A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2189 ทูตเกาะศักดิ์สิทธิ์
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2189 ทูตเกาะศักดิ์สิทธิ์
คนที่พวกเขากำลังปรึกษากันก็คือหานลี่นั่นเอง
และเมื่อได้ยินคำพูดของภิกษุจินเย่ว์ ทุกคนที่นั่นก็เริ่มโน้มเอียงจะส่งศิษย์ของหานลี่ไป และมีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าในฐานะระดับมหายานของทั้งสองเผ่า ชื่อเสียงของม่อเจี่ยนหลีและเอ๋าเซี่ยวแม้แต่เกาะศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเทียบไม่ได้
หากไม่ใช่เพราะกฎที่สร้างขึ้นตั้งแต่อดีตกาลของทั้งสองเผ่า สิ่งมีชีวิตระดับมหายานไม่อาจสอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องทั่วๆ ไปได้ ต่อให้ม่อเจี่ยนหลีและเอ๋าเซี่ยวควบคุมเกาะศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเอง เกรงว่าคงไม่เกิดปัญหาใดๆ
ยามนี้เกี่ยวข้องไปถึงสิ่งมีชีวิตระดับมหายานทั้งสองคน แม้ว่าคนอื่นจะมีความคิดอื่น ยามนี้ก็ยังไม่กล้าแสดงท่าทีอันใดง่ายๆ
ทั้งตำหนักพลันตกอยู่ในความเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง!
“อืม จุดนี้ข้ากลับต้องหาคนมารับประกัน ได้ยินว่าใต้เท้าทั้งสองคิดว่าสหายหานคือคนที่มีโอกาสจะบรรลุระดับมหายานในบรรดาทั้งสองเผ่าของพวกเรามากที่สุด ถึงได้ให้ความสำคัญกับเขาขนาดนั้น และยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่าลูกหลานสายตรงของท่านอาวุโสเอ๋าเซี่ยว ‘เซียนหลิงหลง’ อยู่ข้างกายสหายหานเพราะเหตุใดสักอย่าง ยามนี้น่าจะกักตัวอยู่ด้วยกัน หากพวกเราล่วงเกินสหายหานจริงๆ ผลที่ตามมาเกรงว่าคงไม่ต่างอันใดกับการล่วงเกินเกาะศักดิ์สิทธิ์เท่าใดนัก” ภิกษุจินเย่ว์ครุ่นคิดแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา
ทุกคนในที่นั่นได้ยินคำพูดของจินเย่ว์บ้างก็มีสีหน้าไร้ความรู้สึก บ้างก็หน้าเปลี่ยนสี เห็นได้ชัดว่าวิธีคิดยังคงแตกต่างกัน และไม่อาจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ง่ายๆ
“นั่นก็ไม่แน่ สาเหตุที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ต้องการลูกศิษย์ผู้นั้นของสหายหานจากเมืองเทวะสวรรค์ของพวกเรานั้น ก็เพื่ออนาคตของพวกเราทั้งสองเผ่า ตามที่เกาะศักดิ์สิทธิ์กล่าวในที่สุดสหายตู้อวี่ที่กักตัวอยู่ในเกาะศักดิ์สิทธิ์มาหมื่นปีก็บรรลุระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายสำเร็จออกจากการกักตัวแล้ว และยังฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาปราบสิ่งชั่วร้าย’ ที่ไร้เทียมทานของลัทธิขงจื๊อจนถึงขั้นสูงได้ จากที่สหายตู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาของลัทธิขงจื๊อประกอบกับที่เกาะศักดิ์สิทธิ์เตรียมวัตถุดิบยาลูกกลอนเสริมต่างๆ ไว้ ความมั่นใจที่จะทะลวงจุดคอขวดระดับมหายานได้ก็มากขึ้นสองส่วน แต่แค่ไม่มีวิธีการรับมือกับเคราะห์อัสนีเที่ยงแท้ที่ดีนัก แต่เกาะศักดิ์สิทธิ์ก็ดันมีคนรู้ว่าศิษย์ของสหายหานมีรากวิญญาณเร้นอัสนีที่หายากยิ่ง ช่วยคนต้านทานเคราะห์อัสนีได้ ดังนั้นถึงได้มาที่เกาะ ขอให้ช่วยสหายตู้อวี่ข้ามผ่านเคราะห์อัสนีเที่ยงแท้ หากการกระทำนี้ทำให้สองเผ่าของพวกเรามีสิ่งมีชีวิตระดับมหายานเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง ข้าว่าต่อให้เป็นใต้เท้าม่อเจี่ยนหลีและพวกทั้งสองก็คงยินดี แล้วต่อให้ตัวสหายหานเองจะรู้เรื่องนี้ก็ไม่อาจล่วงเกินพวกเราได้” ผู้สวมชุดคลุมสีดำที่อยู่ข้างกายไม่ยอมปริปากพูดอันใด เอ่ยปากอย่างไร้ความรู้สึก
