A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2188 กลับมา
หานลี่เห็นมังกรยักษ์สีเงินไปจากละแวกนี้จริงๆ พลันมีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่หลังจากขบคิดคำพูดของอีกฝ่ายก่อนจากไปแล้ว สีหน้าก็อดที่จะบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสไม่ได้
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ ร่างคนตัวเล็กสีเขียวพลันเลือนราง กลายเป็นลำแสงสีเขียวอ่อนพุ่งไปด้านล่าง
หลังจากนั้นไม่นานภายในห้องลับของถ้ำพำนักตรงสันเขาพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น คนตัวเล็กสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น
ร่างสีทองและกายเนื้อของหานลี่ที่นั่งสมาธิอยู่ด้านล่างเห็นเช่นนั้น ก็ยักไหล่ยืนขึ้น
ในเวลาเดียวกันกายเนื้อของหานลี่ที่หลับตาทั้งสองข้างลง หน้าผากพลันเปิดออกท่ามกลางลำแสงสีทอง
ชั่วขณะนั้นคนตัวเล็กสีเขียวพลันกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งลงไป หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ พลันจมหายเจ้าไปในหัวของกายเนื้ออย่างไร้ร่องรอย
พริบตานั้นกายเนื้อของหานลี่พลันมีลำแสงสีม่วงและทองสว่างวาบ ในเวลาเดียวกันลวดลายสีเงินก็เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นบนผิวเป็นสายๆ
กายเนื้อของหานลี่เปลือกตาขยับเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองเบิกโพลงขึ้นอีกครั้ง
ร่างวิญญาณที่อยู่ด้านข้างสาวเท้ายาวๆ ไปโดยไม่พูดอันใด
หลังจากที่ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ พลันกลายเป็นเงาลวงตาจมหายเข้าไปในร่างของหานลี่
หานลี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มีเพียงแววตาที่เปล่งประกายวาววับไม่หยุด
หลังจากผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ คอของเขาถึงได้ขยับไปมาสองครั้ง ในเวลาเดียวกันปากก็เอ่ยพึมพำออกมา
“การทดสอบพายุวัชระครั้งแรก ทารกวิญญาณมั่นคงกว่าก่อนหน้าดังคาด ดูแล้วการผจญภัยหมื่นลี้ครั้งนี้ไม่เพียงใช้เป็นขั้นตอนในการเอาชนะศัตรู ยังสามารถนำมาฝึกฝนได้”
สิ้นเสียงพูดกับตัวเอง หานลี่ก็นั่งสมาธิอยู่บนพื้นอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
พลิกฝ่ามือหนึ่ง!
เกล็ดสีเงินแผ่นนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หานลี่ถือเกล็ดแผ่นนั้นเอาไว้ ใช้นิ้วลูบไล้ไปมาเบาๆ ใบหน้ากลับเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
เกาะมังกรเที่ยงแท้ที่ฝานพ่าวจื่อเอ่ยถึงเมื่อครู่ เขากลับเคยได้ยินมาจากตำราในอดีต
ว่ากันว่าเกาะในตำนานแห่งนี้มหัศจรรย์มาก ไม่ใช่สิ่งที่ดำรงอยู่ในแดนเที่ยงแท้ แต่เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในห้วงเวลาต่างๆ ระหว่างแดน
บนเกาะมีจิตวิญญาณฟ้าดินหลากหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นประเภทมังกร จิตวิญญาณเที่ยงแท้มังกรที่ให้มนุษย์เป็นนายมีอยู่มากกว่าสิบตัว ดังนั้นถึงได้ถูกเรียกว่าเกาะมังกรเที่ยงแท้ นับว่ามีชื่อเสียงเกรียงไกรในแดนต่างๆ
