A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2151 วงเขตสำคัญที่สอง
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2151 วงเขตสำคัญที่สอง
สัตว์ขนาดมหึมาเหล่านี้ ดูคล้ายกับตำหนักใหญ่ของพระราชวัง และมีเนินเขาเล็กๆ หมู่ลักษณะเหมือนรังผึ้ง และนอกจากนี้ยังมีม่านแสงสีเขียวเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนเมฆขนาดอย่างมหัศจรรย์
ข้างบนสิ่งขนาดใหญ่มหึมาเหล่านี้ เต็มไปด้วยกองกำลังพันธมิตรของแต่ละเผ่า และหลังจากหยุดลงชั่วครู่กลางอากาศ ที่ห้อมล้อมไปด้วยยานสงครามและเรือยักษ์ จากไปบนอากาศเหนือเมืองฉิมพลีอย่างหนาแน่น และบินออกไปไกลเสียงดังกึกก้อง
กองกำลังพันธมิตรพากองกำลังทหารเกือบครึ่งไปจนพอ สามมหายานเองก็อยู่ในนั้น และยังอยู่ในแดนมารทางนั้นอีก ร่วมกับกองกำลังอื่นๆ กำลังสนับสนุนจากคูเมืองอื่นๆ มารวมเข้าด้วยกัน และในที่สุดก็สร้างกองกำลังที่สามารถตีเสมอกับกองทัพปีศาจได้จริงๆ
หานลี่ไม่ได้ออกไปกับกองกำลังสนับสนุน แต่ในตอนที่มั่วเจี่ยนหลีนำทัพคนอื่นๆ ออกไป หลังจากที่ยืนอยู่หนือห้องใต้หลังคามองออกไปจากที่สูงสักพัก ก็กลับไปบำเพ็ญตนต่อด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ห้าวันหลังจากนั้น เมืองฉิมพลีเดิมที่เงียบสงบก็ชุลมุนขึ้นมาอีกครั้ง กองทัพพันธมิตรอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีพื้นฐานมาจากความกำลังของเผ่าพฤกษาได้มารวมตัวกัน และเตรียมที่จะออกจากเมืองฉิมพลีไป
ขณะนี้ หานลี่ที่กำลังข่มตานั่งสมาธิอยู่ในห้องใต้หลังคาชั้นบนสุด สีหน้าค่อยๆ ขยับ หยุดกำลังภายใน และตาทั้งคู่ก็เบิกขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าย่างก้าวตรงบันได จูกั่วเอ๋อร์ที่กำลังเดินขึ้นมา และเอ่ยขึ้นทำความเคารพหานลี่
“ศิษย์พี่หาน เผ่าพฤกษาให้คนมาเชิญศิษย์พี่ไปเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว การบำเพ็ญตนของเจ้ายังต่ำอยู่ ในการต่อสู้ครั้งนี้ เจ้าอยู่ที่เมืองฉิมพลีนี้เถิด หลังจากที่การต่อสู้สิ้นสุดลง ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่เผ่า” หานลี่ใช้น้ำเสียงกำชับเอ่ยขึ้น
“เจ้าค่ะ กั่วเอ๋อร์น้อมรับคำสั่งของผู้อาวุโส” จูกั่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ แต่ได้ยินน้ำเสียงที่ยากที่จะขัดขืนเอ่ยออกมา ทันใดก็ก้มหน้าตอบรับทันที
หานลี่พยักหน้าเล็กน้อย ก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ลงไปจากห้องใต้หลังคา
ตอนที่เขาเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง นักพรตเซี่ยที่กำลังอยู่ที่มุมห้องโถง นั่งคุกเข่าอย่างเงียบๆ สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย
และกลางห้องโถงใหญ่เยาวชนเผ่าพฤกษาผิวพรรณสีเขียวมรกตท่านหนึ่ง กำลังยืนไม่นิ่งอยู่ตรงนั้น
หานลี่ใช้สายตากวาดมอง ก็ดูออกว่าเยาวชนเผ่าพฤกษานี้ ไม่เพียงแต่ระยะการบำเพ็ญจะอยู่ในระดับหยวนอิงอยู่เท่านั้น และยังเพิ่งจะหลอมรวมหยวนอิงสำเร็จ
