A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2168 ปิดด่านฝึก
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2168 ปิดด่านฝึก
นักพรตเซี่ยเดินตามด้านหลังของหานลี่อย่างไม่ช้าไม่เร็ว ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกท้อแท้ใจเป็นอย่างมาก ทุกคนเดินตามมาอย่างไร้เสียง
ด้านหลังของพวกเขาที่ห่างออกไปก็มีเสียงระเบิดดัง
ตามด้วยคลื่นอากาศที่พัดออกมาอย่างรุนแรง ขนาดพื้นดินที่สั่นไหวไม่หยุด
ผู้บำเพ็ญเพียรต่างเผ่าก็หันหลังไปมองในทิศทางเดียวกัน
เห็นได้ชัดว่าแรงสะเทือนขนาดนี้ต้องเป็นฝีมือของเผ่าพฤกษาที่ระเบิดตัวเองอย่างแน่นอน
ขนาดอยู่ห่างขนาดนี้ ยังคงสัมผัสได้ถึงแรงพลังอันรุนแรง ไม่อยากจะคิดถึงจุดจบของเผ่ามารที่ยังอยู่ในนั้นเลย
เกรงว่านอกร่างบรรพชนจำแลงแล้ว ที่เหลือก็คงกลายเป็นเถ้าธุลีไปทั้งหมด
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจที่เผ่าพฤกษาจะทำเช่นนั้น จะต้องรู้ก่อนว่าที่เผ่าพฤกษาตั้งใจจบด้วยวิธีแบบนี้ ก็เพราะเผ่ามารบุกรุกพื้นที่ของพวกเขาก่อน และพวกเผ่าพฤกษาก็เกลียดเผ่ามารเข้ากระดูกดำเชียว
ดังนั้นผู้อาวุโสเผ่าพฤกษาจึงไม่ลังเลที่จะทำลายเขตอาคมนี้ ก็ถือว่าเป็นการล้างแค้นเผ่ามารด้วย โดยให้พลังทั้งหมดจัดการให้เรียบ
อย่างไรก็ตามเผ่าพฤกษาได้สูญเสียแปดจิตวิญญาณไม้และระดับมหาเมธีไป เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรักษาเอกราชเอาไว้ได้ จากนี้เขาจะต้องลี้ภัยไปที่เผ่าอื่นๆ หรืออาจจะต้องอพยพไปที่ดินแดนห่างไกล
ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถหาพันธมิตรอย่างเช่นในตอนแรก เพื่อต่อต้านกับเผ่ามารอีกครั้ง
หานลี่คิดอยู่ในใจ เขาสะบัดมือขึ้นมากลางอากาศ ทันใดนั้นความเร็วของกลุ่มเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เผ่ามารได้รับบาดเจ็บกันหนักมาก หากไม่มีเขตอาคมต้องห้าม พวกเขาจะต้องไล่ตามกองพันธมิตรที่อพยพไปอย่างบ้าคลั่งแน่นอน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน เราควรจะต้องไปถึงเมืองมู่เหมียนให้เร็วกว่านี้
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ เมื่อได้เห็นหานลี่ก็เปิดม่านพลังป้องกันขึ้นทันที
เสียงระเบิดดังขึ้น ประกายแสงวูบวาบที่เส้นขอบฟ้า จากนั้นก็ได้ยินเสียง “ตู้มๆ”
…
สองเดือนต่อมา กลางอากาศเหนือภูเขาใกล้เมืองมู่เหมียนหานลี่ ท่านเอ๋าเซี่ยว และมัวเจี่ยนหลี เหมือนกำลังเจรจาอะไรกันสักอย่างอยู่
ด้านหลังของพวกเขายังมีนักพรตเซี่ยและแม่นางจูกั่วเอ๋อร์ยืนอยู่ด้วย ด้านหลังของท่านเอ๋าเซี่ยวมีอิ๋นเย่ว์ยืนอยู่ด้วย
แต่ว่าสีหน้าของมีอิ๋นเย่ว์ในตอนนี้ดูเฉยเมย เย็นชา เขาเพียงฟังบุคคลทั้งสามคนคุยกันด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกเท่านั้น
