A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2153 แปดจิตวิญญาณไม้
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2153 แปดจิตวิญญาณไม้
นับตั้งแต่วันที่ตาค่ายสร้างเสร็จ พวกเขาทั้งสามก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่อาคารเหนือเมฆาอีกเลย เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่ามารระดับสูงลอบโจมตี แต่พวกเขากลับนั่งทำสมาธิอยู่บนต้นไม้ยักษ์
พื้นฐานของตาค่ายเหล่านี้จะจัดวางโดยต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ หากต้นไม้ศักดิ์ไม่โดนทำลาย มันก็จะอยู่อย่างปลอดภัย
ผู้คุ้มกันนับพันคนก็มารวมกันจากหลายเผ่า พวกเขากระจายพักกันอยู่ที่บริเวณเนินเขา เพื่อเป็นการป้องกันศูนย์กลางของเขตอาคม
สำหรับนักพรตเซี่ย หานลี่ก็ให้เขาขึ้นไปซ่อนตัวที่อาคารเหนือเมฆาแล้ว
เนื่องจากระดับพลังของเขาอยู่ขั้นสูง จึงเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะเลียนแบบระดับพลังขั้นกลางของมนุษย์ นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีแล้ว คนอื่นไม่มีทางมองร่างจริงของเขาออก
แม้ว่าเฉ่าจี๋และเฟยเสี่ยวซีจะเคยเห็นท่านนักพรตเซี่ยมาแล้วหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไร และเห็นว่าเขาเป็นญาติคนนึงของหานลี่เท่านั้น
หลังจากเขตอาคมขนาดใหญ่สร้างเสร็จแล้ว ก็มีรายงานเกี่ยวกับการสู้รบของกองทัพด่านหน้าและเผ่ามารส่งเข้ามาเป็นประจำ
แม้ว่าหานลี่และคนอื่นๆ จะอยู่ตรงศูนย์กลางของเขตอาคม แต่ก็สามารถเข้าใจสถานการณ์ของส่วนหน้าได้
เมื่อพิจารณาตามข้อมูลที่ส่งมา กองทัพพันธมิตรและกองทัพเผ่ามารกำลังต่อสู้กันอยู่ที่ชายแดน หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้รับความเสียหาย กองทัพพันธมิตรก็เริ่มล่าถอยโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้
ครั้งนี้ ฝั่งเผ่ามารมีบรรพบุรุษร่างจริงออกมาร่วมรบด้วยสามตน มีร่างจำแลงร่วมยี่สิบกว่าตน เผ่ามารระดับล่างมีจำนวนหลายร้อยตน ซึ่งถือว่ามีกำลังมากกว่ากองทัพพันธมิตร
นอกจากนี้กองทัพพันธมิตรก็ได้ใช้วิธีหลอกล่อสารพัดวิธี ดังนั้นกองทัพเผ่ามารจึงไม่สงสัยในการล่าถอยของกองทัพพันธมิตร เมื่อเห็นความพ่ายแพ้ของฝ่ายตรงข้าม พวกมันยิ่งเหิมเกริมจะเอาชนะให้ได้
ในทางกลับกันกองทัพพันธมิตรก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะยอมแพ้ เขาทั้งสู้ทั้งถอย กองทัพเผ่ามารจึงติดตามประชิดตัวเข้าไปอย่างไม่ย่อท้อ ทำให้กองทัพใหญ่ไม่รู้ตัวเลยว่าได้เข้ามาใกล้แดนพฤกษาแล้ว เมื่อเวลาผ่าน ข่าวสารที่มักจะส่งมาวันละหนึ่งครั้ง เปลี่ยนเป็นวันละสองครั้งบ้าง สามครั้งบ้าง… เผ่ามารกำลังทยอยเข้ามาอยู่ในเขตอาคมตัดขาดอย่างเต็มพื้นที่แล้ว
ในเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยเขตอาคมแดนพฤกษา บนแท่นศิลาที่สร้างไว้แบบชั่วคราว มีหัวหน้าอาวุโสชั่วคราวของแดนพฤกษายืนอยู่บนนั้น ด้านหน้าของเขามีเขตอาคมขนาดสี่ถึงห้าจั้งปรากฏอยู่ รอบเขตอาคมนั้นมีชายชราแปดคนนั่งล้อมรอบอยู่ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ดวงตาปิดสนิท มือข้างหนึ่งถือจานไม้สีขาว อีกข้างจิ้มไปรอบๆ จานไม่หยุด
และจะเห็นละอองแสงสีขาวออกมาจากแผ่นไม้เหล่านี้ รวมตัวกันเป็นม่านแสงขนาดใหญ่อยู่เหนือเขตอาคม
หัวหน้าผู้อาวุโสชั่วคราวของแดนพฤกษา สายตาจับจ้องไปที่ม่านแสงนั้นอย่างตั้งใจ
ภายในม่านแสงนั้น อยู่ๆ ก็มีประกายแสงเกิดขึ้นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน
ประกายแสงส่วนใหญ่มีสองสี เป็นสีเขียวและม่วง ปะปนกันไป บางครั้งก็บินหนีกันอย่างรวดเร็ว ราวกับพวกมันกำลังต่อสู้กันอยู่
ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ลูประกายแสงทั้งสองสีก็กำลังเดินทางมาในทิศทางเดียวกัน จากนั้นมันก็สว่างวาบขึ้นมาครั้ง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนนั้นเอง ชายชราทั้งแปดคนก็ได้ลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน หลังจากจานไม้มากระทบกับกระบี่ ม่านแสงก็ค่อยๆ จางหายไป
“ไม่เลว ผลลัพธ์ของการหยั่งรู้กล่าวว่า มันยังคงราบรื่นมาก ลำบากไต้ซือทั้งหลายแล้ว” เมื่อเห็นสถานการณ์เหล่านั้นหัวหน้าผู้อาวุโสชั่วคราวของแดนพฤกษาก็ยิ้มออก และพูดกับชายชราทั้งแปดด้วยความเคารพ
“ไม่เป็นไร สงครามครั้งนี้เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของแดนพฤกษา ในฐานะที่พวกเราทั้งแปดเป็นจิตวิญญาณไม้ของแดนพฤกษา จึงอยากช่วยอย่างเต็มที่ แต่นี่เป็นการหยั่งรู้ในปัจจุบันเท่านั้น หากกองทัพเผ่ามารเปลี่ยนแผน ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างออกไปด้วย” หนึ่งในแปดของชายชราตอบกลับพร้อมกระแอมไอไปด้วย
“ผู้เฒ่าเช่นข้าก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นเวลาในช่วงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง และยังต้องรบกวนให้ท่านผู้เฒ่าทั้งแปดช่วยหยั่งรู้วันละหนึ่งครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้สงครามอยู่เหนือการควบคุมของเรา” หัวหน้าผู้อาวุโสชั่วคราวประสานมือทำความเคารพและพูดอย่างเคร่งเครียด
“ถึงแม้ว่าพวกเราทั้งแปดจะมีพรสวรรค์น้อยนิด ปกติจะทำนายเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น การหยั่งรู้เรื่องสงครามในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจจำนวนมาก แต่พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่ ผลการหยั่งรู้ก็เป็นเพียงข้อมูลอ้างอิงให้ท่านอาวุโสเท่านั้น” หนึ่งในแปดผู้เฒ่าคนนึงกล่าวขึ้นมา แล้วส่ายหน้าอย่างจนใจ
หัวหน้าผู้อาวุโสชั่วคราวยิ้มแล้วตอบว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็ได้คิดเอาไว้แล้ว แต่มีสหายทั้งแปดคอยช่วยเหลือ ข้าก็สบายใจขึ้นมาหน่อย”