“คารวะผู้อาวุโสหาน ชนรุ่นหลังในนามผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ มาเชิญให้ท่านอาวุโสหานให้ออกเดินทาง” เยาวชนเผ่าพฤกษาผู้นี้เมื่อเห็นหานลี่ออกมา รีบก้าวเท้าขึ้นมาสองก้าว และกล่าวอย่างสุภาพ
“ผู้อาวุโส? ผู้อาวุโสเผ่าสูงศักดิ์ไม่ใช่ว่ากำลังพักฟื้นอยู่ในพฤกษาศักดิ์สิทธิ์หรือ?” ดวงตาทั้งสองของหานลี่หรี่ลง และถามขึ้นเบาๆ
“รายงานท่านอาวุโส ตอนนี้ตำแหน่งชั่วคราวผู้อาวุโสของเผ่าพฤกษาของเผ่าพวกเรามีท่านอาวุโสหานทำหน้าที่แทนขอรับ” เยาวชนเผ่าพฤกษาก้มหน้าเอ่ยอธิบาย
“เป็นเช่นนี้นี่เอง นำหน้าพาพวกข้าไป ศิษย์พี่เซี่ย ไปกันเถิด” หานลี่พยักหน้าไม่แสดงสีหน้า และทักนักพรตเซี่ยขึ้นอีกครั้ง
นักพรตเซี่ยไม่ได้เอ่ยตอบอะไร ทว่าหลังจากที่ร่างเรือนราง จากนั้นปรากฏขึ้นข้างกายหานลี่อย่างเงียบๆ
เยาวชนเผ่าพฤกษาผู้นั้นเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็พลันตกใจ แต่สายตาบอกใบ้ของหานลี่ทำให้เขาไม่กล้าที่จะเอ่ยถาม จึงรีบเดินไปด้านนอกประตู
ภายใต้การนำทางของเขา หานลี่พานักพรตเซี่ยเดินออกไปจากห้องใต้หลงคา สายตากวาดมองไปกลางอากาศ ทันใดก็มองเห็นบางอย่างลอยขึ้น กลุ่มเมฆสีเขียวครามเล็กใหญ่ลอยอย่างเงียบๆ กลางอากาศหลายหมื่นไร่
เหนือกลุ่มเมฆไป สามารถมองเห็นศาลาห้องใต้หลังคาอย่างเลือนราง และทหารผู้พิทักษ์เผ่าต่างๆ ส่วนใหญ่ กำลังรีบขึ้นไปไกลข้างบนไม่หยุด คล้ายกับว่ากำลังขนของบางอย่างจากเมืองฉิมพลีขึ้นมาสู่ก้อนเมฆสีเขียวคราม
หานลี่เพียงชำเลืองมองไปครู่หนึ่ง จากนั้นหลับตาลง และพุ่งตามเยาวชนเผ่าพฤกษาไปยังกลุ่มเมฆสีเขียวครามที่ใหญ่ที่สุดกลางท้องฟ้า
จากนั้นนักพรตเซี่ยก็รีบหนีตามเข้าไป
หลังจากนั้นไม่นาน หานลี่ก็หายไปและปรากฏตัวออกมาบนแท่นที่สร้างจากต้นไม้สีเหลืองอ่อนเหนือก้อนเมฆ และปลายแท่นอีกด้านหนึ่ง มีวิหารสีเขียวหนึ่งหลังสูงกว่าหนึ่งร้อยจั้งตั้งอยู่
บริเวณทางเข้าวิหาร ทันใดนั้นมีทหารผู้พิทักษ์เผ่าพฤกษาติดอาวุธครบครัน กว่าสิบกว่าคนคอยคุ้มกันอยู่ที่นั่น
“ผู้อาวุโสหาน รักษาการแทนผู้อาวุโสกำลังรออยู่ในวิหารสองสามท่าน” เยาวชนเผ่าพฤกษาอธิบายอย่างรอบคอบ
หานลี่ประเมินวิหารใหญ่นี้ด้วยสายตา หลังจากใช้จิตสัมผัสเข้าไปข้างใน ทันทีที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รุนแรงอยู่ภายใน มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย และเขาส่งสัญญาณให้เยาวชนเผ่าพฤกษานำทางพาพวกเขาไปต่อ
เห็นได้ชัดว่าทหารผู้พิทักษ์เผ่าพฤกษาหน้าวิหารใหญ่จำเยาวชนเผ่าพฤกษาได้ ตอนที่พวกเขาเข้ามาก็ไม่มีท่าทีที่จะสกัดกั้นเลยแม้แต่น้อย จากนั้นไม่นาน ผู้พิทักษ์เหล่านี้ก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันทางวิญญาณสุดลึกล้ำกระจายออกมาจากตัวหานลี่ เดิมทีใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกก็พลันเปลี่ยนไป เมื่อมองไปที่หานลี่ก็ปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาในดวงตาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