ทว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘งานชุมนุมผลเต๋า’ เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ดูแล้วคงต้องไปถามเรื่องนี้กับพวกม่อเจี่ยนหลี ดูว่าพวกเขารู้รายละเอียดหรือไม่ ถึงจะตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมงานชุมนุมที่เกาะมังกรเที่ยงแท้นี้หรือไม่
หานลี่มีความคิดนี้ ทันใดนั้นก็พ่นลมหายใจออกมา ลวดลายสีเงินบนผิวไหลวนโคจรไปมาไม่หยุด และรวมตัวกันกลายเป็นลวดลายเขตอาคมขนาดเล็กยี่สิบกว่าเขตบนผิวในพริบตา
จากนั้นหมอกสีขาวนวลก็ทะลักออกมาจากเขตอาคมสีเงิน กลืนร่างของหานลี่เข้าไปข้างใน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งห้องลับก็เต็มไปด้วยหมอกสีขาวนวล ด้านในมีเสียงแตกราวกับเมล็ดถั่วระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะสงบใจฝึกฝนอยู่ในห้องลับ
สองเดือนต่อจากนั้นประตูใหญ่ของห้องลับพลันเปิดออกอีกครั้ง หานลี่เดินออกมาด้วยสีหน้าเงียบสงบ
ครึ่งวันต่อมาหานลี่ ภูเขาที่ถ้ำพำนักของหานลี่ตั้งอยู่พลันเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีที่เจิดจ้าสองสายพุ่งออกมาจากสันเขา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นสายรุ้งยาวสองสายพุ่งแหวกอากาศปรากฏขึ้นมา
หลังจากที่เวลาผ่านไปอีกหนึ่งกาน้ำชา พลันมีลำแสงหลีกหนีสีสันแตกต่างกันสิบกว่าสายพุ่งออกมาจากภูเขาอีกครั้ง จากนั้นพลันเรียงแถวแล้วพุ่งไปคนละด้าน
ในเวลาเดียวกันภายในห้องโถงของถ้ำพำนัก นักพรตเซี่ย อิ๋นเย่ว์ จูกั่วเอ๋อร์ ทั้งสามล้วนยืนอยู่ตรงหน้าหานลี่
“ไปเถิด พวกเรากลับเมืองเทวะสวรรค์ ที่นั่นข้ายังมีลูกศิษย์อยู่ ไม่ได้พบกันนานหลายปี ต้องไปดูว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
คนอื่นๆ ย่อมไม่ได้คัดค้าน
หานลี่พลันสะบัดแขนเสื้อ
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองพลันบินออกมาจากแขนเสื้อ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในละแวกนั้นเปล่งแสงสว่างวาบแล้วถูกม้วนเข้าไปข้างใน หลังจากใจลอยอีกครั้ง ทุกคนก็หายวับไปจากห้องโถงอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาเหนือยอดเขาก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น หานลี่และพวกปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ
หานลี่ชูมือข้างหนึ่งขึ้นโดยไม่ปริปาก ลำแสงสีเขียวพุ่งออกไป หลังจากกะพริบวาบก็กลายเป็นสำเภาหยกสีเขียวมรกตความยาวสิบจั้งเศษลำหนึ่ง
พวกเขาพลันบินขึ้นไป
หลังจากเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น สำเภาหยกก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวบินไป
…
เมืองเทวะสวรรค์ เมืองยักษ์ที่มีชื่อเสียงทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจยามนี้ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ตรงทางเข้าระหว่างสองเผ่าและแดนป่าเถื่อน
กำแพงเมืองยักษ์สูงสองสามร้อยจั้ง ยามนี้ถูกซ่อมแซมจากเคราะห์มารแล้ว
ผู้พิทักษ์ลาดตระเวนที่รับสมัครเข้ามาใหม่สวมชุดเกราะเป็นระเบียบเรียบร้อย กำลังลาดตระเวนตรวจตราไปมาอยู่ตามจุดต่างๆ บนกำแพงเมือง
เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าเคราะห์มารจะผ่านไปแล้ว แต่ผู้พิทักษ์เมืองเทวะสวรรค์ที่ผ่านสงครามอันน่าเศร้าสลดมา ก็ยังคงไม่มีคิดจะหละหลวมเลยสักนิด