แม้ว่าการทำนายสงครามใหญ่ที่มีผู้คนเกี่ยวพันกันเป็นล้านคนอาจจะทำนายผลแพ้ชนะไม่ได้ แต่ใช้การทำนายครั้งนี้เพื่อเป็นการวางแผนล่วงหน้าและมาปรับใช้ตามสถานการณ์ เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงตามเป้าหมาย
อีกทั้งท่านผู้เฒ่าทั้งแปดเป็นคนที่มีความสามารถเรื่องการหยั่งรู้มากที่สุดในแดนพฤกษาแล้ว พวกเขาถูกขนานว่า แปดจิตวิญญาณไม้ และเป็นคนที่มีความดีความชอบมากในแดนพฤกษาแห่งนี้
ก่อนหน้านี้แปดจิตวิญญาณไม้หยั่งรู้เรื่องราวมากเกินไป จึงทำให้สูญเสียพลังชีวิตมาก รูปร่างของเขาชรามากกว่าคนในวัยเดียวกัน
เพราะเหตุนี้ การที่พวกเขาต่อสู้กับเผ่ามารในครั้งก่อนๆ พวกเขาจึงซ่อนแปดจิตวิญญาณไม้เอาไว้ ไม่กล้าจะใช้วิชานี้ง่ายๆ
แต่เพราะครั้งนี้ทำให้ผู้อาวุโสตัวจริงของแดนพฤกษาตกไปในกับดักของเผ่ามารอย่างไม่ตั้งใจ ไม่เพียงแค่บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น พวกเขายังเสียดินแดนส่วนใหญ่ไปด้วย
ดังนั้นสงครามครั้งนี้จึงเป็นความอยู่รอดของแดนพฤกษา ผู้อาวุโสแดนพฤกษาจึงไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นๆ อีกแล้ว และเชิญท่านผู้เฒ่าทั้งแปดออกมาใช้วิชาการหยั่งรู้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน
แปดจิตวิญญาณไม้ลงออกจากแท่นศิลาอย่างรวดเร็ว ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปล้อมรอบตัวหัวหน้าผู้อาวุโสชั่วคราว และพวกเขาก็เริ่มปรึกษากันด้วยท่าทางเคร่งขรึม
…ในขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าบริเวณสนามรบติดชายแดนของแดนพฤกษาและเผ่ามาร ร่างของมั่วเจี่ยนหลีกลายเป็นเงาจางๆ สีเงิน เมฆฝนขนาดใหญ่พัดวนอยู่รอบตัวของเขา ประจุสายฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากในกลุ่มเมฆ กลายเป็นลูกศรสายฟ้าเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้าม
ตอนนั้นเองเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าแลบก็ปรากฏเต็มท้องฟ้า
ยอดเขาที่ห่างออกมาประมาณสิบลี้ มีกระบี่ยักษ์สีดำที่ยาวมากกว่าร้อยชุน เสียบอยู่กลางยอดเขา
เหนือกระบี่ยักษ์เล่มนั้น มีมารหนุ่มผอมแห้งคนนึงสวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้ม เขากำลังปล่อยปราณน้ำแข็งจากมือทั้งสองข้างของเขา
ปราณน้ำแข็งแต่ละสายมีขนาดยาวมากกว่าสิบจั้ง ส่วนลูกศรสายฟ้าสีเงินก็ถูกยิงออกไปหมดแล้ว
เหนือทะเลาสาปยักษ์แห่งหนึ่งมีเงาหมาป่ายักษ์สองตัวขนาดเท่ากับเนินเขาเล็กๆ กำลังฟัดโรมรันกันอยู่
ตัวนึงเป็นสีขาว ยาวเกือบสามร้อยจั้ง กงเล็บของมันสร้างลมพายุได้
อีกตัวเป็นสีดำ ดวงตาพ่นไฟ ส่วนปากพ่นไอทมิฬออกมา
หมาป่ายักษ์ทั้งสองตัว กางกรงเล็บออกมาพร้อมกัน ส่งเสียงดังสนั่น กลางอากาศเกิดเป็นรอยบากสีขาวเป็นจำนวนมาก ราวกับว่าพวกมันสามารถถูกฉีกขาดได้
หลังจากกัดมันอีกครั้ง ก็มีเสียงดังโหยหวนปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา จากนั้นก็เกิดพายุหมุน
