A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2205 เข้าไปในแดนมารอีกครั้ง
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2205 เข้าไปในแดนมารอีกครั้ง
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แค่สะบัดแขนเสื้อไปที่สูง
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองพลันพุ่งลงมาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไร้ร่องรอย
หานลี่พลิกฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง ชั่วขณะนั้นใจกลางฝ่ามือพลันมีแมลงเกราะสีทองขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้น
นั่นก็คือหนึ่งในสาม ‘ราชาแมลงเทียม’ ที่หานลี่ปล่อยไปไล่สังหารราชานกฮูกดำในตอนแรก
หานลี่จ้องเขม็งไปที่แมลงเกราะสีทองในมือด้วยแววตาเปล่งประกายชั่วครู่ แล้วขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“ปล่อยให้นกฮูกดำหนีไปจริงๆ ทว่าร่างเกือบครึ่งของเขาถูกเจ้าพวกนี้กลืนกินไปแล้ว บาดแผลที่ได้รับมากกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก นี่ก็นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลว”
หานลี่เอ่ยพึมพำกับตัวเองจบก็ขยับฝ่ามือ เก็บแมลงเกราะ จากนั้นลำแสงสีเขียวก็เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นในมือ คาดไม่ถึงว่าจะมีคัมภีร์ปรากฏขึ้น
หานลี่กวาดตาไปที่คัมภีร์แวบหนึ่ง ใบหน้าอดที่จะเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาไม่ได้
ที่เขาไปหอคัมภีร์สวรรค์ในครั้งนี้ แม้ว่าจะได้เรียนรู้เคล็ดลับวิชาดีๆ มากมาย แต่เป้าหมายที่แท้จริงกลับเป็น ‘เคล็ดวิชาสำแดงอัสนี’ ครึ่งท่อนนี้
เคล็ดวิชาสำแดงอัสนีที่เขาได้มาจากราชาปีศาจเผ่าเหาะเหินในตอนแรกเป็นแค่วิธีการกระตุ้นที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น แม้ว่าจะกระตุ้นอานุภาพของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้มหาศาลแต่ขั้นตอนที่สำแดงกลับเชื่องช้า ไม่ค่อยมีผลในการต่อสู้นัก
หลังจากที่เขารู้มาจากอรหันต์เฮยอวี่ว่าเกาะศักดิ์สิทธิ์เก็บรักษาคาถาเคล็ดวิชาสำแดงอัสนีท่อนหลังเอาไว้ก็จดจำเอาไว้ขึ้นใน และเกิดความรู้สึกอยากเรียนรู้เคล็ดวิชานี้
ยามนี้เขาหาเคล็ดวิชาสำแดงอัสนีท่อนหลังพบในหอคอยคัมภีร์สวรรค์ และหลังจากตรวจสอบเล็กน้อยก็พบว่าบันทึกด้านในเข้ากับสิ่งที่เรียนรู้มาก่อนหน้าได้ จึงรู้สึกดีใจ และนำคัมภีร์นี้ออกมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ส่วนเคล็ดวิชาอื่นๆ นั้น เป็นแค่สิ่งที่พ่วงมาด้วยเท่านั้น
ทว่าในเคล็ดลับวิชาอื่นๆ ก็มีอยู่สองสามชนิดที่ทำให้เขาแววตาเปล่งประกาย อยากกลับไปฝึกฝนจริงๆ
หานลี่กวาดตามองเคล็ดวิชาสำแดงอัสนีในคัมภีร์อย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง หลังจากมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแล้วก็เก็บคัมภีร์แล้วสาวเท้ายาวๆ ตรงไปยังเขตอาคมส่งตัวที่อยู่ไม่ไกลนัก
ตรงนั้นนักพรตเซี่ยกำลังรออยู่อย่างเงียบๆ
“สหายหานกลับมาแล้ว” นักพรตเซี่ยเห็นหานลี่เดินเข้ามาใกล้ก็เอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“ทำให้พี่เซี่ยรอนานแล้ว พวกเราไปพบอาวุโสของเกาะศักดิ์สิทธิ์กันเถิด คิดดูแล้วพวกเขาคงรอจนทนไม่ไหวแล้วกระมัง” หานลี่เอ่ยอย่างขอโทษขอโพย
นักพรตเซี่ยย่อมพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้
ดังนั้นเมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในเขตอาคมส่งตัว ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างของทั้งสองก็หายวับไปอีกครั้ง