“ข้ามาช่วยเผ่าพฤกษาในครั้งนี้ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ ชาวพฤกษาได้ตัดสินใจ แบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ส่วนหนึ่งจะมาเป็นกำลังเสริมของพวกเรา เป็นข้าราชบริพารของเผ่าข้าตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป และอีกส่วนจะมุ่งหน้าไปที่ดินแดนป่ารกร้าง เพื่อหาที่ซ่อน” มั่วเจี่ยนหลีพูดแล้วถอนหายใจ
“วิธีนี้เป็นวิธีที่ฉลาดมาก หากภายในหมื่นปีนี้ เผ่าพฤกษาปรากฏผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีอีกครั้งล่ะก็ การที่จะมีพื้นที่ในแดนศักดิ์สิทธิ์อีกก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่หากดวงไม่ดี เผ่าพฤกษาไม่มีมหาเมธีปรากฏตัวมาเลย ก็เกรงว่าเผ่าพฤกษาจะต้องล่มสลายไปจากแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วจริงๆ” ท่านเอ๋าเซียวพูดเสียงเรียบ
“ดูเหมือนว่า ในช่วงเวลาสั้นๆ เผ่าพฤกษาจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสื่อมโทรมของบ้านเมืองได้ สำหรับกองพันธมิตรอย่างพวกเราที่ต้องต่อกรกับพวกเผ่ามาร เกรงว่าจะมีผลกระทบไม่น้อยเลย แต่ผู้อาวุโสทั้งสองท่านน่าจะมีแผนการรับมืออยู่แล้วสินะขอรับ” หานลี่ถามอย่างช้าๆ
“แม้ว่าจะขาดกองกำลังของเผ่าพฤกษาไป แต่สถานการณ์ของเผ่ามารตอนนี้ก็ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ สถานการณ์ของพวกเราต่างกันไม่มาก ขอเพียงแค่พวกเรายืนหยัดต่อไป เราอาจจะชนะได้โดยไม่ต้องต่อสู้ แม้ว่าเผ่ามารจะยึดตำแหน่งของเผ่าพฤกษาในแดนวิญญาณได้ แต่ก็คงไม่มีกำลังที่จะสู้ต่อ อีกทั้งมีพวกเราหลายเผ่าเป็นคู่ต่อสู้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่ สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้ก็คือ กลับไปที่เผ่าก่อน แล้วดูว่าสามผู้สร้างแห่งเผ่ามารเดินทางมาที่แดนวิญญาณจริงหรือไม่ สังเกตดูสถานการณ์เลวร้ายในตอนนี้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” ท่านเอ๋าเซี่ยวตอบกลับ
“ในเมื่อท่านอาวุโสทั้งสองมีแผนการในใจแล้ว ผู้แซ่หานก็วางใจ เกรงว่าหลังจากผู้แซ่หานกลับไปที่เผ่าแล้ว น่าจะปิดด่านฝึก ภายในเวลาสั้นๆ จึงไม่อาจจะไปช่วยกองทัพได้มาก” หลังจากที่เขาพยักหน้าแล้ว เขาก็กล่าวขึ้นอย่างเสียดาย
“ฮ่าๆ หากสหายสามารถก้าวไปสู่ระดับมหาเมธีได้ ก็ถือว่าจะเป็นกำลังหลักของกองทัพเรา เจ้ายังเด็ก ไม่แน่ว่าในอีกแสนกว่าปีข้างหน้า เจ้าจะกลายเป็นหัวหน้าของพวกเราไปแล้ว ปัญหาเหล่านี้ ให้คนแก่อย่างพวกเราจัดการเถอะ” มั่วเจี่ยนหลีหัวเราะแล้วพูดเช่นนั้น
หลังจากที่รู้ว่าหานลี่และนักพรตเซี่ยได้สังหารร่างจำแลงบรรพชนเผ่ามารไปมากกว่าสิบตนโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน มนุษย์ผู้นี้ที่อยู่ระดับมหาเมธีก็พูดอย่างยินดี เขาตั้งความหวังไว้กับหานลี่มากทีเดียว
“สหายกลับไปปิดด่านฝึกครั้งนี้ จะไม่กลับไปเมืองเทียนหยวน แต่จะไปหาพื้นที่ฝึกลึกลับสินะ” ท่านเอ๋าเซี่ยวเหมือนจะจำอะไรบ้างอย่างได้ ก็เลยถามมาเช่นนั้น
