A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2170 ภูเขาปราณลูกที่สาม
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2170 ภูเขาปราณลูกที่สาม
หานลี่ครุ่นคิดอย่างดีใจ มืออีกข้างเขาก็ยกขึ้นมากำเบาๆ
หลังจากที่มีเสียงนกร้อง เส้นด้ายสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้น เมื่อมันวิ่งวนรอบกำปั้นรอบนึง แล้วก็หายไป
ในขณะเดียวกัน เสียงคล้ายฟ้าร้องก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในร่างกายของหานลี่ พลังมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากเส้นลมปราณของเขา
ดวงตาทั้งสองข้างของหานลี่กะพริบเป็นแสงสีฟ้า เสียงเหล่านั้นก็พลันเงียบไป เขาต่อยไปที่ประตูหินที่อยู่ห่างออกไป
ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ขึ้นกลางอากาศ เกิดเป็นแสงทั้งห้า ก่อนพุ่งชนประตูหินดัง
ตู้ม!
หานลี่พยักหน้าอย่างพอใจ เขาปัดเศษหินที่ติดตามแขนเสื้อออก หมอกสีเขียวก็ถูกพัดออกไปแล้ว
หลังจากนั้นแสงสว่างแห่งจิตวิญญาณสาดลงมา กองหินที่ถูกทำลายไปแล้วก็กลับมารวมตัวกลายเป็นประตูหินอีกครั้ง
จากนั้นหานลี่ก็นั่งลงทำสมาธิตรวจสอบร่างกายของตัวเองอย่างละเอียด เขาสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของร่างกาย เขาจึงยกยิ้มมุมปากเบาๆ
ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายเขาในตอนนี้ เขาจึงคิดว่าการฝึกเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณระดับสองไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้เลือดของชิงหลวนที่เขาได้มันมาจากภพมาร ก็ยังต้องหลอมมันไปพร้อมกันด้วย
สามวันสามคืนผ่านไป
หลังจากที่เขาศึกษาคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติจนเชี่ยวชาญ เขาก็ใช้เลือดชิงหลวนไปหนึ่งขวด จากนั้นเขาก็เริ่มฝึกวิชาหลอมจิตวิญญาณระดับสอง
เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณระดับสองเขาเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อนแล้ว ตอนนี้ร่างกายกับจิตวิญญาณตรงตามเงื่อนไขที่จะสามารถฝึกได้แล้ว ความเร็วในการฝึกจึงไม่ช้านัก
แต่ว่าเวลาสั้นๆ ภายในสิบกว่าปี หานลี่ก็สามารถบรรลุเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณขั้นสองได้แล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือตอนที่เขาบรรลุขั้นสอง ไม่มีทัณฑ์อัสนีอย่างเมื่อครั้งแรก เขาสามารถผ่านไปยังขั้นสองอย่างเงียบๆ
หลังจากที่เขาผ่านขั้นสองมาแล้ว จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นนิดหน่อย แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจเลยคือ เขาสามารถรับสัมผัสในระยะเจ็ดหมื่นถึงแปดหมื่นลี้รอบตัวเขาได้ พวกระดับมหาเมธีธรรมดาๆ ไม่มีทางทำสิ่งเหล่านี้ได้แน่นอน
แน่นอนว่าในตอนนี้ เลือดชิงหลวนขวดนั้นก็หลอมเสร็จแล้ว ทำให้เขาตื่นจากการจำศีลแปลงกายกลายร่างเป็นนกชนิดหนึ่งอีกครั้ง
หลังจากที่หานลี่ได้ลองกลายร่างเป็นชิงหลวนในห้องลับอยู่หลายครั้ง เขาก็กลับคืนร่างมนุษย์ด้วยความพอใจ จากนั้นเขาก็หยิบคริสตัลสีเขียวมรกตขนาดต่างกันออกมาสองก้อนจากสร้อยข้อมือมิติ
อันนึงเล็กไม่ถึงชุน อีกอันใหญ่เท่ากำปั้น ทั้งสองอันเปล่งแสงสีเขียวออกมา
ที่จริงแล้วมันคือคริสตัลหยินหยางบรรจุธาตุทั้งห้าเอาไว้