“พี่เยียนพูดมีเหตุผล! เกาะศักดิ์สิทธิ์แค่ให้ศิษย์ของสหายหานไปช่วยสหายตู้ข้ามเคราะห์อัสนีเที่ยงแท้เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอันตรายอันใด ไม่แน่ว่าอาจจะมีวาสนาอื่นด้วย” คนหน้าทองลูบใต้ค้างแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
“หึๆ พวกเจ้าพูดง่าย จากระดับของศิษย์ของสหายหานที่เพิ่งเข้าสู่ระดับเทพแปลง แม้ว่าจะมีรากเร้นอัสนีในตำนานจะต้านทานกับเคราะห์อัสนีเที่ยงแท้ได้อย่างไร กว่าครึ่งคงต้องใช้วิธีกระตุ้นเต็มกำลังและสูญเสียอายุขัยบีบให้พลังยุทธ์ของนางเพิ่มขึ้น ถึงยามนั้นแม้ว่าศิษย์ของสหายหานผู้นี้จะโชคดีรอดพ้นจากเคราะห์อัสนีเที่ยงแท้ได้ จากนี้ก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ สหายหานจะยอมแพ้ได้อย่างไร!” เซียนอิ๋นกวงเอ่ยด้วยสีหน้ามีน้ำโหเล็กน้อย
“เพื่อสองเผ่าของพวกเรา ยอมเสียผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งบรรลุระดับเทพแปลงคนหนึ่งไปแล้วได้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานมาแทน มองอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์มาก เหตุใดจะไม่ได้ล่ะ!” ผู้สวมชุดคลุมสีดำหรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเอ่ยตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้าเลยสักนิด
“หึๆ หากสหายหานไม่ได้กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานจริง แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมพูดง่าย ขอแค่ให้เกาะศักดิ์สิทธิ์ยอมบีบสหายหาน แต่หากสหายหานโชคดีทะลวงจุดคอขวดระดับมหายานได้ พวกเราจะรับมืออย่างไร ไม่ใช่ว่าถึงยามนั้นก็ต้องให้เกาะศักดิ์สิทธิ์พลีชีพพวกเรา เพื่อระงับความโกรธแค้นของสหายหาน ใช้สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์สองสามคนมาระบายความโกรธของผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานคนหนึ่ง นี่นับว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่ากับทั้งสองเผ่าของพวกเรา ถึงอย่างไรเสียสมาคมอาวุโสอย่างพวกเรา ก็รับปากกับสหายหานเอาไว้ยามที่เขาจะจากไปว่าไม่ว่าเกิดอันใดขึ้นจะดูแลศิษย์ของเขาให้ หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้นเจ้าจะปฏิเสธอย่างไร!” หญิงสาวผมม่วงกลับค้อนปะหลักปะเหลือก พลางเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี
ผู้สวมชุดคลุมสีดำได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่หลังจากสั่นศีรษะ ก็ไม่ได้เอ่ยโต้แย้งอันใด
ทั้งตำหนักพลันตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ทุกคนพลันขบคิดอย่างรวดเร็วและไตร่ตรองถึงผลได้ผลเสียอย่างเงียบๆ
“พี่กู่ เจ้ามีความเห็นอย่างไร?” ภิกษุจินเย่ว์ถอนหายใจออกมา ฉับพลันนั้นก็หันหน้ามาเอ่ยถามชายชราผมสีเงิน
“ความเห็นของข้าจะมีประโยชน์อันใดในยามนี้! เรื่องนี้จัดการยากจริงๆ หากพึ่งพวกเราเกรงว่าคงไม่อาจแยกแยะผลลัพธ์อันใดได้” ชายชราผมสีเงินตอบกลับพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น
“ยากอย่างไรก็ต้องจัดการ พวกเราเองก็ต้องหาวิธีที่ดีทั้งสองฝ่าย คำสั่งของเกาะศักดิ์สิทธิ์พวกเราย่อมไม่อาจฝ่าฝืนได้ ความร้ายกาจของสหายหาน เจ้ากับข้าเองก็รู้ดีแทบจะนับว่าเป็นอันดับหนึ่งของระดับผสานอินทรีย์ในบรรดาสองเผ่าของพวกเรา พวกเราก็ล่วงเกินไม่ได้เช่นกัน ส่วนสหายหานเองก็ไม่ใช่คนที่หลอกลวงได้ง่ายๆ ข้ออ้างทั่วๆ ไปและวิธีการเล็กๆ ย่อมใช้ไม่ได้ อาตมาไม่อยากทำให้เกิดความเข้าใจผิดเพราะเรื่องนี้ ก็เหมือนกับสหายชิงหลงในตอนนั้น ที่ต้องเกิดหายนะแปลกประหลาดขึ้น” ภิกษุหน้ากระตุกเล็กน้อย เผยสีหน้าขมขื่นเล็กๆ ออกมา
