A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2176 พบสหายเก่าอีกครั้ง
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2176 พบสหายเก่าอีกครั้ง
หญิงสาวสวมชุดชาววังเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ใบหน้าสิ้นหวังก็ฉายแวบผ่านไป แต่ทันใดนั้นก็กัดฟัน ใบหน้ามีสีแดงระเรื่อปรากฏขึ้น หมายจะสำแดงเคล็ดวิชาของเผ่าเพื่อจะกลับคืนสู่บ้านเก่าไปพร้อมกับหัวหน้าเผ่ามารโดยไม่สนใจสิ่งใด
แต่ไม่รอให้หญิงสาวผู้นี้ร่ายอาคม ด้านบนกลับมีระลอกคลื่นปรากฎขึ้น ลำแสงสีเงินเปล่งแสงวาววับ เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นปรากฏขึ้น
ฉากนี้ทำให้กลุ่มมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรและเผ่ามารรอบด้านตกตะลึง
เงาร่างนั้นกวาดสายตาไปที่เผ่ามารที่อยู่รอบๆ ส่งเสียงเย็นชาแต่ไพเราะเสนาะหูออกมา
“เผ่ามารกล้าย่างกรายมาที่นี่ ช่างรนหาที่ตายนัก! สังหารมันซะ!”
สิ้นเสียงร่างของหญิงสาวก็แผ่ลำแสงสีเงินออกมา เสียงแหวกอากาศดัง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น พ่นเส้นไหมผลึกจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา พุ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านราวกับระเบิด
เผ่ามารที่อยู่รอบด้านพลันตกตะลึง บ้างก็กระตุ้นเคล็ดวิชามารเข้าต้านทาน บ้างก็รีบสำแดงอาวุธมารออกมาป้องกันตัว แต่เส้นไหมผลึกกลับทำเหมือนมองไม่เห็นทุกอย่าง แค่กะพริบวาบอย่างต่อเนื่อง ก็ทะลวงผ่านร่างของเผ่ามารทั้งหมด ทำให้พวกมันทยอยกันล้มตึงราวกับต้นหญ้าเฉา
ในนั้นมีแม้กระทั่งเผ่ามารระดับหลอมสูญหัวอสรพิษตัวมนุษย์รวมอยู่ด้วย
ยามที่ซากศพของเขาร่อนลงบนพื้น ใบหน้ายังมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อหลงเหลืออยู่
มิน่าล่ะมารตนนี้ถึงมีสีหน้าเช่นนี้
การที่เขานำกลุ่มมาในครั้งนี้ เป็นแค่การไล่สังหารกลุ่มมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียร ที่พลังยุทธ์ต่ำต้อยกว่าพวกเขา เดิมคิดว่าจะจัดการได้ ยามนี้กลับมีคนอื่นสอดมือเข้ามา แน่นอนว่าถึงได้เพลี้ยงพล้ำไปด้วยความไม่เต็มใจ
หญิงสาวสวมชุดชาววังและมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็ทั้งตกตะลึงระคนดีใจ
ทันใดนั้นมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรก็คารวะไปทางเงาร่างคนเลือนรางที่อยู่กลางอากาศพร้อมกันโดยมีหญิงสาวสวมชุดชาววังเป็นผู้นำ หญิงสาวสวมชุดชาววังพลันเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ช่วยชีวิต หากท่านอาวุโสไม่ลงมือ ชนรุ่นหลังและลูกหลานตระกูลสวี่คงจะเพลี้ยงพล้ำด้วยเงื้อมมือของเผ่ามารเหล่านั้นแล้ว”
“ตระกูลสวี่? หรือว่าเป็นตระกูลสวี่ของเซียนวิญญาณน้ำแข็ง?” เงาร่างคนที่อยู่กลางอากาศดูเหมือนจะประหลาดใจ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยถามขึ้น
“ท่านอาวุโสรู้จักท่านบรรพชนหรือ? พวกเราคือชนรุ่นหลังของบรรพชนวิญญาณน้ำแข็ง!” หญิงสาวสวมชุดชาววังเองก็ตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ตอบกลับอย่างระมัดระวัง
“ข้าไม่รู้จักเซียนวิญญาณน้ำแข็ง แต่สหายของข้ามีที่มาเดียวกันกับบรรพชนตระกูลสวี่ของพวกเจ้า พวกเจ้าถูกเผ่ามารไล่สังหารมาถึงที่นี่ได้อย่างไร?” ลำแสงสีเงินบนเงาร่างคนที่อยู่กลางอากาศหม่นแสงลง หญิงสาวร่างกายอรชรอ้อนแอ้นปรากฏขึ้น ใบหน้างดงามราวกับเทพเซียนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ
หญิงสาวผู้นี้คืออิ๋นเย่ว์ที่ข้ามขอบฟ้ามาจากบ่อ
นางอยู่กับหานลี่มาระยะหนึ่ง จึงรู้จักเซียนวิญญาณน้ำแข็งและตระกูลสวี่จากอีกฝ่าย ดังนั้นถึงได้เผยท่าทีอ่อนโยนออกมา
มิเช่นนั้นหากเปลี่ยนเป็นมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรแปลกหน้าคนอื่น จากพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ของนางย่อมไม่มีทางมีมารยาทเช่นนี้