“แม้ว่าเมืองเทียนหยวนจะขับไล่พวกเผ่ามารออกไปได้แล้ว แต่มันยังคงไม่สงบ การปิดด่านฝึกครั้งนี้ผู้แซ่หานไม่ต้องการได้รับการรบกวนจากภายนอก ดังนั้นจึงจะไปหาที่เงียบสงบที่อื่นแทน เมื่อฝึกไปแล้ว ข้าไม่อยากออกจากด่านฝึกง่ายๆ” หานลี่หัวเราะแล้วตอบกลับ
ครั้งนี้หานลี่มั่นใจในตัวเองมาก เพราะเขามีผนึกปีศาจเป็นจำนวนมาก
ด้วยจำนวนของผนึกปีศาจสามารถทำให้เขาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายได้อย่างสมบูรณ์
“แบบนี้ก็ดี ตอนนี้สายลับของเผ่ามารที่ซ่อนอยู่ในเผ่ามนุษย์ก็มีจำนวนไม่น้อย เรื่องที่เจ้าปิดด่านฝึก ให้มีคนรู้เรื่องน้อยเท่าไหร่ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น พวกเราสองคนเองก็จะไม่ถามว่าที่ไหน หวังเพียงให้เจ้าฝึกอย่างราบรื่นเท่านั้น” มั่วเจี่ยนหลีพูดอย่างเห็นด้วย
“หลิงหลง เจ้ามานี่ ตามที่ได้สัญญาเอาไว้ ข้าจะมอบนางให้กับเจ้า หวังว่าเจ้าจะสามารถฝึกเคล็ดวิชาลึกลับให้สำเร็จได้โดยเร็ว จนสามารถกดความสามารถในร่างกายนางได้” ท่านเอ๋าเซี่ยวสะบัดมือ ทำให้อิ๋นเย่ว์ปรากฏอยู่ด้านหน้า
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ การที่ผู้แซ่หานปิดด่านฝึกในครั้งนี้ จะฝึกเคล็ดวิชาลึกลับให้สำเร็จ ไม่ขัดขวางการฝึกวิชาของสหายหลิงหลงแน่นอน” หานลี่กล่าวสัญญาโดยไม่หยุดคิด
“เมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ผู้เฒ่าอย่างข้าก็วางใจ หลิงหลง จากนี้ไปเจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของสหายหานลี่นะ หากไม่ได้รับคำสั่งจากข้า ห้ามเจ้าออกห่างจากหานลี่ ไม่เช่นนั้น เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าปู่อีก” ท่านเอ๋าเซี่ยวหันไปกำชับอิ๋นเย่ว์ด้วยเสียงเบาๆ
“เจ้าค่ะ ท่านปู่” อิ๋นเย่ว์กวาดสายตามองหานลี่ทันที พร้อมเอ่ยปากตอบรับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ตอนนี้ก็สายมากแล้ว สหายหานลี่เจ้าออกเดินทางเถอะ อีกไม่กี่วัน เมื่อเราสองคนจัดการเรื่องของเผ่าพฤกษาเสร็จแล้ว ก็จะกลับเผ่าเช่นกัน” มั่วเจี่ยนหลีกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“จวนใกล้ได้เวลาแล้ว เช่นนั้นผู้แซ่หานขอตัวกลับไปที่เผ่าก่อนนะขอรับ” หานลี่เงยหน้าไปมองท้องฟ้า จากนั้นก็พยักหน้า เขาประสานมือบอกลาท่านผู้อาวุโสทั้งสองด้วยความเคารพ
ผู้อาวุโสทั้งสองเห็นเช่นนั้น ก็ยิ้มให้และประสานมือกลับอย่างมีมารยาท
หานลี่สะบัดแขนเสื้อเบาๆ จากนั้นก็มีแสงจางๆ และเรือบินสีเขียวมรกตปรากฏขึ้น เขากระโดดขึ้นไปอยู่บนเรือโดยสารลำนั้นทันที
นักพรตเซี่ย จูกั่วเอ๋อร์ และอิ๋นเย่ว์ก็เดินขึ้นไปบนเรือเช่นกัน
เรือบินสีเขียวมรกตสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งตัวออกไปเหลือเพียงเสียงร้องเบาๆ และเหลือเพียงแสงสีเขียวและหายไปจากเส้นขอบฟ้า
….
