A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2173 เคราะห์เบญจธาตุ
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2173 เคราะห์เบญจธาตุ
ชั่วขณะนั้นเทวรูปสามเศียรหกกรขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ยามนั้นร่างพลันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางลำแสงสีทอง ชั่วครู่ก็สูงขึ้นร้อยจั้ง
ในเวลาเดียวกันทารกวิญญาณและกายเนื้อของหานลี่กลับนั่งสมาธินิ่งไม่ไหวติง ราวกับว่าทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการดูดซับไอวิญญาณฟ้าดิน
ไอวิญญาณมหาศาลเหล่านั้น ต่อให้เป็นอิทธิฤทธิ์แต่ก่อนของหานลี่ก็ทำได้เพียงฝืนดูดซับเข้าไปในร่างแล้วกดเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น มีเพียงหลอมให้เสร็จถึงจะควบคุมได้ดั่งใจ ทำให้พลังยุทธ์เพิ่มขึ้น
ทว่าสิ่งเหล่านี้สำหรับเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สูงใหญ่ค้ำฟ้ากลับไม่มีปัญหาเลยสักนิด
ปากทั้งสามของเทวรูปยักษ์พ่นรัศมีลำแสงสีทองออกมา ดูดรัศมีวิญญาณที่ม้วนวนอยู่ด้านล่างเข้ามาจนหมด ท่าทางสบายๆ ราวกับไม่เป็นไร
ในขณะที่เทวรูปกำลังกลืนกินไม่หยุด ก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
ทว่าหนึ่งกาน้ำชาต่อมามนุษย์ยักษ์สีทองสูงเกือบพันจั้งก็ยื่นตระหง่านอยู่ใจกลางบ่อ กรทั้งหกพลิ้วไหวไปมาเล็กน้อย ฟ้าดินสั่นสะเทือน
ยามนี้ระลอกคลื่นที่ทะลักมาจากขอบฟ้ารอบด้านเริ่มอ่อนแอ สุดท้ายก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ทารกวิญญาณเห็นเช่นนั้น ร่างกายแค่พลิ้วไหว ก็กลายเป็นลำแสงสีทองกระโจนมาที่กายเนื้อด้านล่าง
หลังจากลางเรือนไป ทารกวิญญาณก็ปรากฏที่ตำแหน่งเดิม แล้วรวมร่างเข้ากับกายเนื้ออีกครั้ง
หลังจากที่ร่างของหานลี่สั่นเทา ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลังจากที่สัมผัสได้ถึงพลังปราณในร่างที่เกือบจะซัดสาด ใบหน้าก็อดที่จะเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่ได้พลางเอ่ยพึมพำว่า
“อาคมนี้มีผลดังคาด เช่นนั้นการทะลวงจุดคอขวดก็น่าจะสบายขึ้นแล้ว”
สิ้นเสียงเขาร่ายอาคมในมือทันที หลับตาโคจรพลังยุทธ์อีกครั้ง
พริบตานั้นร่างของหานลี่ก็เปล่งแสงสีทองออกมา เกล็ดสีทองปรากฏขึ้นจากในร่าง ชั่วพริบตาก็ปกคลุมทั่วร่างกาย เหนือศีรษะมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เขาเดี่ยวสีเขียวยาวครึ่งฉื่อปรากฏขึ้น
ระลอกคลื่นสีทองกลางอากาศส่งเสียงดังสนั่นปริแตกแล้วสลายออก กลิ่นอายที่น่ากลัวกว่าก่อนหน้าหลายเท่าพลันแผ่ออกมาจากเรือนร่างของหานลี่
ทุกแห่งที่กลิ่นอายกวาดผ่านไป เมฆบนท้องฟ้าพลันถูกทะลวงออก แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจนแสบตาเป็นอย่างยิ่ง
หานลี่ในยามนี้สองมือร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว ปากก็บริกรรมคาถาต่ำๆ ออกมาไม่หยุด สองฝั่งร่างกายเขา รัศมีลำแสงสีทองรวมตัวกัน หัวสีทองสองหัวและแขนสีทองสี่แขนปรากฏขึ้นลางๆ ราวกับจะรวมตัวกันเป็นของจริงได้ตลอดเวลา
ในเวลาเดียวกันเกล็ดบนผิวของหานลี่พลันเข้มขึ้น เริ่มเปล่งแสงสีม่วงทองออกมา
