A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2201 ข่าวของวิญญาณโลหิต
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2201 ข่าวของวิญญาณโลหิต
หานลี่รอจนเสียงกู่ร้องรอบด้านเบาลง ก็หัวเราะน้อยๆ กวักมือข้างหนึ่ง ชั่วขณะนั้นเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพุ่งลงไปที่ฝ่าเท้า เปล่งแสงสว่างวาบแล้วรวมตัวกัน กลายเป็นดอกบัวสีเขียวอีกครั้ง และร่อนลงไปบนหอคอยอย่างแช่มช้า พลางลอยนิ่งไม่ไหวติง
“แขกชั่วร้ายจากไปแล้ว! ตามประเพณี ข้าจะเล่าประสบการณ์ที่ได้รับมาอย่างต่อเนื่องเจ็ดวันเจ็ดคืน จะเรียนรู้ไปได้เท่าไหร่ก็ต้องดูวาสนาของแต่ละคนแล้ว แต่ไม่เหมือนกับพิธีในอดีต การพูดครั้งนี้จะเปิดสาธารณะ จากนี้ข้าจะถอนเขตอาคมออก ไม่ว่าผู้ใดก็ขึ้นภูเขามาฟังได้” หานลี่กวาดตามองรอบๆ แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
เสียงไม่ดังนัก แต่ยามนี้กลับแพร่ไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ทะลุออกไปนอกภูเขา ดังสะท้อนไปมาในเมืองเทวะสวรรค์
ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งเมืองเทวะสวรรค์ได้ยินพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในบ้านหรือว่าท้องถนน ต่างก็ตรงไปที่อดเขาสามสีราวกับธารน้ำไหล
แม้กระทั่งผู้พิทักษ์ชุดเกราะที่รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่รอบๆ เขตอาคมก็เข้ามาในฝูงชนด้วยความตกตะลึงระคนดีใจเช่นกัน
ในเวลาเดียวกันหานลี่ที่นั่งสมาธิอยู่บนดอกบัวสีเขียว เริ่มอธิบายประสบการณ์การฝึกฝนของตนเองตั้งแต่ระดับต่ำสุดอย่างระดับสร้างปราณ
ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนในจัตุรัสไม่ว่าเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจหรือว่าชนต่างเผ่า ล้วนเริ่มตั้งใจฟังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
การบรรยายของสิ่งมีชีวิตระดับมหายาน สำหรับเผ่าใดก็ล้วนเป็นวาสนาที่นิ่งใหญ่แล้ว ต่อให้เริ่มจากระดับต่ำสุดที่ไม่ได้สนใจ ก็ไม่มีผู้ใดละเลยไปสักประโยค
เมื่อเสียงอธิบายของหานลี่ดังก้องไปทั่ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่มากกว่าเดิมก็ทะลักเข้ามายอดเขา ยึดครองตรงขอบรอบๆ จัตุรัสไว้อย่างรวดเร็ว และถนนทุกสายก็ไม่อาจบรรจุผู้ใดเข้าไปได้อีก
คนที่อยู่ด้านหลังทำอันใดไม่ได้ ทำได้เพียงหยุดพักรวมตัวกันที่ทางเดินขึ้นภูเขาสามสีและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ
สองสามชั่วยามต่อมาครึ่งบนของยอดเขายักษ์สามสีก็เต็มไปด้วยเงาร่างคน และผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากกว่าเดิมก็กำลังไปรวมตัวกันที่ครึ่งล่างของยอดเขา
แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ขอแค่อยู่บนยอดเขายักษ์ เสียงพูดของหานลี่ก็ดังก้องในหูทันที
เดิมคนจำนวนไม่น้อยยังคิดจะเดินขึ้นไปส่งกว่าเดิม แต่หลังจากที่ในหูได้ยินเสียงบรรยาย ก็หยุดฝีเท้าลงโดยอัตโนมัติ แล้วเข้าสู่ภวังค์การทำความเข้าใจทันที
หนึ่งวันหนึ่งคืนในอาณาบริเวณของยอดเขายักษ์สามสีทั้งลูกก็เต็มไปด้วยเงาร่างคน
ทุกคนไม่ว่าจะยืนหรือนั่งอยู่ล้วนเงียบกริบไม่พูดจา มีเพียงเสียงของหานลี่ที่ดังชัดเจนอยู่ในยอดเขา
…
หลังจากเจ็ดวันเจ็ดคืนท้องฟ้าพลันมีรัศมีลำแสงหมุนวน เม็ดฝนโปรยปรายลงมาอีกครั้ง การบรรยายของหานลี่หยุดลง
ผู้บำเพ็ญเพียรที่กำลังฝันอย่างออกรสพลันตกตะลึง คนจำนวนไม่น้อยพลันได้สติกลับคืนมา แต่สายตาส่วนใหญ่ก็ยังคงงุนงง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ คำพูดของหานลี่ถึงได้ดังขึ้นในโสตของทุกคน