“สหายของท่านบรรพชน! แต่ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสผู้นั้นแซ่อันใด ชนรุ่นหลังอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง” หญิงสาวสวมชุดชาววังรู้สึกผ่อนคลายลง แต่ปากก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“เจ้าชื่ออันใด?” อิ๋นเย่ว์ไม่ได้ตอบทันที แต่พิจารณาหญิงสาวสวมชุดชาววังสองสามแวบ ถึงได้เอ่ยถามอย่างมีแผนการณ์
“ชนรุ่นหลังสวี่เชียนอวี๋ ท่านอาวุโสมีเรื่องอันใด ก็รับสั่งมาได้เลยเจ้าค่ะ” หญิงสาวสวมชุดชาววังใจหายวาบ แล้วตอบกลับอย่างรีบร้อน
หญิงสาวตระกูลสวี่ผู้นี้คือ ‘เซียนสวี่’ ที่หานลี่รู้จักที่เมืองเทวะสวรรค์ในตอนแรก ยามนี้ไม่ได้พบกันหลายปีก็พัฒนามาอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นปลายแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้เพราะเหตุใดถึงพาคนมาปรากฏตัวที่นี่และยังฝ่าการไล่สังหารของเผ่ามารมาด้วยท่าทีจนตรอก
“สวี่เชียนอวี๋! ดูจากหน้าตาแล้วเจ้าคือศิษย์ตระกูลสวี่ที่เขาเอ่ยถึง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะขอยึดคนของตระกูลสวี่ของพวกเจ้ามาใช้ชั่วคราว เขตแดนนี้ห้ามคนภายนอกเข้าใกล้ชั่วคราว พวกเจ้าลาดตระเวนแถวๆ นี้ห้ามไม่ให้คนแปลกหน้าบุกเข้ามาได้อีก” อิ๋นเย่ว์หัวเราะน้อยๆ ออกมาแล้วออกคำสั่งอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
“ทำประโยชน์ให้ท่านอาวุโสได้ย่อมเป็นเกียรติของชนรุ่นหลังแต่พวกเราพลังยุทธ์ตื้นเขิน หากพบกับผู้มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรก็ไม่อาจขัดขวางได้ ถึงยามนั้นเกรงว่าคงทำให้เรื่องใหญ่ของท่านอาวุโสผิดพลาด” สวี่เชียนอวี๋ได้ยินก็รู้สึกงุนงง แต่ก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าลังเลไม่กล้า
“ไม่เป็นไร ข้าจะมอบยันต์วิเศษให้เจ้าสองสามแผ่นหากพบกับผู้ที่ไม่อาจต้านทานได้ก็ไม่ต้องฝืนขัดขวางแค่สำแดงยันต์วิเศษออกมาก็พอแล้ว พอข้าได้ข่าวก็จะรีบไปทันที” อิ๋นเย่ว์เอ่ยอย่างเตรียมการเอาไว้นานแล้ว
“ในเมื่อท่านอาวุโสไตร่ตรองมาแล้ว ชนรุ่นหลังก็จะพยายามเต็มที่กับหน้าที่ที่ได้รับ” สวี่เชียนอวี๋ก้มหน้าเล็กน้อยแล้วตอบรับ
อิ๋นเย่ว์เห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ยามที่กำลังคิดจะเอ่ยอันใดกับหญิงสาวสวมชุดชาววังท้องด้านหลังกลับมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ จากนั้นก็มีเสียงอึกทึกดังแว่วมาแม้กระทั่งพื้นดินด้านล่างก็ยังสั่นสะเทือนเล็กน้อย
“เอาล่ะรับยันต์เหล่านี้ไว้ข้ายังมีธุระอื่นต้องไปเดี๋ยวนี้” อิ๋นเย่ว์หน้าเปลี่ยนสีสะบัดแขนเสื้อ ยันต์สีเงินสองสามแผ่นเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกมา ตัวกลับส่งเสียงร้องกลายเป็นสายรุ้งสีเงินพุ่งแหวกอากาศไป แค่กะพริบวาบสองสามครั้งก็สลายหายไปจากขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย
สวี่เชียนอวี่รับยันต์เหล่านั้นเอาไว้ มองไปยังทิศทางที่ลำแสงหลีกหนีหายวับไปใบหน้าพลันเผยสีหน้าฉงนออกมาอย่างปิดไม่มิด
แต่ต่อมาหญิงสาวผู้นี้พลันหันกายไปออกคำสั่งกับศิษย์ตระกูลสวี่คนอื่นๆ อย่างเด็ดขาด
“พวกเจ้าเองก็ได้ยินคำสั่งของท่านอาวุโสแล้ว แบ่งออกเป็นกลุ่มละห้าคน ทุกกลุ่มไปลาดตระเวนกันคนละที่ แต่ทุกคนห้ามเข้าไปในส่วนลึกของเขตแดนนี้”
“ขอรับ”
คนอื่นๆ ล้วนน้อมตัวลงตอบรับ แต่ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่คนอื่นๆ ที่มองสบตากันแวบหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าลังเลออกมา
สุดท้ายผู้บำเพ็ญเพียรท่าทางแก่ชราคนหนึ่งก็ก้าวเท้ามาข้างหน้า แล้วประสานกำปั้นคารวะเอ่ยกับหญิงสาวสวมชุดชาววัง
“เชียนอวี๋ เจ้าไม่รู้สึกว่าท่านอาวุโสเมื่อครู่มีท่าทีน่าสงสัยหรือ และยิ่งไปกว่านั้นเสียงที่ดังมาจากที่ไกลออกไปและการสั่นสะเทือนมันคืออันใด พวกเราทำงานแทนนาง จะไม่เข้าไปอยู่ในความยุ่งยากอันใดหรือ!”