ยามนี้เขาโคจรเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ พลังปราณมหาศาลเริ่มทะลวงจุดคอขวดในร่างระลอกแล้วระลอกเล่าราวกับระลอกคลื่นยักษ์ แต่ในร่างของเขาราวกับมีเขื่อนไร้รูปร่างขวางอยู่ มันขวางพลังปราณเหล่านั้นเอาไว้แน่น ไม่มีท่าทีจะขยับเลยสักนิด
ดูแล้วขั้นตอนการทะลวงจุดคอขวด ย่อมไม่ใช่สิ่งที่จะเห็นผลได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน
หานลี่กระตุ้นเคล็ดวิชาไม่หยุดไปพลาง สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในร่างไปพลาง ใบหน้าไร้ซึ่งความประหลาดใจ
การทะลวงจุดคอขวดระดับมหายาน ย่อมไม่ใช่สิ่งที่การทะลวงจุดคอขวดในอดีตจะเทียบเทียมได้ เขาเตรียมการรับมือกับสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานมานานแล้ว…
หนึ่งเดือนต่อมาอิ๋นเย่ว์ยืนมองบ่ออยู่ไกลๆ จากบนยอดเขา สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก
ด้านข้างของเขากลับมีเงาร่างอรชนอ้อนแอ้นปรากฏขึ้น นั่นคือจูกั่วเอ๋อร์
ยามที่หานลี่เริ่มทะลวงจุดคอขวด ทำให้เกิดปรากฏการณ์ไม่น้อย จูกั่วเอ๋อร์ที่กำลังฝึกฝนอยู่ละแวกนี้ย่อมไม่อาจไม่รู้ได้ หลังจากนั้นไม่นานก็เก็บเคล็ดวิชา บินตรงมารออยู่ใกล้ๆ กับบ่อ
ยามนี้ตรงบ่อถูกรัศมีลำแสงหลากสีสันสิบกว่าชั้นปกคลุมเอาไว้ เมื่อหญิงสาวบรรจุพลังวิญญาณเข้าไปในดวงตา ก็ยังลางเรือน มองไม่เห็นสิ่งใดเลยสักนิด
“ท่านอาวุโสหลิงหลง ยามนี้ท่านอาวุโสหานเป็นอย่างไรบ้าง นานขนาดนี้ จะเกิดปัญหาหรือไม่?” สาวน้อยมีสีหน้าร้อนใจ ทนไม่ไหวเอ่ยถามอิ๋นเย่ว์
“ยามนี้ตรงนั้นถูกเขตอาคมบดบังอยู่ ข้าเองก็ไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ด้านในได้ ทว่าดูจากกลิ่นอายที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากทิศทางนั้น แทบจะไม่ด้อยไปว่าท่านปู่ของข้าแล้ว คิดดูแล้วน่าจะไม่มีปัญหาอันใด” อิ๋นเย่ว์กวาดสายตาราบเรียบไป แล้วตอบกลับอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็นั่งสมาธิอย่างไม่สนใจ แล้วโคจรพลังปราณฝึกฝนของตนเอง
จูกั่วเอ๋อร์ได้ยินก็รู้สึกผ่อนคลายลง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอิ๋นเย่ว์ ก็อดที่จะรู้สึกหัวเราะก็ไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้
ก่อนหน้านี้ไม่นานท่านอาวุโสนามว่า ‘หลิงหลง’ ผู้นี้ยังมีสีหน้าเป็นห่วงหานลี่เป็นอย่างมาก ยามนี้คาดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนเป็นเย็นชา หากไม่ใช่ว่าสองสามปีมานี้นางรู้ว่าที่อิ๋นเย่ว์เปลี่ยนไปเช่นนี้เนื่องจากผลกระทบของอาคมบางอย่าง เกรงว่าคงตกตะลึงไปอีกนาน
นักพรตเซี่ยที่อยู่บนยอดเขาอีกลูก ดวงตาเปล่งแสงสีเงินออกมาจ้องเขม็งไปที่ม่านลำแสงเหนือบ่อ ใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาลางๆ
บ่อสั่นเทาอย่างรุนแรง ม่านลำแสงที่ปกคลุมอยู่สั่นเทา เสียงอึกทึกสะเทือนเลื่อนลั่นดังมาจากด้านใน
ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ เสาลำแสงหนาๆ สิบกว่าสายพ่นออกมาจากม่านลำแสงพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้เมฆสีดำทั่วท้องฟ้าสลายออก!