ภายใต้การต่อสู้ระยะประชิดของหมาป่าทั้งสองตัว มันรู้สึกน่าสังเวชใจอย่างมาก เมื่อทำร้ายอีกฝ่ายจนเป็นแผลได้ ตราบใดที่มีออร่าอยู่รอบตัว บาดแผลของพวกมันจะคีนสภาพเดิมเหมือนดังตอนแรก
อีกทั้งการต่อสู้ก็ดุเดือดมากขึ้น ป่าในระยะร้อยลี้พังราบเป็นนายกอง
กลางเนินเขาเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุนั้น ผู้อาวุโสเอ๋าเซี่ยวกำลังนั่งอยู่ในค่ายกลชั่วคราวอันนึง เขาประสานมือ ปิดตาแน่น และร่างกายของเขากำลังเปล่งแสงสีเงินจางๆ
ใต้หนองน้ำลึกหลายพันลี้ หยวนซาก็นั่งทำสมาธินิ่งๆ โดยไม่ขยับเช่นกัน นางกำลังเปิดห้องลับชั่วคราวอยู่ รอบข้างมืดสนิท มีเพียงลวดลายมารสีม่วงดำที่ส่องแสงขึ้นมา
ในมิติลึกลับ มียักษ์สองตนกำลังเผชิญหน้ากันอยู่
ตนนึงสูงสิบจั้ง ผิวสีแดง มีเขาสีดำอยู่บนหัว ด้านหลังมีปีกสีแดง ลูกตาเป็นสีทอง เขากำลังกอดอกและมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
ส่วนอีกตนมีผิวสีดำ ลวดลายมารสีทอง รูปร่างเหมือนคนป่าขนาดยักษ์ ไม่สวมเสื้อ ครึ่งล่างสวมเพียงกระโปรงหนังผืนเดียว
แต่คนป่ายักษ์จ้องอีกฝ่ายเขม็ง พร้อมกำหมัดแน่น
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายอยู่กลางอากาศโดยไม่ขยับเขยื้อนเลย แต่ร่างของพวกเขาก็แผ่ปราณออกมาเรื่อยๆ
อีกด้านของมิติ สัตว์ประหลาดที่สัตว์ลิงกับหมาป่ากำลังสู้กับเสือยักษ์สีทองสามหัว ร่างกายของพวกเขาทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยเลือด
ฝ่ายนึงที่โดนทำร้ายจนกลิ้งไป ก็เปลี่ยนรูปร่างไม่แน่นอนเหมือนกับผี อีกฝ่ายร้องคำราม พลังกงเล็บสีทองโจมตีลงไปเยอะมากราวกับฝนตก จนทำให้ไม่สามารถแยกแยะความต่างได้ชั่วขณะนึง
เห็นได้ชัดว่าจะเหมือนกับแผนการล่วงหน้าของกองทัพพันธมิตร เผ่ามารมีบรรพบุรุษร่างจริงมาสามตน แต่ตอนนี้พวกมันโดนมั่วเจี่ยนหลีถ่วงเวลาเอาไว้อยู่
ภายใต้ความกลัวของพวกเขา พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าไปช่วยทัพใหญ่ของเขาได้
ในตอนนี้กองทัพพันธมิตรกำลังหลอกล่อทหารนับพันนับหมื่นของเผ่ามารให้เข้ามาในเขตอาคมของแดนพฤกษา
เมื่อกองทัพของเผ่ามารไม่มีร่างหลักของบรรพบุรุษมารคอยควบคุม ทัพจึงค่อนข้างเละเทะ ทหารเผ่ามารบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ดังนั้นสถานการณ์ของฝั่งกองทัพพันธมิตรน่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง รถเหาะของเผ่ามารนับพันคัน กำลังบินตามหลังกองทัพพันธมิตรในแนวขอบชายแดน
รถเหาะเหล่านี้เป็นลักษณะสามเหลี่ยมสีเทาขาว สลักด้วยลวดลายมารรูปร่างแปลกๆ คล้ายกับลายเมฆา
ปีศาจเกือบหมื่นตัวบนรถเหาะสวมเสื้อคลุมแบบเดียวกันทั้งหมด สองมือว่างเปล่า พวกเขาไม่เผยผิวหนังออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ทั้งตัวเห็นเพียงดวงตาสีแดงก่ำที่มองมาด้วยความเย็นชาเท่านั้น