“ขอบพระคุณสหายทุกท่านที่เข้าร่วมงานฉลองระดับมหายานของผู้แซ่หาน แต่พิธีจบลงแล้ว ทุกท่านลงจากเขาได้”
ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนได้ยินจุดสำคัญย่อมรู้สึกเสียดาย แต่ยามนี้หานลี่เป็นดั่งเทพในสายตาของทุกคนแล้ว แน่นอนว่าจึงไม่กล้าคัดค้านอันใด
ทุกคนล้วนคารวะไปทางยอดเขาอย่างนอบน้อม แล้วทยอยกันออกไปจากยอดเขายักษ์
พิธีฉลองระดับมหายานถึงได้จบลงอย่างเป็นทางการ
ครึ่งวันต่อมากลางอากาศพลันมีเสียงร้องดังขึ้น ยอดเขายักษ์สามสีเลือนราง หายวับไปจากกลางอากาศ
ผู้พิทักษ์ชุดเกราะที่ยังคงเฝ้าระวังอยู่รอบๆ จัตุรัสทยอยกันทำความเคารพไปกลางอากาศ แล้วถึงได้จากไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ภายในห้องโถงชั้นบนสุดของหอคอยหิน หานลี่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลัก
สองฝั่งของห้องโถงชี่หลิงจื่อ ไห่ต้าเซ่ารวมทั้งชายชราผมสีเงินและอาวุโสเมืองเทวะสวรรค์สองสามคนกำลังยืนเอามือประสานกัน
ในบรรดาศิษย์ของหานลี่ ไป๋กั่วเอ๋อร์เองก็อยู่ในนั้น ยืนเคียงไหล่อยู่กับจูกั่วเอ๋อร์ที่ดูเหมือนอายุไม่แตกต่างกันมากนัก ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับเป็นพี่น้องกันอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดไป๋กั่วเอ๋อร์ก็กลับมาก่อนที่พิธีฉลองระดับมหายานจะจบลงอย่างปลอดภัย
ยามนี้ไป๋กั่วเอ๋อรเองก็มีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลงขั้นปลาย สูงกว่าพลังยุทธ์ของไห่ต้าเซ่าขั้นหนึ่ง
ส่วนชายชราผมสีเงินและพวกอาวุโสเมืองเทวะสวรรค์ เทียบกับก่อนพิธีฉลองระดับมหายานแล้ว สีหน้านอบน้อมที่มีต่อหานลี่เห็นได้ชัดว่าออกมาจากใจ ไม่มีความคลางแคลงใจใดๆ อีก
เห็นได้ชัดว่าการที่หานลี่ทำร้ายราชานกฮูกดำก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ทั้งหมดนับถือ และเคารพนับถือจริงๆ
ใจกลางของห้องโถงหญิงสาวนามว่าหรี่หรงยืนอยู่ด้านหน้าหานลี่เช่นกัน กำลังฟังหานลี่พูดด้วยท่าทีตั้งใจ
“เช่นนั้นอาวุโสเอ๋าเซี่ยวและใต้เท้าม่อเจี่ยนหลีเข้าไปในแดนมาร เตรียมช่วยเหลือเหล่าบรรพชนแรกเริ่มเผ่ามารแก้ปัญหาเคราะห์มารกับระดับมหายานเผ่าอื่นๆ” หานลี่ขมวดคิ้วขณะเอ่ย
“ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่ระดับมหายานของทุกเผ่าในละแวกนี้ที่เข้าไปในแดนมาร ต่อให้เป็นเผ่าที่ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยของแดนวิญญาณก็ต้องส่งผู้แข็งแกร่งระดับมหายานไปจัดการเรื่องนี้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เผ่ามารเหล่านั้นที่ถูกบีบบังคับด้วยสิ่งมีชีวิตรระดับมหายานคนอื่นๆ ถึงได้จำใจต้องละทิ้งเขตแดนของเผ่าวิญญาณ ถอนทัพออกไปจากแดนวิญญาณ” หรี่หรงตอบกลับด้วยเสียงเคารพนบน้อม
“ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบแทน ระดับมหายานของพวกเราต้องตามระดับมหายานของเผ่าที่ยิ่งใหญ่เข้าไปในแดนมาร และจัดการเรื่องเคราะห์ของแดนมารก่อน ถึงอย่างไรเสียหากแดนมารถูกทำลายด้วยมารดาแมลงเพลี้ย ต่อไปก็อาจจะเป็นแดนวิญญาณของพวกเรา” หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ย
“ท่านอาวุโสเฉียบแหลมยิ่ง! หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ไม่เพียงเผ่ามารจะไม่ล่าถอยไป ระดับมหายานคนอื่นๆ ก็คงไม่ตกลงเช่นกัน” หรี่หรงตอบลกับอย่างจนปัญญาเล็กน้อย
“ข้าว่าสองเผ่าของพวกเราและเผ่าเงา เผ่าสามง่ามราตรีเป็นปฏิปักษ์กัน เหตุใดถึงไม่เกิดสงครามขึ้น ที่แท้ระดับมหายานเหล่านั้นเข้าไปในแดนมารแล้ว ราชานกฮูกดำของเผ่าสามง่ามราตรี เป็นเพราะเผ่าสามง่ามราตรีจงใจปิดบังระดับมหายาน ดูแล้วก็เพราะอยากจะเหลือเครื่องมือสังหารเอาไว้แล้วมาหาเรื่องพวกเรา หากไม่ใช่ว่าข้าบังเอิญพัฒนาระดับมหายานได้ เกรงว่าสองเผ่าของพวกเราคงยุ่งยากจริงๆ” หานลี่เอ่ยพึมพำอย่างมีแผนการณ์
“ใช่แล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านอาวุโสหานกลายเป็นระดับมหายาน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ ก็คงไม่อาจต้านทานราชานกฮูกดำได้ ทว่าหลังจากที่ท่านอาวุโสหานสำแดงอิทธิฤทธิ์ในพิธีฉลอง คิดดูแล้วต่อให้ชนต่างเผ่าอาจหาญขนาดไหน ก็ไม่กล้ามารบกวนเผ่าของเราอีกแน่” หรี่หรงตอบกลับด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“สมาคมอาวุโสของเกาะศักดิ์สิทธิ์เรียกข้าไป ประการแรกก็เพราะอยากปรึกษาการรับมือกับเผ่าอื่นๆ ประการที่สองก็คืออยากให้ข้าไปตรวจสอบเบาะแสของท่านอาวุโสเอ๋าเซี่ยวและพวกทั้งสอง” หานลี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
“สหายทุกท่านของเกาะศักดิ์สิทธิ์มีเจตนานี้จริงๆ” หรี่หรงก้มหน้าตอบ
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้ถูกสิ่งที่หานลี่สำแดงในงานพิธีทำให้นับถือ จึงบอกเรื่องที่ตนเองรู้ออกมาทั้งหมด
“อืม ผ่านไปสักประเดี๋ยว เจ้าก็พาข้าไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วกัน นอกจากต้องปรึกษากับสหายบนเกาะศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้ายังสนใจคัมภีร์สวรรค์เคล็ดวิชาลับและรายการหมื่นสมบัติหุ้นตุ้นที่มีชื่อเสียงของเกาะศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย” หลังจากที่หานลี่ขบคิดชั่วครู่ก็เอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า
“เจ้าค่ะ ชนรุ่นหลังจะพาท่านอาวุโสไป” หรี่หรงมีสีหน้ายินดี ตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด
“สหายกู่ อีกเดี๋ยวศิษย์ของข้า เกรงว่าต้องให้ทุกท่านดูแลแล้ว” หานลี่หันหน้าไปเอ่ยกับเหล่าอาวุโสกู่
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ ขอแค่ชี่หลิงจื่อและพวกอยู่ในเมือง ชนรุ่นหลังรับประกันว่าพวกเขาจะปลอดภัย” ชายชราผมสีเงินน้อมตัวลง แล้วเอ่ยอย่างเข้มงวด
อาวุโสระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ก็เอ่ยเห็นด้วยเช่นกัน
“ข้าเชื่อคำสัญญาของเหล่าสหาย พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลมากนัก วันพระจันทร์ ข้าจะพาเขาออกไป เช่นนั้นคิดดูแล้วคงไม่มีใครมาหาเรื่องเมืองเทวะสวรรค์ง่ายๆ ชี่หลิงจื่อ จูกั่วเอ๋อร์ อีกเดี๋ยวพวกเจ้าไปกับข้าก็แล้วกัน” หานลี่ฉีกยิ้มแล้วหันไปออกคำสั่ง
“เจ้าค่ะ ท่านอาวุโส”
“น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์”
จูกั่วเอ๋อร์และชี่หลิงจื่อได้ยินต่างก็ตอบรับออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
เวลาต่อจากนี้หานลี่ให้อาวุโสกู่และพวกอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์ รวมทั้งไห่ต้าเซ่าและพวกออกไป กลับถ่ายทอดเสียงไปหาชี่หลิงจื่อที่ออกไปคนสุดท้าย
ชี่หลิงจื่อพลันใจหายวาบ ทันใดนั้นก็เอ่ยขอรับแล้วออกไปจากตำหนัก
หานลี่นั่งนิ่งขบคิดอยู่ภายในห้องโถง
ไม่นานด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นปรากฏขึ้น
นางเดินเข้ามาในห้องโถง ก็คารวะหานลี่แล้วเอ่ยด้วยเสียงนอบน้อม
“สวี่เชียนอวี๋คารวะท่านอาวุโส!”
“ลุกขึ้นเถิด สาเหตุที่ข้ารั้งเจ้าไว้ในครั้งนี้ คิดดูแล้วสหายสวี่คงรู้อยู่บ้างสินะ” หานลี่พยักหน้าให้หญิงสาว ปากก็เอ่ยถามขึ้น
“ท่านอาวุโสอยากถามเรื่องหม้อนภาสูญกับชนรุ่นหลังสินะ” สวี่เชียนอวี๋ไม่กล้ามองหานลี่ตรงๆ นางก้มหน้าลงเล็กน้อยขณะเอ่ยตอบ
“ใช่แล้ว พวกเราจำได้ว่าหม้อนภาสูญไม่ใช่สมบัติธรรมดาๆ ของตระกูลสวี่ เหตุใดถึงนำมามอบให้ผู้แซ่หาน คงมีเหตุผลสินะ” หานลี่จ้องหญิงสาวเขม็งพลางเอ่ยถาม
“ท่านอาวุโสชาญฉลาดยิ่ง ชนรุ่นหลังได้รับคำสั่งจากวิญญาณโลหิตของบรรพชนวิญญาณน้ำแข็ง ถึงได้นำหม้อนภาสูญมามอบให้ท่านอาวุโส” สวี่เชียนอวี๋ตอบกลับอย่างไม่สบายใจ
“วิญญาณโลหิต? วิญญาณโลหิตของสหายวิญญาณน้ำแข็งกลับมาที่ตระกูลสวี่แล้วหรือ?” หานลี่พลันตกตะลึง แต่กลับไม่เผยออกมาทางสีหน้า
“ใช่แล้วท่านอาวุโสวิญญาณโลหิตได้รับบาดเจ็บหนักกลับมาเมื่อครึ่งปีก่อน แต่เพิ่งกลับมาในตระกูลได้ไม่นาน อาการบาดเจ็บก็กำเริบหลับใหลไม่ได้สติ ทว่าก่อนหน้านี้ท่านอาวุโสวิญญาณโลหิตได้ออกคำสั่งให้ศิษย์ในตระกูลนำหม้อนภาสูญไปบอกให้ท่านอาวุโสทันที และหวังว่าท่านอาวุโสจะพาหม้อใบนั้นมาที่ตระกูลสวี่” สวี่เชียนอวี๋ตอบกลับอย่างไม่ลังเลใดๆ อีก
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นสหายวิญญาณโลหิตรู้ว่าข้าบรรลุระดับมหายานแล้วถึงได้ให้เจ้านำหม้อใบนี้มาให้ข้า” หานลี่ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ท่านอาวุโส” สวี่เชียนอวี๋ตอบกลับตามความจริง
“หรือว่าตระกูลสวี่ของพวกเจ้าไม่ได้ช่วยรักษาสหายวิญญาณโลหิต?” หานลี่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วถึงได้เอ่ยซักถาม
“รายงานท่านอาวุโสอาวุโสจำนวนมากของตระกูลสวี่ใช้วิธีการต่างๆ แต่กลับไม่อาจทำอันใดกับอาการบาดเจ็บของท่านอาวุโสวิญญาณโลหิตได้ ยามที่ข้าจากมาท่านอาวุโสวิญญาณโลหิตยังหลับใหล” สวี่เชียนอวี๋ตอบ
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด อีกสองสามวันข้าจะไปที่ตระกูลสวี่ของพวกเจ้า” หานลี่ครุ่นคิดแล้วพยักหน้าน้อยๆ พลางตอบ
สวี่เชียนอวี๋ได้ยินย่อมดีใจอย่างบ้าคลั่ง รีบเอ่ยขอบคุณคารวะไม่หยุด