กลิ่นอายน่ากลัวที่แผ่ออกมาแม้ว่านักพรตเซี่ยจะสัมผัสกับจิตสัมผัสนั้น รูม่านตาก็อดที่จะหดเล็กลงไม่ได้
“สำเร็จแล้ว กลิ่นอายถึงระดับมหายานแล้ว ทะลวงจุดคอขวดได้สำเร็จจริงๆ ต้องดูว่าจะผ่านเคราะห์สวรรค์จากนี้ได้หรือไม่” นักพรตเซี่ยใช้น้ำเสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเอ่ยพึมพำขึ้น ใบหน้าฟื้นฟูกลับมาราบเรียบเช่นเดิม ดูเหมือนจะรู้สถานการณ์ของหานลี่ในยามนี้เป็นอย่างดี
ทว่าสิ้นเสียงของเขาม่านลำแสงสิบกว่าชั้นก็ส่งเสียงดังขึ้น ลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนปริแตกออก เผยเงาลวงตาเทวรูปสีทองสูงพันจั้งเศษออกมา และตรงฝ่าเท้าของเงาลวงตา รัศมีลำแสงสีม่วงทองเส้นผ่าศูนย์กลางสิบจั้งเศษก็ปรากฏขึ้น หานลี่เอาสองมือไพล่หลังยืนอยู่ตรงนั้น
หานลี่ในยามนี้ยังคงรักษารูปร่างของมารเอาไว้ แต่เรือนร่างกลับมีโลหิตชุ่มโชก มีบาดแผลเล็กๆ อยู่นับไม่ถ้วน แต่ก็ผสานกันอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าก็คือร่างกายของหานลี่สูงกว่าก่อนหน้ากว่าครึ่ง มือเท้าหนากว่าก่อนหน้าเท่าหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นชายร่างกายกำยำราวกับนักรบคนหนึ่ง
ด้านล่างแท่นผลึกยักษ์สูงยี่สิบสามสิบจั้งหายไปแล้ว ที่เดิมเหลือเพียงพื้นดินที่เป็นหลุมลงไปและมีเศษกระดูกปกคลุมอยู่ ราวกับว่าถูกพลังมหาศาลอันใดสักอย่างบดทับจนแตกอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่ที่อยู่ในรัศมีลำแสงสีม่วงทองหลับตาทั้งสองข้าง แต่อักขระวิญญาณสีเงินที่อยู่บนเรือนร่างกลับโคจรไปมาไม่หยุด ดูเหมือนจะไม่ขยับอยู่กลางอากาศ แต่เมื่อเพ่งมองใบหน้าและเรือนร่าง กลับพบว่าเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน กล้ามเนื้อทั่วเรือนกายเคลื่อนไหวไปมา ราวกับว่าพลังอันน่ากลัวกำลังก่อตัวอยู่ภายในร่าง
ส่วนแรงกดน่ากลัวที่แผ่ออกมาของเขาในยามนี้ ยิ่งทำให้อากาศในรัศมีสองสามลี้ดูเหมือนจะแข็งตัว สิ่งมีชีวิตใดๆ เข้าไปในนั้นก็จะถูกแรงกดสังหารทิ้งในพริบตา
กลางอากาศสูงเมฆสีดำที่เดิมถูกเสาลำแสงสีทองโจมตีจนสลายออกพลันรวมตัวกันอีกครั้งท่ามกลางเสียงอึกทึก และยังหมุนวนอย่างรวดเร็ว มองเห็นรัศมีลำแสงห้าสีกระพริบวาบๆ ได้ลางๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทว่าสองสามชั่วลมหายใจ ลำแสงห้าสีก็มีขนาดสองสามหมู่ ท้องฟ้ามีรัศมีลำแสงหมุนวน แทบจะบดบังเมฆสีดำไปจนเกลี้ยง!
“เคราะห์เบญจธาตุ!” อิ๋นเย่ว์ที่อยู่บนยอดเขาไกลออกไป เห็นปรากฏการณ์นี้ ใบหน้าที่เดิมเย็นชาพลันเปลี่ยนไป
แม้ว่าจูกั่วเอ๋อร์จะยังงุนงง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอิ๋นเย่ว์ย่อมรู้ว่าปรากฏการณ์เหนือบ่อนั้นไม่ธรรมดา ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองก็เบิกโพลง จ้องมองด้วยตาที่ไม่กะพริบ
ยามนี้กลิ่นอายบนเรือนร่างของหานลี่ยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งมองเห็นเรือนร่างกลางอากาศได้ลางๆ
ฉับพลันนั้นหานลี่ก็เงยหน้าขึ้น ลืมตาทั้งสองข้าง มองไปยังท้องฟ้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
แทบจะในเวลาเดียวกันรัศมีลำแสงห้าสีกลางอากาศพลันเปลี่ยนไป ในเวลาเดียวกันพลันกลายเป็นลำแสงสีทองแดง และต่อมาก็พ่นลำแสงสีทองขนาดสองสามฉื่อออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากที่พลิ้วไหวก็พุ่งลงมาราวกับใบมีดแหลมคม
ลำแสงสีทองเปล่งแสงระยิบระยับ ไอเย็นเยียบบีบรัดผู้คน สาดกระเซ็นลงมาทั่วบ่อราวกับพายุฝน
“ไอวัชระ!”