อันนึงได้จากเหมืองใต้ดิน อีกอันได้มาจากหัวของมารสือกวง
เมื่อสองสิ่งนี้รวมกับวัตถุดิบหายากที่เขาได้เตรียมไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว มันน่าจะสามารถหลอมภูเขาปราณลูกที่สามออกมาได้
หานลี่มองคริสตัลที่อยู่ในมือตัวเอง จิตใต้สำนึกของเขากำลังคิดถึงวิธีหลอมภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้าอย่างเงียบๆ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หานลี่ก็ลืมตาขึ้น เขาโยนคริสตัลทั้งสองชิ้นขึ้นไปกลางอากาศ สร้อยข้อมือของเขาก็ส่งเสียงเหมือนนกร้องและสั่นกึกๆ จากนั้นมันก็ลอยออกไปด้วยตัวของมันเอง
มือนึงชี้ไปที่สร้อยอย่างไม่รีบร้อน
สร้อยข้อมือมิติเส้นนั้นก็ลอยวนอยู่รอบๆ ตอนนั้นเองมันก็เปล่งแสงสาดไปยังพื้นที่โดยรอบ
มีป้ายหยกหนึ่งชิ้น และขวดหยกหลายขวด กองอยู่ที่พื้นมากมาย จนเต็มพื้นที่ข้างกายของหานลี่
หลังจากที่ของทุกอย่างปรากฏออกมาหมดแล้ว สร้อยข้อมือมิติก็ส่งเสียงอีกครั้ง ครั้งนี้เกิดแสงสีขาวสาดออกมา จากนั้นเตาหลอมสีเงินก็ปรากฏขึ้น
ตอนแรกเตาหลอมหลังนี้สูงไม่ถึงชุน แต่เมื่อลมพัดมา มันก็กลายเป็นเตาหลอมขนาดยักษ์
ห้องลับแห่งนี้เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย เพราะขนาดของเตาหลอม เตาหลอมสีขาวเงินขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องลับ เตาหลอมนี้มีลักษณะเป็นหม้อสามขาก้นลึก ทำจากเหล็กสำริด
หานลี่สะบัดมือ จากนั้นคริสตัลที่อยู่กลางอากาศก็ลอยเข้าเตาหลอมไป
“ฟู่”
หานลี่เป่าลมจากปาก เกิดลูกไฟสีเงินก็พวยพุ่งออกมา ตอนแรกมันวนเวียนอยู่สักพัก จากนั้นก็กลายเป็นเป็นนกเพลิงสีเงินขนาดหนึ่งชุน หลังจากที่มันสยายปีกออกมา มันก็บินพุ่งเข้าไปที่ก้นของเตาหลอม
เปลวไฟสีเงินลุกท่วมเตาหลอมอย่างรุนแรง อุณหภูมิในห้องก็สูงขึ้นทันที ทำให้ภาพที่อยู่รอบๆ เลือนราง ราวกับมันจะหลอมละลายได้ทุกสิ่ง
ทันทีที่หานลี่ฝากล่องเปิดออกมา ของที่อยู่ด้านใน มันค่อยๆ ลอยไปอยู่ด้านบนของเตาหลอมยักษ์ จากนั้นก็ผสมรวมไปกับส่วนผสมอื่นๆ ที่อยู่ในหม้อ
อีกด้านหนึ่งนกเพลิงตัวนั้นก็ยังคงบินวนรอบฐานของเตาหลอมอยู่ ขนาดตัวของมัน เพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า เปลวไฟเหล่านั้นลุกท่วม จนแทบจะมองไม่เห็นฐานของเตาหลอม
ผิวของเตาหลอมสีเงินมีแสงประกายห้าเฉดสี ตัวอักษรโบราณขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ก็ปรากฏขึ้นลอยไปลอยมาอยู่รอบๆ เตาหลอมอย่างสวยงาม
ทำให้เตาหลอมยักษ์หลังนี้ดูมหัศจรรย์อย่างมาก
ตอนนั้นเองหานลี่ก็หลับตาลงหน้าเตาหลอมยักษ์ แต่มือของเขายังวาดมือร่ายคาถาไม่หยุด และความเร็วก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
อุณหภูมิในเตาร้อนจนคาดเดาไม่ได้ คริสตัลทั้งสองและวัตถุดิบหายยากหลายชนิดในเตาหลอมเริ่มเปล่งแสดง วัตถุดิบบางชิ้นก็เริ่มจะละลายแล้ว…
ไม่รู้ว่าเพราะวัตถุดิบมีไม่เพียงพอ หรือว่าภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้าครั้งนี้ หลอมยากกว่าสองครั้งแรก การหลอมครั้งนี้เขาจึงใช้เวลาเดือนกว่าๆ จนในที่สุดก็มีเสียงอย่างเช่นทัณฑ์อัสนีดังขึ้นมา เป็นสัญญาณว่าการหลอมสำเร็จแล้ว
ตอนนี้ภายในห้องลับ เหลือเพียงเตาหลอมที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายอยู่เต็มพื้น แต่มีภูเขาที่งดงามขนาดหนึ่งชุนลอยอยู่กลางอากาศ
ภูเขาลูกนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นสีสดใส แต่มันยังเปล่งประกายสีของธาตุทั้งห้า มองไปมองมาจะรู้สึกถึงความร้อนและอันตรายของมันได้ จนทำให้คนอื่นไม่สามารถเข้าใกล้ได้
หานลี่มองไปยังเขาลูกนี้ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความพอใจ
ไม่มีใครเข้าใจถึงความอันตรายของภูเขาเล็กๆ ลูกนี้ดีไปมากกว่าเขาอีกแล้ว แรงกายแรงใจที่เขาทุ่มเทไปมันไม่ได้เปล่าประโยชน์เลย
แต่ว่าเขาก็ฝึกฝนต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ก็ทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังงานมากเช่นกัน เขาจำเป็นจะต้องพักผ่อนซะก่อน
เมื่อหานลี่คิดได้เช่นนั้น เขาก็แบมือรับภูเขาลูกเล็กเขามาอยู่ในมือ
ทันใดนั้นภูเขาลูกนั้นก็กลายร่างเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ลอยมาอยู่ที่กลางฝ่ามือของเขา กลิ่นอายอันตรายเมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากที่หานลี่หลอมภูเขาปราณเสร็จแล้ว เขาก็หลับตาพักผ่อนอย่างเหนื่อยล้า
ผ่านไปสองวันสองคืนเต็มๆ เขาก็ลืมตาขึ้นมา ความเหนื่อยล้าที่มีหายไปแล้ว เขากลับมาสดชื่นอีกครั้ง
หานลี่ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่นึง เมื่อเขายื่นมือออกมา ด้านหลังปรากฏพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีสามเศียร หกกร มีแสงสีทองส่องประกายออกมา เมื่อเขาสะบัดชายเสื้ออีกที กระบี่เล่มเล็กๆ ทั้งเจ็ดสิบสองเล่ม ก็ลอยออกมาวนรอบตัวเขา
จากนั้นเขาก็พลิกมืออีกข้างขึ้นมา กลางฝ่ามือของเขาปรากฏป้ายหยกสีเขียว เขาใช้นิ้วแตะเพียงครั้งเดียว ก็มีอักษรโบราณสีขาวกระจายออกมา จากนั้นมันก็ร้อยเรียงรวมกันกลายเป็นคัมภีร์เล่มนึง มันลอยมาอยู่ด้านหน้าของเขาไม่ขยับไปไหน
เมื่อมองอย่างละเอียด ก็พบว่าคัมภีร์เล่มนี้คือคัมภีร์กระบี่ชิงหยวนที่เขาเคยฝึกไปแล้ว
หานลี่จำจดเนื้อหาของคัมภีร์เล่มนี้ได้ขึ้นใจแล้ว เขาจ้องมองโดยไม่กะพริบตา แววตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส จากนั้นการมองเห็นของเขาก็หยุดนิ่ง เหมือนสายน้ำที่หยุดไหล
เขาหยุดนิ่ง เป็นอีกครั้งที่เขาคิดได้ว่าเขาฝึกวิชาเร็วเกินไป
ระหว่างที่เขากำลังคิดอยู่นั้น กระบี่เล่มเล็กๆ ทั้งเจ็ดสิบสองเล่ม มีบ้างรวมกลุ่มกัน บ้างก็กระจายตัวออกไป บ้างก็รวมกันเป็นดาบเล่มเดียว บ้างก็ส่งเสียงร้อง บ้างก็บินไปมาตามลำพัง
กระบี่เล่มเล็กสีเขียวทั้งเจ็ดสิบสองเล่มนี้ เหมือนว่าพวกมันมีชีวิตเป็นของตัวเอง มันดูน่าเหลือเชื่อมาก
การบรรลุครั้งนี้ ใช้เวลานานกว่าห้าปี
หลังจากเสียงถอนหายใจดังขึ้นในห้องลับแห่งนี้ กระบี่ทั้งเจ็ดสิบสองเล่มก็พุ่งเข้าไปอยู่ในร่างกายของหานลี่ เขากะพริบตาเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องอดีต และเขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปลี่ยนจากป้ายหยกสีเขียว เป็นป้ายหยกสีทอง เขาใช้นิ้วเดิมแตะไปที่ป้ายหยกสีทองอีกครั้ง อักษรโบราณจำนวนนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งออกมา ปรากฏเป็นคัมภีร์อีกเล่มหนึ่ง
เขายืนมองตัวอักษรเหล่านั้นอย่างตั้งใจ แล้วนึกขึ้นได้ว่าคัมภีร์นี้เป็นคัมภีร์ของภพมาร