ภายในหอคอยหินยักษ์ใจกลางของเมืองเทวะสวรรค์ อาวุโสระดับผสานอินทรีย์ของสองเผ่าเจ็ดแปดคนกำลังรวมตัวกันปรึกษาอันใดกันอยู่
“ในที่สุดเขตอาคมยักษ์หนึ่งร้อยแปดสายด้านนอกสุดของเมืองเราก็ซ่อมแซมเสร็จไปเจ็ดสิบเก้าสายแล้วเมื่อสองวันก่อน ที่เหลืออีกสิบเอ็ดสายต้องใช้วัตถุดิบที่ค่อนข้างหายาก ยามนี้จึงยังรวบรวมได้ไม่ครบ ดังนั้นจึงต้องรออีกสองสามปีถึงจะให้ปรมาจารย์ด้านเขตอาคมในเมืองซ่อมแซ่มได้ หลังจากที่ปรึกษากันครั้งที่แล้ว หุ่นเชิดไร้ประโยชน์ที่เหลือก็นำส่วนที่ไร้ประโยชน์มาหลอมจนกลายเป็นวัตถุดิบ นอกจากนี้ที่ให้สำนักเทียนจีสร้างหุ่นเชิดขึ้นใหม่แสดงตนครั้งที่แล้วถูกนำไปไว้ในคลังเรียบร้อยแล้วเมื่อหนึ่งเดือนก่อน และหอคอยสามพันแปดสิบแห่งของเมืองเราก็ซ่อมแซมเสร็จแล้ว…” ชายชราผมสีเงินหน้าหวานกำลังอธิบายการซ่อมแซมเมืองเทวะสวรรค์ให้คนอื่นๆ ฟัง
ท่ามกลางเคราะห์มาร แม้ว่าเมืองเทวะสวรรค์จะโจมตีจนเผ่ามารล่าถอยไป แต่สถานการณ์แห่งความสูญเสียและเสียหายก็น่าตกตะลึงจริงๆ
ผ่านไปหลายปี คาดไม่ถึงว่าจะยังไม่ถูกฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพรุ่งเรืองเหมือนก่อนที่เคราะห์มารจะมาโจมตี
สำหรับสมาคมอาวุโสแล้ว ย่อมเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอย่างยิ่ง
แม้ว่าเคราะห์มารจะผ่านไปแล้ว แต่เผ่ามนุษย์และสถานการณ์ของเผ่าต่างๆ ใกล้เคียงก็เปลี่ยนเป็นลึกซึ้งเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะหลังจากที่เผ่าพฤกษาแบ่งออกเป็นสองสามส่วนแล้วยอมสวามิภักดิ์ต่อเผ่าต่างๆ อาณานิคมเดิมก็กลายเป็นไขมันยักษ์ก้อนหนึ่ง เผ่าใดก็ไม่กล้าละทิ้งไปง่ายๆ
แต่แค่สองสามเผ่าล้วนกลัวว่าจะตกเป็นเป้าวิจารณ์ถึงได้ไม่มีเผ่าใดกล้าเข้าไปยึดครองที่นั่น
แต่เช่นนั้นเผ่าต่างๆ ก็ทยอยกันเริ่มส่งคนไปที่เขตแดนของเผ่าพฤกษาและเริ่มกลืนกินเขตแดนของเผ่าพฤกษาอย่างช้าๆ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากเผ่ามนุษย์และปีศาจและเผ่าอื่นๆ จะระเบิดสงครามขึ้นอีกครั้งได้ตลอดเวลาก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
แต่เช่นนั้นเมืองเทวะสวรรค์ก็กลายเป็นจุดที่จะระเบิดสำคัญมากที่สุด ย่อมต้องรีบฟื้นฟูพลังป้องกันให้ได้ดังเดิม
ชายชราผมสีเงินพูดไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร ถึงได้อธิบายเรื่องราวต่างๆ ในเมืองเทวะสวรรค์เสร็จไปรอบหนึ่ง
อาวุโสคนอื่นๆ ฟังอย่างเงียบๆ และบางครั้งก็เอ่ยถามขึ้นเล็กน้อย
ชายชราล้วนตอบคำถามอย่างราบเรียบ
“เยี่ยมมาก ยามนี้พลังป้องกันของเมืองเรายังอ่อนแออยู่เล็กน้อย แต่มากสุดคงใช้เวลาอีกสิบกว่าปี ก็สามารถฟื้นฟูได้ทั้งหมด ถึงยามนั้นแม้ว่าจะระเบิดสงครามกับเผ่าต่างๆ อีกครั้ง พวกเราก็ไม่ต้องหวาดกลัว พี่กู่ จากนี้ก็คุยเรื่องอื่นกันเถิด” ภิกษุชราสวมชุดสีทองคนหนึ่ง เห็นชายชราผมขาวเอ่ยจบ ก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ภิกษุชราก็คือภิกษุจินเย่ว์ ส่วนชายชราผมสีเงินก็คืออาวุโสหู่ของเมืองเทวะสวรรค์ผู้นั้น
