินไปถึงแดนวิญญาณ และสามารถเดินมาถึงทุกวันนี้ได้” หานลี่เอ่ยขึ้นใบหน้าพลันปรากฏความจริงใจออกมา
“การที่น้องมาครานี้ ไม่ได้เจาะจงมาหาศิษย์พี่หานเพราะว่าเพื่อคิดบัญชีย้อนหลัง หากเอ่ยย้อนไป ตอนที่ท่านให้สหายลอบส่งข่าวหาข้าตอนนั้น ข้าเองยังรู้สึกตกใจ นึกไม่ถึงว่าศิษย์พี่หานกำลังเข้ามาในแดนวิญญาณจริงๆ ในท้ายที่สุดพลังวิญญาณแดนมนุษย์นั้นเปราะบางเกินไป สามารถเข้ามาสู่อาณาจักรเทพแปลงได้ เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเรื่องหนึ่ง การทะยานเข้าไปในแดนวิญญาณนั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง” ปลายคิ้วของอิ๋นเย่ว์ยกขึ้น ใบหน้าขาวสะอาดตอบกลับอย่างเคร่งขรึม
“กลายเป็นความโชคดีที่สุดของศิษย์พี่แล้ว แต่พูดถึงเรื่องนี้ ข้ายังไม่ทันได้ขอบใจเจ้าเลยอิ๋นเย่ว์ ในตอนแรกถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าแอบนำเรื่องจุดเชื่อมนี้ไปบอก ข้าก็ไม่อาจสามารถหาตำแหน่งจุดเชื่อมได้ และสามารถเข้ามายังแดนวิญญาณได้อย่างราบรื่น” หานลี่จ้องมองไปที่ใบหน้าขาวสะอาดของอิ๋นเย่ว์ และเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ตอนนั้นน้องเพิ่งที่จะรวมทั้งสองวิญญาณเข้าด้วยกัน และต้องกลับไปที่แดนวิญญาณทันทีอีกครั้ง นี้ก็เป็นเพียงเรื่องเดียวที่สุดกำลังของข้าจะทำได้แล้ว แต่เมื่อเทียบกับบุญคุณที่ศิษย์พี่หานช่วยชีวิต ก็ไม่นับว่าอะไรมากมาย” สีหน้าของอิ๋นเย่ว์ต่างไปจากเดิม และเอ่ยด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย
“แต่ว่าคำพูดนี้ของอิ๋นเย่ว์ดูจะถ่อมตัวเกินไป” หานลี่เมื่อได้ยิน ก็ส่ายหัวไปมา”
“ใช่แล้ว ตั้งแต่วันนั้นหลังจากที่ศิษย์พี่หานรอดพ้นจากอันตรายจากเขาคุนอู๋ พวกศัตรูตัวฉกาจของเจ้าก็ไม่ได้ตามไล่ฆ่าต่อแล้ว ต่อไปภายหลังเจ้าจะเข้าไปสู่ระดับระดับเทพแปลงได้อย่างไร สามารถเล่าให้น้องฟังได้ไหม” อิ๋นเยว์เปลี่ยนหัวข้อในบทสนทนา ใบหน้าแสดงความตื่นเต้นเมื่อถามถึงเรื่องแดนมนุษย์ในตอนนั้นขึ้นมา
“เฮอๆ พูดถึงเรื่องนี้แล้วมันยาว ในตอนนั้นหลังจากที่เจ้ากับข้าพึงพาพลังเข็มทิศดวงดาวเดินจากไป แต่กลับเข้าไปในอีกสถานที่หนึ่งที่เรียกว่า ”เกาะอเวจีเหนือ”…” หลังจากที่หานลี่ยิ้มเล็กน้อย ก็เริ่มที่อธิบายประสบการณ์ตอนนั้นที่อยู่แดนมนุษย์
การอธิบายของหานลี่ กินเวลานานกว่าครึ่งชั่วยาม ไม่เพียงแต่พูดถึงเรื่องของตัวเองหลังจากตอนนั้นที่เกาะอเวจีเหนือในแดนมนุษย์หนึ่งรอบ ยังเล่าต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่ตนเข้าไปในแดนวิญญาณ และเล่าเรื่องที่เหลืออีกนิดหน่อย
เมื่อเปรียบเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป ประสบการณ์ของหานลี่นั้น เรียกได้ว่าน่าตื่นเต้นและแปลกประหลาดมาก
อิ๋นเย่ว์ที่ตั้งใจฟังอย่างสนใจอยู่ข้างๆ ส่งเสียง “จุ๊ๆ” อย่างตกตะลึงออกมาอยู่บ่อยครั้ง
หลังจากที่รอให้หานลี่เล่าจบ เกือบจะเป็นปกติ อิ๋นเย่ว์ก็พูดถึงเรื่องตอนนั้นก่อนที่ตัวเองถูกจะผูกมัดไว้ในแดนมนุษย์ และหลังจากที่กลับคืนสู่แดนวิญญาณ เรื่องที่ไปอยู่ใต้ประตูที่พำนับการบำเพ็ญตนของบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยว
เรื่องที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงเล็กน้อย คาดไม่ถึงเลยสักนิดอิ๋นเย่ว์ที่พยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงการแต่งงานกับราชาหมาป่าเทียนขุยที่ผ่านมาต่อหน้าเข้า และประสบการณ์ต่อมาหลังจากนั้นเพราะใจที่เป็นมารจึงไปฝึกบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาลืมเลือน แท้จริงไม่มีได้เจตนาหลีกเลี่ยงหรือปิดบังเลยแม้แต่น้อย
มองไปยังอิ๋นเย่ว์ที่ยิ้มอ่อนและพูดคุยอย่างสบายใจเช่นนี้ จิตใจหานลี่ก็ตกอยู่ในห้วงภวังค์ชั่วขณะ