คนอื่นๆ ได้ยินชื่อเสียงของชิงหลง หัวใจก็รู้สึกเย็นเยียบ
วันนั้นที่อรหันต์ชิงหลงเพลี้ยงพล้ำ แม้ว่าคนที่อยู่ที่นั่นจะได้เห็นกับตา แต่กลับรู้ว่าแปดเก้าส่วนนั้นเป็นฝีมือของหานลี่
หานลี่สั่งการอรหันต์ชิงหลงผู้ซึ่งเป็นอาวุโสระดับผสานอินทรีย์ของสำนักเก้าดาราเพื่อศิษย์น้องหญิงในนามได้อย่างไม่ลังเล หากเป็นปฏิปักษ์กับเขา จะลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับพวกเขาหรือไม่ ผู้ใดก็ไม่กล้ารับประกัน
ผู้ใดให้พวกเขาสัญญากับหานลี่ว่าจะปกป้องความปลอดภัยของศิษย์ใต้อาณัติ
ในสถานการณ์ที่ตนอาจจะสร้างศัตรูที่สามารถปลิดชีวิตน้อยๆ ของตนเองได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าดูแล้วเกาะศักดิ์สิทธิ์จะมีอำนาจยิ่งใหญ่ แต่ว่าคนหน้าทองและผู้สวมชุดคลุมสีดำก็อดที่จะลังเลอีกครั้งไม่ได้
“ช่างเถิด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทั้งสมาคมอาวุโส แค่พวกเราสองสามคนคงไม่อาจตัดสินได้ ทูตเกาะศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นก็ต้องรออีกสักระยะถึงจะมาถึงเมืองของเรา ไม่สู้รอให้อาวุโสคนอื่นๆ มารวมตัวกันให้ครบ พวกเราค่อยปรึกษาวิธีที่มั่นคงกันก็แล้วกัน แน่นอนว่าช่วงเวลานี้ศิษย์ของสหายหานก็ต้องกักไม่ให้ออกจากเมืองเทวะสวรรค์ก่อนชั่วคราว ในเวลาเดียวกันสหายอิ๋นกวงเจ้าก็ไปติดต่อใต้เท้าเอ๋าเซี่ยวซะ ดูว่าจะติดต่อได้หรือไม่ ขอแค่ใต้เท้าทั้งสองเอ่ย ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องทำตามอย่างไม่ต้องสงสัย สหายเยียนเจ้ารับหน้าที่ติดต่อกับเกาะศักดิ์สิทธิ์ ได้สืบหาให้แน่ชัดก่อนว่าทูตของเกาะศักดิ์สิทธิ์คือผู้ใด ดูว่ามีโอกาสเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้หรือไม่ ขอแค่เกาะศักดิ์สิทธิ์ยอมล้มเลิกคำสั่งเรียกศิษย์ของสหายหาน เงื่อนไขอื่นๆ เมืองเทวะสวรรค์ของพวกเราย่อมยอมกัดฟันตอบรับได้” ชายชราผมสีเงินแววตาเปล่งประกายเนิ่นนาน ในที่สุดก็ตัดสินใจ
“หลังจากที่ใต้เท้าเอ๋าเซี่ยวและม่อเจี่ยนหลีทั้งสองคน ทำสนธิสัญญาสงบศึกกับเผ่ามาร ก็ไม่รู้ว่าหายตัวไปไหน ต่อให้เป็นศิษย์ของใต้เท้าทั้งสองเองก็ยังไม่อาจติดต่อได้ น้องหญิงจึงทำได้เพียงจะลองดูอีกครั้งเท่านั้น” เซียนอิ๋นกวงตอบกลับอย่างไม่คาดหวังเท่าใดนัก
“ผู้แซ่เยียนมีสหายสนิทอยู่ที่เกาะศักดิ์สิทธิ์อยู่สองสามคน พอจะสืบหาเรื่องราวได้ไม่ยากนัก ทว่าอยากให้เกาะศักดิ์สิทธิ์ล้มเลิกคำสั่งกลับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” ผู้สวมชุดคลุมสีดำเองก็ถอนหายใจน้อยๆ ออกมาขณะเอ่ย
“หึ แน่นอนว่าข้าย่อมรู้ว่าสองเรื่องนี้ทำได้ยาก แต่พวกเจ้าก็ต้องพยายามให้เต็มที่ หากเกิดความเปลี่ยนแปลง พวกเราก็จะรอดพ้นจากความยุ่งยากมิใช่หรือ” ชายชราผมสีเงินเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ฟังคำพูดของชายชรา ผู้สวมชุดคลุมสีดำและเซียนอิ๋นกวงย่อมทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ
ดังนั้นเวลาต่อมาเรื่องของหานลี่และเกาะศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกโยนทิ้งไปด้านข้างชั่วคราว ชายชราผมสีเงินและพวกก็เริ่มปรึกษาเรื่องการสังหารเผ่ามารที่หลงเหลืออยู่บริเวณนี้
…