แม้แต่ตอนที่หานลี่เดินผ่านระหว่างพวกเขาไป พวกผู้พิทักษ์เผ่าพฤกษาเหล่านี้ก็โค้งตัวก้มหัวโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าจะอยู่คนละเผ่า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งจริงๆ ทหารผู้พิทักษ์เผ่าพฤกษาเหล่านี้ก็ต้องเผยความน่าหวั่นเกรงออกมาไม่น้อยไปกว่าเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งของเผ่าของตัวเอง
แต่ในขณะนี้ มุมปากของหานลี่ได้กระตุกขึ้นมาทันใด ส่งเสียงออกมาจากข้างหลังของนักพรตเซี่ยหนึ่งประโยค
ดวงตาทั้งคู่ของนักพรตเซี่ยกะพริบลงเล็กน้อย ฝีเท้าก็พลังหยุดลงทันใด มือทั้งสองข้างขัดไว้ข้างหลังและเดินผ่านไปที่ประตูวิหาร
ทหารผู้พิทักษ์เผ่าพฤกษาเหล่านั้นที่เห็นดังนี้ ล้วนมีความประหลาดใจขึ้นมา แต่หลังจากที่สบตากัน กลับไม่มีผู้ใดเอ่ยปากพูดอะไร
และในตอนนี้ หานลี่ก็เดินตามการนำทางจากเยาวชนเผ่าพฤกษาทะลุผ่านระเบียง เข้าไปในห้องโถงกลางวิหาร สายตากวาดมองเข้าไปข้างในตามอำเภอใจ
ในห้องโถงใหญ่ที่กว้างกว่าหลายสิบจั้ง มีเพียงสามคนบางตาเท่านั้น
ตัวแทนผู้นำบนบัลลังก์ ผู้อาวุโสเผ่าพฤกษาผมสีม่วงทั้งหัวหนึ่งท่านนั่งอยู่ การบำเพ็ญเพียรอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ เป็นคนผอม สวมเสื้อคลุมสีเขียว แต่มีเข็มขัดเงินครึ่งทองครึ่งคาดรอบเอวหนึ่งเส้น
ด้านล่างด้านซ้ายและด้านขวาทั้งสองข้างของผู้อาวุโส แยกกันนั่งนั้นมีเผ่าพฤกษาที่สวมชุดเกราะสีเงินเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ และอีกคนหญิงสาวสูงโปร่งในเสื้อสีดำ
การบำเพ็ญเพียรของทั้งสองคนนี้อยู่ในระดับผสานอินทรีย์
ชายร่างสูงใหญ่มีร่างกายที่แข็งแรงผิดปกติ เกือบจะสูงกว่าเผ่าพฤกษาทั่วไปกว่าสองเท่า หน้าผากมีริ้วรอยลึกเล็กน้อย แววตาทั้งสองข้างมัวหมองราวกับไม่มีชีวิตชีวา
หญิงสาวสูงโปร่งในเสื้อสีดำ ลักษณะเหมือนอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี บนหัวมีเขาสั้นๆ อยู่คู่หนึ่ง ใบหน้าสวยงดงาม แต่สีหน้าท่าทางเย็นชาผิดปกติ
ทันทีที่เห็นหานลี่เดินเข้ามา เดิมที่ทั้งสามคนที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น พลันปิดปากและใช้สายตากวาดมองมา
“ศิษย์พี่หาน ผู้อาวุโสเคยได้ยินจากท่านอาวุโสมั่วมาตั้งนานแล้ว อิทธิฤทธิ์ของสหายเต๋านั้นน่าทึ่งมาก การต่อสู้ครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากสหายเต๋า เป็นโชคดีของเผ่าข้าจริง!” หลังจากที่ผู้อาวุโสเผ่าพฤกษาได้มองเห็นชัดเจนแล้วว่าระดับการบำเพ็ญตนของหานลี่นั้นอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นสูง ฉับพลันก็ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มและลุกขึ้นยืน และกำหมัดการคารวะมาแต่ไกล
“สหายหาน ข้าน้อยเฉ่าจี๋ขอคารวะ!”