…
สองสามวันต่อมาสำเภาหยกสีขาวลำหนึ่งก็บินออกจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งไปยังจุดที่อยู่ไกลออกไป
บนสำเภาหานลี่ นักพรตเซี่ย อิ๋นเย่ว์และพวกก็อยู่ตรงนั้น และยิ่งไปกว่านั้นยังมีชายชราผมขาวนามว่าลั่วที่เป็นอาวุโสของสมาคมอาวุโสของเกาะศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย
หานลี่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของสำเภาหยกขมวดคิ้วเล็กน้อยสีหน้าครุ่นคิด ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่
“สหายลั่ว ราชานกฮูกดำถูกข้าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก ภายในเวลาสองสามร้อยปีคงไม่อาจทำอันใดสองเผ่าของพวกเราได้ ส่วนสถานการณ์ที่เผ่าของเราและเผ่าอื่นๆ ไม่มีระดับมหายานนั่งบัญชาการนั้น คิดดูแล้วก็คงไม่กล้าทำอันใดบุ่มบ่าม สรุปแล้วข่าวที่ข้าเข้าไปในแดนมาร จะต้องปิดบังไปก่อน อย่างน้อยภายในระยะเวลาร้อยปีก็ไม่อาจแพร่งพรายออกไป เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งที่คาดไม่ถึงขึ้น!” หานลี่คลายคิ้วที่ขมวดมุ่นลง แล้วใช้น้ำเสียงออกคำสั่งกับชายชรา
“น้อมรับคำชี้แนะของท่านอาวุโส! เรื่องที่ท่านอาวุโสไปจากแดนวิญญาณชั่วคราวนี้ ชนรุ่นหลังจะพยายามปกปิดอย่างเต็มที่ ไม่ให้คนภายนอกรู้ ทว่าท่านอาวุโสคิดจะเคลื่อนไหวเร็วเช่นนี้เลยหรือ! ท่านอาวุโสหานเพิ่งจะบรรลุระดับมหายานได้ไม่นาน ไม่สู้ทำให้พลังยุทธ์มั่นคงก่อน เตรียมตัวอีกสักระยะ แล้วค่อยเข้าไปในแดนมารก็ยังไม่สาย” ชายชราตอบรับแล้วเอ่ยขึ้นอย่างลังเลเล็กน้อย
“สหายมั่วเจี่ยนหลีและเอ๋าเซี่ยวหายตัวไปในแดนมารระยะหนึ่งแล้ว ไม่แน่ว่ายามนี้จะกำลังตกอยู่ในอันตราย จะล่าช้าต่อไปได้อย่างไร ส่วนทำให้ระดับมั่นคงนั้น ย่อมไม่จำเป็นสำหรับข้า เคล็ดวิชาที่ผู้แซ่หานฝึกฝนไม่เหมือนกับสหาย กว่าครึ่งล้วนใช้เคล็ดวิชาฝึกกายเข้าสู่ระดับมหายาน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้เวลาทำให้พลังยุทธ์มั่นคงนานนัก” หานลี่สั่นศีรษะแล้วเอ่ยอธิบาย
“ในเมื่อท่านอาวุโสตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นชนรุ่นหลังก็จะไม่ห้ามปรามอีก ยามนี้ห้วงมิติเวลาที่พวกเราต้องไปก็คือทางเชื่อมที่กองทัพเผ่ามารใช้ถอนทัพ แม้ว่าทางเชื่อมนั้นจะหายไปและกลายเป็นห้วงมิติเวลาแล้ว แต่ตามที่ผู้บำเพ็ญเพียรที่อาศัยอยู่ละแวกนี้รายงาน บางครั้งห้วงมิติเวลาก็มีระลอกคลื่นรุนแรงแผ่ออกมา เห็นได้ชัดว่าเขตแดนขวางกั้นที่นี่บอบบาง พลังของเขตแดนยังคงไม่ก่อตัวขึ้น จากอิทธิฤทธิ์ระดับมหายานของท่านอาวุโส ประกอบกับมีจานดาราช่วยเหลือ การทลายเขตแดนมารก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยากนัก”
“ขอแค่เจ้าบอกว่าห้วงมิติเวลาไม่มีปัญหา การเข้าไปในแดนมารสำหรับข้าในยามนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอันใด” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“ความจริงแล้วหากท่านอาวุโสยอมรออีกหน่อย เผ่าอื่นๆ คงจะส่งคนเข้าไปตรวจสอบในแดนมาร ถึงอย่างไรเสียพวกเขาก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานที่เข้าไปในแดนมารแล้วไม่ได้รับข่าวคราวเช่นกัน” คำนี้กลับเป็นหลี่หรงที่อยู่ด้านข้าง ที่ทนไม่ไหวเอ่ยแทรกขึ้น