สายตาของเขาจับจ้องคัมภีร์นั้น ร่างกายเขาก็ไม่ขยับเขยื้อน แต่ดวงตาทั้งหกของพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหลังก็เปิดขึ้น แขนทั้งหกข้างก็ขยับไปมาพร้อมกัน แขนแต่ละข้างก็ร่ายคาถาที่ต่างกันออกมา
แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน วงแหวนสีทองที่อยู่ที่พื้นก็เปล่งแสงขึ้นมา อักษรโบราณปรากฏออกมาจากร่างกายของเขา จากนั้นก็กลายเป็นเกล็ดสีทองปกคลุมทั่วร่างกาย มีเพียงส่วนบนเท่านั้นที่ยังไม่ปรากฏเพราะมันปกคลุมด้วยแสงสีเขียว
เขาฝึกฝนวิเคราะห์แนวทาง หานลี่ใช้เวลาทบทวนมากกว่าหนึ่งครั้ง
จนฤดูใบไม้ผลิผ่านไป เข้าสู่ฤดูร้อน ตราบจนฤดูใบไม้ร่วง เข้าสู่ฤดูหนาว เวลาสิบเอ็ดปี ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ห้องลับมีเสียงดังขึ้นด้วยความยินดี คาถาดุร้ายที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของหานลี่ก็หายไป เกล็ดสีทองบนร่างกายเขาก็หายไปในเวลาเดียวกัน และเขาก็กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ธรรมดา
หลังจากที่หานลี่ลืมตาแล้ว ใบหน้าของเขาก็ประดับด้วยรอยยิ้มหวานอยู่
เขาใช้เวลาทั้งหมดหกปีเพื่อสำเร็จวิชาครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องฝึกใหม่ เขายังต้องปรับของวิชาเดิมด้วย เพื่อให้เขาเข้าใจอย่างถี่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้คิดวิชาใหม่ออกมาสองวิชา นั่นคือ วิชาเชื่อใจและหุ่นเชิ่ด นั่นก็มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายตกใจกันแล้ว
และที่เขาทำเช่นนี้ เพราะของได้รับประสบการณ์ของผ่าคอขวดของมั่วเจี่ยนหลีและท่านเอ๋าเซี่ยว
ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่ฝึกคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติสำเร็จ เขายังมีภูเขาปราณลูกที่สามที่สามารถป้องกันทัณฑ์สวรรค์ได้ จนตอนนี้เขาได้ศึกษาเคล็ดวิชาบรรลุเซียน รวมถึงบัววิญญาณพิสุทธิ์ที่เขาใช้ในตอนแรกจนพลังรักษาของเขาในตอนนี้มีหกถึงเจ็ดส่วนแล้ว
เพียงเท่านี้เขาก็มั่นใจได้แล้ว ว่าจะทำให้คนที่รู้เรื่องนี้ริษยาเขาจนอ้าปากค้าง
แน่นอนว่าพวกคนแก่หลังจากระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายแล้ว พวกเขาจะสะสมของเป็นหมื่นปีเพื่อเตรียมตัว คนที่ผ่านขั้นมหาเมธีได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หรือเมื่อเขาบรรลุด่านขึ้นมาได้ ก็ต้องเจอกับทัณฑ์สวรรค์ และพวกเขาก็อาจจะต้องตายอยู่ดี
หลายหมื่นปีที่ผ่านมานี้ ในทุกๆ เผ่าก็ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับทัณฑ์สวรรค์อยู่ แต่คนที่บรรลุขั้นมหายานและยังมีชีวิตอยู่ถือว่าน้อยมาก
และในตอนนี้หานลี่บอกตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องร่างกาย จิตใจ เตรียมโอสถ และของวิเศษ เขาไม่สามารถล่าช้าได้อีกต่อไปแล้ว เขาตัดสินใจจะผ่าคอขวดไปสู่ขั้นมหายาน
ปัญหาคอขวดของขั้นมหายานนั้นย่อมยากกว่าการทลายคอขวดครั้งอื่นๆ ตอนที่ทลายสำเร็จมันจะเป็นการดึงดูดทัณฑ์สวรรค์ที่รุนแรงเหมือนฟ้าถล่ม แต่โดยทั่วไปแล้วมันจะไม่เกิดหากเราอยู่ในห้องลับ
เมื่อคิดเช่นนั้นสีหน้าของหานลี่ก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา จากนั้นเขาก็ยืนขึ้น เดินเข้าไปที่ประตูหินบานนั้น