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ร้องอุทานออกมาพร้อมกับใจหายวาบ แต่ใบหน้ากลับไม่ได้เผยสีหน้าหวาดกลัวมากนักออกมา แค่สะบัดแขนเสื้อไปรอบด้าน
ชั่วขณะนั้นอาคมสิบกว่าสายพลันบินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาเขตอาคมทั้งหมดที่วางอยู่รอบด้านก็ส่งเสียงอึกทึกขึ้น ม่านลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วก่อตัวขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นม่านลำแสงปกคลุมบ่อด้านล่างเอาไว้
เสียง “ปังๆๆ” ดังสนั่นขึ้น!
ลำแสงสีทองร่อนลงมาถึงด้านนอกม่านลำแสง เสียงอึกทึกน่าตกตะลึงดังออกมา และกลายเป็นลำแสงสีทองปริแตกออก
ผิวของม่านลำแสงมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบไม่แน่นอน!
ทว่าหนึ่งกาน้ำชาต่อมา ม่านลำแสงด้านนอกสุดก็ไม่อาจประคับประคองได้ถูกสับออกเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางลำแสงสีเหลือง
ส่วนเขตอาคมที่กระตุ้นก็ปริแตกพังทลายเพราะลำแสงที่สว่างวาบ และไม่อาจใช้การได้อีก
ชั่วพริบตาลำแสงสีทองจำนวนมากพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ร่อนลงมาที่ม่านลำแสงชั้นที่สุดอีกครั้ง ส่งเสียงดังขึ้นเช่นเดิม…
เช่นนั้นลำแสงสีทองที่ร่อนลงมาอย่างไม่ขาดสายและไม่มีสิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้นอานุภาพของทุกสายล้วนไม่ด้อยไปกว่ากระบี่บินหรือดาบบิน!
การโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ ทะลวงม่านลำแสงห้าชั้นได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ
ทว่าในยามนั้นเองหานลี่ที่อยู่ด้านล่างกลับใช้มือหนึ่งร่ายอาคม เงาลวงตาเทวรูปสูงพันจั้งกรทั้งหกพลันลางเรือน ชั่วครู่ก็กำหมัดโจมตีออกไป
พริบตานั้นเสียงกรีดร้องราวกับพายุหมุนก็ดังขึ้น เงากำปั้นขนาดเท่าศาลาปรากฏขึ้นด้านนอกม่านลำแสง และพลิ้วไหวพุ่งไปหาลำแสงขนาดยักษ์กลางอากาศ
ทุกแห่งที่เงากำปั้นกวาดผ่านไป ต้านทานลำแสงสีทองเอาไว้แต่ไม่ทันได้สัมผัสจริงๆ ก็ทยอยกันปริแตกออก
เงากำปั้นกะพริบวาบๆ โจมตีไปที่ลูกบอลลำแสงสีทอง
หลังจากที่เสียงแหลมสูงราวกับกระทบกับธาตุทองดังขึ้น ชั่วพริบตาที่เงากำปั้นดีดตัวออกแล้วสลายหายไป ลำแสงสีทองก็สั่นเทากลายเป็นลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วสลายตัวออก
ลำแสงสีทองร่อนลงมาจากกลางอากาศ แล้วหยุดอยู่แค่นั้น!
ทว่าครู่ต่อมาลำแสงสีทองที่กระจายตัวแล้วร่อนลงมาแค่หมุนวนก็เปลี่ยนสีทันที กลายเป็นสีเขียวคราม หลังจากรวมตัวกันอีกครั้ง ก็กลายเป็นสีคราม ขนาดไม่ด้อยกว่าก่อนหน้าเลยสักนิด
ในเวลาเดียวกันกลิ่นอายพฤกษาก็ตลบอบอวลแผ่ออกมาจากลำแสงดวงนั้น!