สามเดือนต่อมาตรงประตูเมืองยักษ์สูงร้อยจั้งของเมืองเทวะสวรรค์ ผู้พิทักษ์ชุดเกราะร้อยกว่าคนกำลังยืนเรียงแถวอยู่ด้านหน้าประตูทั้งสองฝั่ง นอกจากนี้ยังมีผู้สวมชุดอาภรณ์หลากหลายอีกสองสามคนกำลังยืนอยู่เหนือประตูเมืองพลางมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป
หนึ่งในนั้นเรือนผมสีเงิน อีกคนหนึ่งสวมจีวรสีทองอ่อน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอาวุโสกู่ผมสีเงินและภิกษุจินเย่ว์
ส่วนสองสามคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง ผู้สวมชุดคลุมสีดำ เซียนอิ๋นกวงและอาวุโสคนอื่นๆ ก็ยืนอยู่ตรงนั้น
ทุกคนพลันยืนอยู่บนหัวเมืองเงียบๆ ไม่พูดไม่จา คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่ากำลังรอผู้ใดอยู่
แต่หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหารเต็มๆ ท้องฟ้าที่ไกลออกไปยังคงไม่มีแสงใดเลยสักนิด ชายชราผมสีเงินที่ยืนอยู่ตรงกลางขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ในที่สุดก็ขมวดคิ้ว ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามผู้สวมชุดดำที่อยู่ด้านข้าง
“สหายเยียน เกาะศักดิ์สิทธิ์สำเภาวิญญาณจะมาถึงเมืองของเรายามสายของวันนี้จริงหรือ มิได้จำวันผิดสินะ”
“พี่กู่ เรื่องนี้ศิษย์น้องจะผิดพลาดได้อย่างไร ทูตเกาะศักดิ์สิทธิ์อาจจะพบกับเรื่องยุ่งยากระหว่างทาง จึงล่าช้าหน่อยกระมัง” ผู้สวมชุดคลุมสีดำครุ่นคิดแล้วตอบ
“จะมีเรื่องอันใดให้ล่าช้า? ครั้งนี้ทูตเกาะศักดิ์สิทธิ์มามากกว่าสามคน และยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่เจ้าก็ไม่อาจตรวจสอบฐานะของทั้งสามคนได้ ดูแล้วผู้ที่มาจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้คงมีเจตนาไม่ดีแน่นอน” ชายชราผมสีเงินสั่นศีรษะ แล้วเอ่ยอย่างมีความคิด
ผู้สวมชุดคลุมสีดำแววตาเปล่งประกายสองครา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากอันใดในทันที
กลับเป็นภิกษุจินเย่ว์ที่อยู่ด้านข้างที่เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
“แม้ว่าจนถึงยามนี้สมาคมอาวุโสอย่างพวกเราจะปรึกษากันไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจหาวิธีจัดการได้ ยามนี้จึงทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย คอยดูสถานการณ์เอา”
อาวุโสระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงได้ยินก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นเช่นกัน
“พวกเขามาแล้ว!” เซียนอิ๋นกวงสวมหน้ากากที่มองสีหน้าไม่ออก ยามนี้กลับเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
ทุกคนพลันใจหายวาบ รีบเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป
เห็นเพียงท้องฟ้ามีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ สายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไป ความเร็วรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบมิได้ แค่กะพริบวาบก็มาอยู่ใกล้กับประตูเมือง
ลำแสงหม่นแสงลง สำเภาหยกสีเขียวลำหนึ่งปรากฏขึ้น
ตรงหัวสำเภาหยกชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นทุกคนด้านล่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ แต่ทันใดนั้นก็ประสานมือแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“พี่กู่ ปรมาจารย์จิน พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่ารู้ว่าผู้แซ่หานจะมาถึงเมืองเทวะสวรรค์ในวันนี้!”
อาวุโสทั้งหมดที่ประตูเมืองเห็นใบหน้าของชายหนุ่มชัดเจน ชั่วขณะนั้นก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงจนตาค้าง