ห้าเดือนต่อมา เทือกเขาเขตเชื่อมต่อของเผ่ามนุษย์และมาร เรือบินลำหนึ่งก็จอดไว้ที่นั้นโดยไม่สะดุดตา
หานลี่ยืนอยู่บนเรือลำนั้น สองตาปิดสนิท เขาใช้จิตสัมผัสเพื่อกวาดตามองไปรอบๆ
อิ๋นเย่ว์และอีกทั้งสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่พูดอะไรสักคำ
“ไม่เลว พื้นที่บริเวณนี้ไม่มีคนอื่นเลย พวกเราหาถ้ำที่นี่กันเถอะ” หานลี่ลืมตาขึ้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ยกแขนขึ้น ลำแสงวิญญาณนับสิบกว่าลูกก็ปรากฏขึ้น หุ่นเชิดวานรยักษ์นับสิบกว่าตัว เมื่อมันได้ยินคำสั่ง มันก็แยกย้ายไปตามภูเขาลูกนี้
หุ่นเชิดวานรยักษ์เหล่านี้ มีแสงสีเขียวกะพริบไปมา ทำให้เห็นว่าภูเขาลูกนี้ไม่มีอะไรเลย แต่ว่าเมื่อหลังจากกินข้าวเสร็จ ถ้ำยักษ์แห่งหนึ่งก็ถูกเปิดขึ้น ด้านหลังมีอาคารหลายอย่าง มีสวนสมุนไพร โรงยา พื้นที่ก็กว้างขวางนัก
หลังจากแสงสีเขียวกะพริบอีกครั้ง หุ่นเชิดวานรยักษ์ก็บินกลับมา
หลังจากนั้นหานลี่ก็เดินนำลงไปในถ้ำแห่งนั้น เขาพลิกฝ่ามือขึ้นมา ธงค่ายกลและจานแปดเหลี่ยมก็พุ่งอกจากมือของเขาไป กระจายเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ แล้วหายไป
หานลี่เตรียมอุปกรณ์สำหรับสร้างค่ายกลต้องห้าม เพื่อปกป้องถ้ำแห่งนี้เอาไว้
หลังจากเดินมากลางหุบเขาแล้ว หานลี่จึงสั่งการคนที่เหลือเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เข้าไปในห้องลึกลับที่อยู่ด้านในสุดของถ้ำ และเขาก็เริ่มเปิดปิดประตูหิน
หลังจากมานั่งสมาธิกลางห้องลึกลับแล้ว หานลี่ก็ท่องเคล็ดวิชาลึกลับที่ท่านเอ๋าเซี่ยวให้มาอีกรอบ หลังจากที่เขาทำความเข้าใจอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ยกมือขึ้นร่ายคาถาฝึกฝนไปด้วยความรอบคอบ
ในครั้งนี้ เขาเตรียมการไว้ว่าจะฝึกเคล็ดวิชานี้ให้ได้อย่างรวดเร็ว อิ๋นเย่ว์จะได้ไม่ต้องเป็นกังวล แล้วจะได้เริ่มฝึกวิชาอื่นๆ ต่อ
สุดท้ายหลังจากเวลาผ่านไป เขาก็หลับตาสนิท คริสตัลห้าสีปรากฏขึ้นมาเป็นชั้นๆ วิ่งวนรอบตัวเขาไม่หยุด
แต่ตัวเขากลับนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น
…
หนึ่งปีครึ่งผ่านไป คริสตัลทั้งห้าสีที่เปลี่ยนรูปคล้ายเปลวไฟ ได้หายไปแล้ว หานลี่ลืมตาขึ้น สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่
“เคล็ดวิชาลึกลับนี้นอกจากจะเพิ่มความแข็งแกร่งของด้านจิตสัมผัสแล้ว แต่ก็ทำให้สงบจิตใจได้มากขึ้นด้วย สมแล้วที่ท่านเอ๋าเซี่ยวเป็นระดับมหาเมธีเพียงหนึ่งของเผ่าปีศาจมาหลายหมื่นปี พรสวรรค์อยู่เหนือคนธรรมดามาก คาดไม่ถึงว่าจะสร้างเคล็ดลับการลมปราณได้”
หานลี่พูดกับตัวเอง จากนั้นเขาก็ใช้จิตสัมผัส กวาดมองทั่วทั้งถ้ำ
ตอนนั้นเขาพบว่าอิ๋นเย่ว์ก็ปิดด่านฝึกอยู่ที่ห้องลับไม่ไกลที่นี่มาก
ใบหน้าของนางสงบนิ่งมาก ราวกับจับสังเกตไม่ได้ว่าหานลี่กำลังใช้จิตสัมผัสมองนางอยู่
หานลี่จับตามองนางอีกสักพัก จากนั้นก็ค่อยๆ ถอนจิตสัมผัสออกมาอย่างเงียบๆ
เมื่อเขาครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็พลิกมือขึ้นมากลางอากาศ กลางฝ่ามือของเขาปรากฏแร่สีดำขาวชิ้นหนึ่ง