“อืม นอกจากการซ่อมแซมเมืองของเราแล้ว ครั้งนี้ที่เรียกอาวุโสต่างๆ มาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องสำคัญสองสามเรื่องจะปรึกษา หนึ่งในนั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องที่ทูตของเกาะศักดิ์สิทธิ์กำลังมาจะถึงเมืองของเราในอีกไม่ช้า” ชายชราผมสีเงินพลันถอนหายใจออกมาขณะเอ่ย
“อันใด เกาะศักดิ์สิทธิ์ส่งคนมาแล้ว ดูแล้วเกาะศักดิ์สิทธิ์คงต้องการคนผู้นั้นจริงๆ”
“เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไร คนที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ต้องการคือศิษย์ผู้นั้น”
อาวุโสระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ได้ยินคำนี้ ชั่วขณะนั้นพลันเกิดเสียงอึกทึกดังขึ้น และก็เริ่มปรึกษากันด้วยเสียงแผ่วเบา
“ช่างเถิด ในเมื่อเกาะศักดิ์สิทธิ์ส่งทูตมาเอง พวกเราก็นับว่าให้เกียรติคนผู้นั้นแล้ว ส่งศิษย์เขาไปเถิด ถึงอย่างไรเสียเมืองเทวะสวรรค์ของพวกเราก็ไม่อาจต่อกรกับเกาะศักดิ์สิทธิ์ได้” ชายร่างใหญ่หน้าทองขมวดคิ้วขณะเอ่ย
“หึ เจ้าก็พูดง่าย หรือว่าพวกเจ้าลืมความร้ายกาจและคุณูปการที่คนผู้นั้นทำให้เมืองเราไปแล้ว หากพวกเราส่งศิษย์ของเขาไป หากคนผู้นั้นกลับมา ผู้ใดจะรับผิดชอบ หรือว่าจะเป็นเจ้า?” หญิงสาวผมสีม่วงคนหนึ่งกลับเอ่ยอย่างแช่มช้า
“พวกเราหาข้อแก้ตัวปฏิเสธคำสั่งของเกาะศักดิ์สิทธิ์ไปสองสามครั้งแล้ว ครั้งนี้เกาะศักดิ์สิทธิ์ส่งทูตมา หากไม่ร่วมมืออีกล่ะก็ เกรงว่าทูตเหล่านั้นคงสร้างความยุ่งยากให้สมาคมผู้อาวุโสของพวกเราแล้ว ข้าว่าเมืองของเรายืนหยัดมาจนถึงยามนี้ได้ก็นับว่าให้เกียรติคนผู้นั้นแล้ว ต่อให้กลับมาก็น่าจะไม่มาหาพวกเรา แม้ว่าคนผู้นั้นจะร้ายกาจ แต่จะกล้าต่อกรกับเกาะศักดิ์สิทธิ์หรือ ข้าว่าส่งศิษย์ของเขาไปก่อนเถิด” ชายร่างใหญ่หน้าทองเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พวกเจ้าแค่กลัวเกาะศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าลืมไปแล้วว่ายามนี้คนผู้นั้นกำลังกักตัวทะลวงระดับมหายาน หากวันหนึ่งประสบความสำเร็จ พวกเรากลับส่งศิษย์ของเขาไป จะเกิดผลลัพธ์อันใดกับเมืองเราหลังจากนี้พวกเจ้าเคยไตร่ตรองหรือไม่” หญิงสาวสวมหน้ากากสีเงินจ้องชายร่างใหญ่หน้าทองเขม็ง แล้วเอ่ยพร้อมกับแค่นเสียงอย่างเย็นชา
“ฮ่าๆ ข้ารู้ว่าความสัมพันธ์ของเซียนอิ๋นกวงกับคนผู้นั้นในอดีต แต่ยามนี้เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเมืองเทวะสวรรค์ ไม่ใช่เวลาจะมาถกเรื่องความสัมพันธ์ ระดับมหายานไหนเลยจะทะลวงได้ง่ายๆ สองสามปีมานี้เผ่ามนุษย์และปีศาจของพวกเรามีสหายตั้งไม่รู้เท่าไหร่ที่กำลังกักตนทะลวงจุดคอขวด แต่มีผู้ใดบ้างที่ทำสำเร็จ” ชายร่างใหญ่หน้าทองกลับสั่นศีรษะขณะตอบกลับ
คนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของชายร่างใหญ่ก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้ แต่หญิงสาวหน้าเงินกลับแววตาเปล่งประกาย ย้อนถามอย่างไม่เกรงใจ
“ต่อให้คนผู้นั้นทะลวงระดับมหายานได้ยาก แต่พวกเจ้าลืมข่าวลือเหล่านั้นไปแล้วหรือ?”
ชายร่างใหญ่หน้าทองได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่ายามนั้นจะไม่ได้โต้แย้งอันใด
“เจ้าจะบอกว่าสหายหานคือผู้ที่ท่านอาวุโสเอ๋าเซี่ยวและม่อเจี่ยนหลีให้ความสำคัญหรือ?” ภิกษุจินเย่ว์กระแอมไอ แล้วเอ่ยถามอย่างแช่มช้า