“พี่สิบเจ็ด ไม่ว่าใจกลางของเขตแดนนี้มีเรื่องไม่ธรรมดาอันใด ล้วนไม่เกี่ยวกับพวกเรา และอย่ามีเจตนาอยากตรวจสอบอันใดเลย มิเช่นนั้นถึงยามนั้นท่านอาวุโสผู้นั้นจะเป็นผู้เอาชีวิตพวกเราเป็นคนแรก และยิ่งไปกว่านั้นอย่าพูดว่าท่านอาวุโสเมื่อครู่เพิ่งช่วยชีวิตพวกเรา ต่อให้ไม่มีบุญคุณการช่วยชีวิต แค่พละกำลังเจ้าคิดว่าพวกเรามีคุณสมบัติจะไม่ฟังคำสั่งหรือ? การเดินทางนี้น้องหญิงเป็นผู้นำ ย่อมต้องให้ข้าเป็นคนตัดสินใจ เจ้าไม่ต้องพูดอันใดให้มากความหรอก” สวี่เชียนอวี๋มีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วตักเตือนอย่างไม่ไว้หน้า
“เป็นข้าที่ขบคิดไม่รอบคอบเอง ย่อมต้องฟังคำสั่งของน้องหญิง” ชายชราผู้นั้นมีสีหน้าแดงก่ำสลับซีดขาว แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าเอ่ยอันใดให้มากความอีก
ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ที่เดิมมีท่าทีสงสัยก็มีสีหน้าขัดเขิน ไม่กล้าแย้งอันใดอีก
ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม และเริ่มลาดตระเวนไปตามทิศทางต่างๆ
แม้ว่าพวกเขาจะลาดตระเวนพื้นที่ไม่น้อย แต่ภายใต้การกระตุ้นด้วยอาวุธเหาะเหิน วนรอบหนึ่งก็ไม่ได้ใช้เวลาเท่าใดนัก
สวี่เชียนอวี๋พาศิษย์ตระกูลสวี่สี่คนบินอยู่กลางอากาศ แต่ยามนี้ขอบฟ้าไกลออกไปพลันมีแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้น แต่เมื่อเปล่งแสงสว่างวาบก็หายวับไป
เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น “ตึงๆๆ” จากนั้นพลันมีเสียงแว่วมาจากที่ไกลออกไป
สวี่เชียนอวี๋ทนไม่ไหวหันไปมองด้วยแววตาเปล่งประกายแวบหนึ่ง แววตาเผยแววประหลาดใจออกมา แต่ก็ไม่กล้าพูดอันใดให้มากความ ทันใดนั้นก็หันกลับมากระตุ้นผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ให้บินไปข้างหน้าต่อ
…
ในเวลาเดียวกันรูเหนือบ่อพลันมีขนาดสองสามร้อยหมู่
แต่ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหว กลางอากาศพลันมีสายฟ้าขนาดเท่าถังน้ำฟาดลงมา ลูกบอลอัสนีเปล่งแสงสว่างวาบแล้วร่อนลงมาใกล้ๆ กับหอคอยต่างๆ
สายฟ้าสองชนิดปกคลุมทั่วท้องฟ้า ท่าทางยิ่งใหญ่ เกรงว่าสิ่งมีชีวิตระดับมหายานก็ยังหน้าเปลี่ยนสี
แต่ไม่ว่าสายฟ้าดุจดวงอาทิตย์ เสียงฟ้าคำราม อากาศเหนือบ่อด้านล่าง กลับมียอดเขาสามลูกเรียงตัวกันเป็นรูป ‘品’ ลอยอยู่ตรงนั้น ต้านทานการโจมตีของสายฟ้ากว่าครึ่งเอาไว้อย่างมั่นคง
ยอดเขาสามลูกล้วนมีขนาดพันจั้ง!
ยอดเขาลูกหนึ่งมีไอสีเทาหมุนวน วงแหวนลำแสงสีเทาทะลักออกมา สายฟ้าจำนวนไม่น้อยถูกกวาดหายไปอย่างแปลกประหลาด
ยอดเขาลูกหนึ่งส่งเสียง “พรึ่บๆ” ออกมา ไอกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนตัดสลับกันไปมา ประจุไฟฟ้าลูกบอลอัสนีถูกไอกระบี่ทยอยกันสับจนหายวับไป
ลูกสุดท้ายมีลำแสงห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด เมื่อสัมผัสกับสายฟ้าทั้งหมดก็ระเบิดออกในพริบตา
ด้านล่างยอดเขาทั้งสามลูก ร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์สูงพันจั้งก็ยืนตัวตรงแน่วอยู่ตรงนั้น แขนทั้งหกพลิ้วไหว ลูกบอลลำแสงสีทองดีดตัวออกมาราวกับพายุฝน โจมตีประจุไฟฟ้าจนสลายหายไป
ส่วนด้านล่างดอกบัวกระบี่สีเขียวขนาดสองสามหมู่กำลังหมุนคว้างไปมาไม่หยุด
ประจุไฟฟ้าและลูกบอลอัสนีที่เล็ดรอดออกมาลูกสุดท้ายจมหายเข้าไปข้างใน แค่ส่งเสียงอึกทึกออกมา ก็ถูกไอกระบี่ในดอกบัวกระบี่ทำลายจนแหลกเป็นชิ้นๆ
หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคมกระตุ้นพลังปราณในร่าง คาดไม่ถึงว่าจะอาศัยโลหิตบริสุทธิ์เป็นเครื่องป้องกัน ต้านทานเคราะห์อัสนีเที่ยงแท้ที่ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ มีโอกาสรอดเพียงหนึ่งในสิบส่วนมาจนถึงยามนี้โดยยังไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด
แต่ความจริงแล้วหานลี่รู้ดีอยู่แก่ใจ ที่ตนยืนหยัดมาจนถึงยามนี้ได้อย่างปลอดภัย กว่าครึ่งล้วนเป็นเพราะยอดเขาทั้งสามลูก
แม้ว่ายอดเขาเบญจธาตุผสานปราณจะยังหลอมไม่เสร็จ แต่การร่วมมือกันของภูเขาทั้งสามลูกกลับมีผลต่อเคราะห์อัสนี
สมบัติอาคมทั้งสามชิ้นยังไม่ได้หลอมร่างกัน คาดไม่ถึงว่าจะกำจัดเคราะห์อัสนีกว่าครึ่งได้อย่างง่ายดาย เคราะห์อัสนีที่เหลือก็ให้หานลี่และร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ลงมือต้านทาน
แต่เช่นนี้เขาก็พอจะยืนหยัดมาได้จนถึงยามนี้ ไม่เพียงจะหน้าซีดขาว ใบหน้าซีดเซียว พลังปราณในร่างหายไปเจ็ดแปดส่วน
ในที่สุดหานลี่ในยามนี้ก็รู้ว่าเหตุใดสิ่งมีชีวิตระดับมหายานถึงไม่ค่อยปรากฏตัวในแดนวิญญาณ
จากการเตรียมตัวมาอย่างเต็มที่ของเขา ไม่ว่าพลังปราณหรือว่ากายเนื้อล้วนแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายตั้งไม่รู้กี่เท่า เมื่อเผชิญหน้ากับเคราะห์อัสนีเที่ยงแท้ก็เกือบจะไม่อาจยืนหยัดได้ โอกาสที่สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ จะผ่านไป ย่อมน้อยมาก
ในยามที่หานลี่กำลังตกตะลึงอยู่ในใจ ในที่สุดเคราะห์อัสนีเที่ยงแท้กลางอากาศก็มาถึงช่วงสุดท้าย รอบๆ รูขนาดยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มหดเล็กลง แต่ด้านในพลันมีทะเลสายฟ้าหมุนวนออกมา คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันตามรูที่หดเล็กลง และพยายามกดลงมา
ทว่าผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา กลางอากาศก็มีกลิ่นอายน่ากลัวที่แทบจะถล่มฟ้าดิน ได้แผ่ออกมา ในเวลาเดียวกันลูกบอลอัสนีอันน่ากลัวสีดำขาวก็ปรากฏขึ้นในรูรางๆ