“หึๆ ต่อให้เผ่าใหญ่ๆ เหล่านั้นส่งคนเข้าไปในแดนมาร ก็มีแต่จะห่วงแค่ระดับมหายานของเผ่าตนเท่านั้น จะสนใจความเป็นตายของเผ่าเล็กๆ อย่างพวกเราได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นยามนี้เวลาก็ผ่านมานานมากแล้ว ไม่แน่ว่าเผ่าใหญ่ๆ เหล่านั้นอาจจะส่งคนเข้าไปในแดนมารอีกครั้ง ข้าไม่คิดว่าเผ่าเหล่านี้จะส่งคนมารายงานการเคลื่อนไหวของพวกเขากับเรา” หานลี่กลับหัวเราะอย่างเย็นชาขณะเอ่ย
ฟังหานลี่กล่าวเช่นนี้หลี่หรงและชายชราย่อมไม่อาจพูดอันใดได้อีก
และในยามนี้หานลี่กลับคิดอันใดขึ้นมาได้แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลใจอันใด ครั้งนี้ที่ข้าไปแดนมารมีพี่เซี่ยคอยช่วยเหลือ อิ๋นเย่ว์เองก็จะไปด้วย ต่อให้พบเรื่องอันใด ก็รักษาชีวิตได้แน่ มีแค่จูกั่วเอ๋อร์ที่พลังยุทธ์ต่ำไปหน่อย กลับไม่สะดวกที่จะตามข้าไป ต้องให้เหล่าสหายช่วยดูแลชั่วคราว”
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ! หลังจากที่ท่านอาวุโสเข้าไปในแดนมาร ชนรุ่นหลังและพวกจะพาแม่นางจูกลับไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ ให้นางฝึกฝนอย่างสบายใจ” ชายชราได้ยินก็รีบค้อมตัวลงตอบรับ
จูกั่วเอ๋อร์ได้ยินคำนี้ก็หักมุมปากขึ้น เผยท่าทีไม่ยินดีออกมา แต่กลับไม่กล้าโต้แย้งใดๆ
หานลี่เห็นเช่นนั้นก็ฉีกยิ้มเบิกบาน ริมฝีปากขยับไปมาเล็กๆ แล้วถ่ายทอดเสียงไปหาจูกั่วเอ๋อร์
“ยังไม่ถึงเวลาที่จะเข้าไปในสวรรค์วิญญาณ ยังต้องรออีกสองสามเดือนถึงจะมีโอกาสหาทางเข้าของสวรรค์วิญญาณพบ เจ้าฝึกฝนอยู่ที่เกาะศักดิ์สิทธิ์สักระยะเถิด ให้พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นสักหน่อย พอถึงยามที่ตามหาสวรรค์วิญญาณถึงจะตามข้าได้อย่างปลอดภัย”
จูกั่วเอ๋อร์ได้ยินพลันใจหายวาบ ทันใดนั้นก็พยักหน้าเป็นพัลวันไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
ส่วนอิ๋นเย่ว์นั้นก็กังวลความปลอดภัยของบรรพชนเฒ่าเอ๋าเซี่ยวเป็นอย่างมาก ประกอบกับตามหานลี่เข้าไปในแดนมารได้ ย่อมไม่มีความเห็นเลยสักนิด
เช่นนั้นสำเภาหยกก็พุ่งไปยังดินแดนของเผ่าปีศาจ หลังจากเหาะเหินไปเป็นเวลาครึ่งเดือนอย่างปลอดภัย ก็มาถึงทุ่งหญ้าสีเขียวมรกต
หลังจากที่เข้าไปในทุ่งหญ้าได้สองวันสองคืน ในที่สุดสำเภาหยกก็หยุดชะงักอยู่เหนือซากปรักหักพังของป้อมปราการ
“จากข่าวที่ได้รับมาก็คือที่นี่ เดิมที่นี่เป็นเขตตั้งค่ายของเผ่ามาร แต่ยามนี้กลับรกร้างมานานแล้ว” ในมือของชายชราถือจานอาคมเอาไว้พลางก้มหน้าลงตรวจสอบอยู่ชั่วครู่ แล้วถึงได้เอ่ยอย่างมั่นใจ
“ที่นี่?” หานลี่ได้ยินคำนี้ ก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเขม็ง
เห็นเพียงกลางอากาศนอกจากเมฆสีเทาที่ปกคลุมกว่าครึ่งของท้องฟ้าเอาไว้ ทุกอย่างก็ปกติมาก และไม่มีจุดใดผิดปกติ
หานลี่ดูจนมาถึงยามนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ชี้นิ้วหนึ่งไปที่หว่างคิ้วของตนเอง
หลังจากเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ชั่วขณะนั้นไอสีดำพลันปรากฏออกมา และกลายเป็นดวงตาที่สาม
ดวงตานี้ลืมตาขึ้นช้าๆ พ่นลำแสงสีดำสายหนึ่งออกมาทันที เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาในเมฆสีเทาพลันมีเสียงอึกทึกดังขึ้น จากนั้นระลอกคลื่นเบาบางก็ปรากฏขึ้น ทำให้ทุกคนบนสำเภาหยกสัมผัสได้
ชายชราและพวกเห็นเช่นนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกกมา
หานลี่เองก็พยักหน้า หลังจากเก็บดวงตาที่สามไปแล้วก็สะบัดแขนเสื้อไปรอบด้าน
ชั่วขณะนั้นธงอาคมจานอาคมจำนวนนับไม่ถ้วนพลันกลายเป็นลำแสงห้าสีทะลักออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็ร่ายมือไปด้านล่าง
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น!