“ท่านก็คือหานลี่ ดูจากการบำเพ็ญตนแล้ว เมื่อเทียบกับข้าและสหายเฉ่านั้นกำลังแข็งแกร่งกว่ามาก ตัวขาคือพระสนมเสี่ยวซีเผ่ายักษา”
หลังจากที่หานลี่รับรู้ว่าระดับการบำเพ็ญตนของตัวเองอยู่เหนือกว่าทั้งสองคนที่เหลือนั้น ลุกยืนขึ้นด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน ทำความเคารพและเอ่ยขึ้นเช่นเดียวกัน
“ตระกูลหานคนนี้มาสายไปเล็กน้อย ทำให้ทั้งสามท่านรอนาน” หานลี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ศิษย์พี่หานเชิญนั่งก่อน ข้าและสหายเต๋าสองท่านนี้กำลังปรึกษากันเรื่องการรักษาเขตสำคัญ ตอนนี้สหายเฉ่าและพระสนมเทพธิดาจะนำศิษย์พี่หานมารวมกลุ่ม ทั้งหมดจะปกป้องเขตสำคัญที่เดียวกัน” ผู้อาวุโสผ่าพฤกษาได้ทักหานลี่ให้นักลง และยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
สำหรับเยาวชนเผ่ามารผู้นั้น เมื่อได้รับสัญญาณของผู้อาวุโสเผ่าพฤกษา ก็รีบทำความเคารพและถอยห่างจากห้องโถงไป
“ถึงเวลาที่มีสหายเฉ่าและพระสนมเทพธิดาช่วยเหลือแล้ว ในการปกป้องเขตสำคัญหานคนนี้มีความมั่นใจขึ้นมากเลยทีเดียว” หานลี่ได้หาวขึ้น ภาพนี้มองดูแล้วทำให้ความรู้สึกของเฉ่าจี้และสนมเสี่ยวซีนั้นมองว่าตนเป็นรองเขา
เขากดความเสถียรระดับการบำเพ็ญตนของทั้งสองท่าน ในตอนนี้ไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจอะไร ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาจะไม่กล้าเสียเปล่า
ชายร่างกำยำเผ่าพฤกษาได้ยินดังนี้ ก็กะพริบตาเล็กน้อย แต่บนใบหน้าไม่แสดงความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย กลับกันหญิงสาวชุดดำที่พอได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จมูกก็ห้ามที่จะส่งเสียงฮึดฮัดออกไปไม่ได้
“ฮ่าๆ ด้วยกำลังความร่วมมือของสหายทั้งสามท่านนี้ ต่อไปวงเขตสำคัญนั้นจะต้องแข็งแกร่งขึ้นมากๆ อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากการปกป้องวงเขตสำคัญ จากการจู่โจมของเผ่ามารของท่านทั้งสามแล้ว ยังมีภารกิจที่สำคัญอีกประการหนึ่ง” หลังจากที่วาจาของผู้อาวุโสเผ่าพฤกษาได้หยุดลง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคารพอย่างสุดซึ้ง
“ภารกิจสำคัญ? ตอนที่ข้ารับภารกิจ ทำไมข้าไม่ได้ยินเรื่องนี้จากผู้อาวุโสของเผ่าข้า? แท้จริงแล้วเผ่าสูงศักดิ์เพิ่งจะเพิ่มมันมาตอนนี้!” หญิงสาวชุดดำขมวดคิ้ว มีความไม่พอใจขึ้นมา
“ไม่ใช่อย่างนั้น อันที่จริงพอถึงเวลาหน้าที่สำคัญเป็นนั้นเป็นของสหายเฉ่า หน้าที่ของศิษย์พี่หานและพระสนมเทพธิดายังคงเป็นแค่การปกป้องรักวงเขตสำคัญอยู่” ผู้อาวุโสเผ่าพฤกษาอธิบายอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
“อ๋อ สหายเฉ่าแท้จริงแล้วจะต้องทำเรื่องอะไรหรือ ศิษย์พี่จื่อหานจะไม่แนะนำสักหน่อยหรือ” หานลี่เอ่ยถามขึ้นหนึ่งประโยคด้วยความสนใจ
“ที่จริงก็ไม่มีอะไร แต่ว่าวงเขตใหญ่ของเผ่าพฤกษามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เกรงว่าต้องขอกำลังช่วยเหลือจากวงเขตสำคัญทั้งสามที่ ถึงตอนนั้นจะต้องมีคนคอยควบคุมวงเขตสำคัญและวงเขตใหญ่ทั้งหมดให้ผสานกัน และเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงวงเขตสำคัญ ได้มอบให้กับเฉ่าจี๋และสามคนอื่นๆ ไปแล้ว แต่ไม่เพียงตอนที่พวกเขากระตุ้นกำลังของเขตสำคัญ และยังคงต้องการสหายเต๋าคนอื่นเพื่อเพิ่มการปกป้องเป็นหนึ่งหรือสอง“ ผู้อาวุโสเผ่าพฤกษาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเช่นนี้นี่เอง นี่ก็ไม่มีปัญหา วงเขตใหญ่เดิมแดนพฤกษาก็คือป้อมวงเขตใหญ่ของเผ่าสูงศักดิ์ วงเขตสำคัญยังต้องมีคนของเผ่าสูงศักดิ์ควบคุมอยู่ถึงจะเหมาะสม” หานลี่ยิ้มเล็กน้อย และเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
“ข้าเองก็ไม่มีปัญหา วงเขตสำคัญให้ศิษย์รับผิดชอบแล้วกัน” หลังจากหญิงสาวในชุดสีดำครุ่นคิดอยู่สักครู่ และพยักหน้าตอบรับ
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้วว่าสหายเต๋าทั้งสองท่านนั้นสามารถช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง เช่นนั้นรอให้จัดการกับวงเขตใหญ่ให้เรียบร้อยก่อน วงเขตสำคัญที่สองนี้ ก็มอบให้ท่านทั้งสามทั้งหมด” ผู้อาวุโสเผ่าพฤกษายินดีอย่างยิ่ง เขายืนขึ้นอีกครั้งและเอ่ยขึ้น พร้อมกับเคารพหานลี่และทั้งสามคน
“ท่านผู้อาวุโสจื่อหานวางใจเถิด!”
“ไม่บังอาจ ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
หานลี่และทั้งสามคนเองก็ลุกขึ้นทำความเคารพกลับเช่นกัน
ในเวลาต่อมา ผู้อาวุโสเผ่าพฤกษาก็กำชับในเรื่องที่ต้องระวังบางอย่าง สุดท้ายก็แบ่งแป้นหยกให้กับหานลี่และสามคนคนละหนึ่งชิ้น บันทึกการข้อห้ามการเปลี่ยนแปลงของต่อสู้ครั้งใหญ่ในแดนพฤกษาแตกต่างกันไป ให้ทั้งสามนั้นจำไว้ให้ขึ้นใจ
เมื่อหากมีศัตรูที่แข็งแกร่งพุ่งเข้ามาในวงเขตสำคัญ ให้พวกเขานั้นสามารถใช้พลังการห้ามเพื่อป้องกันศัตรูได้
หลังจากที่ถ่ายทอดเรื่องทั้งหมดแล้ว ผู้อาวุโสเผ่าพฤกษาก็กำชับขึ้นมาอีกครั้ง ตะโกนเรียกทั้งสามคน นำหานลี่และอีกสามคนที่อยู่เหนือกลุ่มเมฆ สิ่งก่อสร้างอื่นๆ ก็จัดการแบ่งให้เป็นสถานที่พักชั่วคราว
ที่จริงจากเมืองฉิมพลีไปยังวงเขตใหญ่ที่สร้างขึ้น ระยะทางยังเหลืออีกยาวไกล
ในที่แห่งนี้ หานลี่และคนเหล่านี้จะต้องสะสมพลังให้เข้มแข็งก่อน
ครึ่งวันต่อมา เสียงกึกก้องจากกลางอากาศก็ดังขึ้นอีกครั้ง ด้วยการเคลื่อนไหวของก้อนเมฆขนาดใหญ่กว่าสิบก้อน ยานรบและเรือยักษ์นับพันก็ออกห่างไปจากเมืองฉิมพลี ตรงไปยังทิศทางอาณาเขตที่ถูกเผ่ามารยึดครองแล้วลอยหนีไป