ประจุไฟฟ้าสีทองหนาๆ สายหนึ่งดีดตัวออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ครู่ต่อมาด้านล่างพลันมีเสียงดังขึ้น เขตอาคมลำแสงยักษ์ขนาดสองสามหมู่ปรากฏขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนดีดตัวออกมาไม่หยุด
หานลี่สะบัดแขนเสื้อไปด้านล่าง ลำแสงสีขาวดวงหนึ่งบินออกมา ด้านในมีอาวุธเหมือนจานขนาดสองสามฉื่ออยู่ลางๆ
นั่นก็คืออาวุโสทลายเขตแดนที่มีชื่อเสียงของแดนวิญญาณ ‘จานดารา’
เมื่อปล่อยจานนี้ออกไป เขตอาคมลำแสงยักษ์กลางอากาศพลันหมุนวนไม่หยุด และสุดท้ายก็กลายเป็นจันทราสีเงินดวงหนึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศ
“พี่เซี่ย อิ๋นเย่ว์ ไปกันเถิด” หานลี่เลิกคิ้วทั้งสอง เอ่ยโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
จากนั้นก็เห็นเขาสาวเท้าออกไป คนเลือนรางหายวับไปจากที่เดิม
หลังจากที่ด้านล่างมีเสียงดังขึ้น หานลี่ที่มีประจุไฟฟ้ารอบกายก็ปรากฏขึ้นใจกลางเขตอาคมลำแสง
นักพรตเซี่ยและอิ๋นเย่ว์เห็นเช่นนี้ ก็บินตามไปโดยไม่ปริปาก มาปรากฏตัวด้านหลังหานลี่
หานลี่กวาดสายตาไปทางชายชราและหลี่หรงที่อยู่บนสำเภาหยกแวบหนึ่ง แล้วถึงได้ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม มือหนึ่งชี้ไปกลางอากาศช้าๆ
ชั่วขณะนั้นจันทราสีเงินเหนือเขตอาคมลำแสงก็ส่งเสียงไพเราะออกมา สั่นเทาแล้วพ่นเสาลำแสงห้าสีออกมาพลางจมหายเข้าไปในเมฆสีเทา
แทบจะในเวลาเดียวกันเขตอาคมลำแสงด้านล่างหานลี่ก็ส่งเสียงฟ้าร้องออกมา เสาลำแสงสีดำขาวหกสายที่มีประจุไฟฟ้าหมุนวนอยู่พลันถูกพ่นออกมา จากนั้นเสาลำแสงห้าสีก็โจมตีไปที่เมฆสีเทา
หลังจากเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น เมฆสีเทาก็มีลำแสงสีเงินเปล่งแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้น รูยักษ์สีดำสนิทปรากฏขึ้น
หานลี่สูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปเฮือกหนึ่ง ผิวเปล่งแสงสีทองออกมา จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ม้วนวนผู้ที่อยู่ด้านข้างทั้งสองเข้าไปข้างใน และส่งเสียงกรีดร้องยาวๆ ขึ้น กลายเป็นสายรุ้งสีทองพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
เห็นเพียงระลอกคลื่นบิดเบี้ยวกลางอากาศ ชั่วพริบตาสายรุ้งสีทองหนีเข้าไปในรูสีดำแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย