A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2242 กลับไปที่ก่วงหยวนอีกครั้ง
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2242 กลับไปที่ก่วงหยวนอีกครั้ง
“ลิ่วจี๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ทำไมฝีมือเจ้ายังไม่พัฒนาไปไหนเลย ที่แท้ก็เป็นเพราะเจ้าบาดเจ็บจากแผลของสงครามตอนที่สู้กับข้านี่เอง ตอนที่ร่างจำแลงทั้งหกของเจ้าถูกข้าฆ่าไปหมดแล้ว ร่างจริงของเจ้าก็ขังอยู่ที่แดนวิญญูสวรรค์ทมิฬ ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าก็เลิกคิดเรื่องจะหลบหนีไปได้เลย” เสียงของเป่าฮวาดังออกมาจากกลีบดอกไม้
แต่ภายในหมอกสีขาวนั้น นอกจากเสียงดังโครมครามนั้นแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นๆ อีกเลย
“แม้ว่าเจ้าจะสูญเสียร่างจำแลงทั้งหกแล้วเจ้าก็ยังยืนยันที่จะไม่หนีไป เพราะต้องการรอเนี่ยผานและหยวนเหยี่ยนสินะ” เป่าฮวาพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจอีกประโยค น้ำเสียงของนางยังคงความประชดประชันไว้อีก
“แล้วอย่างไรเล่า ในปีนั้นหลังจากข้าแย่งตำแหน่งผู้สร้างไปจากเจ้าได้แล้ว เนี่ยผานกับหยวนเหยี่ยนต่างสัญญากับข้าด้วยตนเองว่าพวกเขาจะทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อปกป้องข้า อย่าลืมสิว่าตอนนี้ข้าคือหนึ่งในสามผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ ข้ารู้มาตั้งนานแล้วว่าเจ้าจะต้องใช้เวลานี้เพื่อล้างแค้นข้าอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงบอกกับสหายทั้งสองเอาไว้ก่อนแล้ว” ในที่สุดก็มีเสียงแหลมดังขึ้นจากหมอกเหล่านั้น เสียงนั้นเต็มไปด้วยความโมโหโกรธเกรี้ยว
“หยวนเหยี่ยนกับเนี่ยผานเคยสัญญากับเจ้าว่าในตอนที่เจ้าได้มาเจอกับข้า พวกเขาจะมาช่วย แต่พวกเขาต้องแยกตัวออกมาให้ได้ก่อนสิ” เป่าฮวายิ้มขึ้นมา
“อะไรนะ เจ้าก็หาตัวช่วยเหมือนกันหรือ ไม่สิ ในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีใครกล้าประมือกับ
หยวนเหยี่ยนและเนี่ยผานด้วยหรือ หรือจะเป็นผู้แข็งแกร่งจากต่างแดน พวกเขาจะยอมหมดอำนาจในระดับมหาเมธีเพื่อเจ้าได้อย่างไร เขากล้าไปล่วงเกินสองผู้สร้างอย่างหยวนเหยี่ยนและเนี่ยผานเลยหรือ” น้ำเสียงของลิ่วจี๋แฝงไปด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าก็ไม่โง่นี่นา ข้าจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยเลย ถึงจะได้ผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนมาช่วยข้า ฝีมือของพวกเขาก็ใกล้เคียงกันมาก แล้วอีกอย่าง ฮ่าๆ เกรงว่าฝีมือของเจ้าก็อ่อนกว่าพวกเขามากทีเดียว ดังนั้นหากเจ้าจะรอกำลังเสริมแล้วล่ะก็ เจ้าน่าจะต้องผิดหวังแล้ว” เป่าฮวาหัวเราะเสียงดัง
“เหอะ ไม่น่าถาม ก็ต้องเป็นอีกาแก่ตัวนั้นแน่นอน แต่อีกคนหนึ่งคือใครกันนะ ชายต่างแดนที่แข็งแกร่งจนสามารถกดพลังของพวกเราผู้สร้างได้ เป่าฮวา เจ้าโม้เอาเองสินะ” น้ำเสียงของลิ่วจี๋กลับมานิ่งสงบดังเดิม และไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย
“ข้าไม่ได้โม้ อีกสักพักเจ้าก็น่าจะรู้เอง ตอนนี้หยวนเหยี่ยนกับเนี่ยผานก็น่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มาก หากเขาต้องการจะมาช่วยเจ้า ก็คงจะมาได้ เพราะข้าให้เวลาขนาดนี้แล้ว แต่เขาต้องเก่งพอที่ยืนหยัดแล้วมาที่นี่เองนะ” เป่าฮวาตอบกลับเสียงเรียบ
ภายในหมอกนั้นส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูกมา จากนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก
เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องจริงหรือเรื่องหลอก ต่อให้นางพูดอะไรออกไปก็เป็นการตอกกลับอยู่ดี นางจึงไม่พูดอะไรอีกเลย
แต่เมื่อเป่าฮวาเห็นดังนั้น นางก็อดหัวเราะเสียงเย็นๆ ขึ้นมาไม่ได้ และประโยคถัดมาทำให้ลิ่วจี๋ตัวชาขึ้นมาทันที
“เจ้ายังมีกำลังเสริมของเจ้าอีกใช่หรือไม่ ไม่ว่าข้าจะฆ่าเจ้าไปแล้ว แต่เจ้าก็ยังสามารถกลับมามีชีวิตอีกใช่หรือไม่”
“เป่าฮวา คำพูดของเจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่” ลิ่วจี๋ตวาดออกมาอย่างควบคุมความโกรธไว้ไม่อยู่
“ง่ายมาก เจ้ายังมีร่างจำแลงตัวที่เจ็ดที่ยังไม่ปรากฏให้ใครเห็นมาก่อนไม่ใช่หรือ แม้ว่าเจ้าจะเก็บความลับนี้ไว้ไม่บอกใคร แต่อย่าลืมสิว่าหน้าต่างมีหู ประตูมีช่องนะ ข้ารู้เรื่องนี้เข้าโดยบังเอิญพอดี” เป่าฮวาพูดพร้อมรอยยิ้มเย็นๆ
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะรู้มันจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปได้ยินมาจากไหน แต่นี่เจ้ากำลังจงใจยั่วโมโหข้าสินะ” สมแล้วที่ลิ่วจี๋เป็นศัตรูตัวร้ายของเป่าฮวา หลังจากความลับอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเปิดเผย เขายังคงพูดอย่างสงบนิ่งอยู่ได้
“เจ้าน่าจะใช้ร่างจำแลงตัวที่เจ็ดของเจ้าไว้เป็นตัวสำรอง ในกรณีที่เจ้าตาย เจ้าจะสามารถฟื้นคืนชีพได้อีกครั้งสินะ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงร่างจำแลง แต่ด้วยฝีมือของเจ้า หากเจ้าจะฟื้นความทรงจำและวิชาต่างๆ ก็ไม่น่าจะยากไม่ใช่หรือ หากข้าไม่ไล่ตามต่อ อีกไม่กี่ปีให้หลัง ข้าก็จะถูกเจ้ากลับมาทำร้ายอยู่ดี หากลองนับจากเวลาแล้ว ร่างจำแลงที่เจ็ดของเจ้าก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้วนี่นา” หลังจากที่เป่าฮวาหัวเราะ เขาก็บ่นพึมพำกับตัวเองนิดหน่อย
“อะไรนะ นี่เจ้าหาที่ซ่อนของร่างจำแลงตัวที่เจ็ดของข้าเจอแล้วด้วยหรือ เป็นไปไม่ได้ เจ้าส่งใครไปน่ะ” เมื่อลิ่วจี๋ได้ยินดังนั้นเขาก็อดโมโหขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้
“เจ้าคงไม่ได้สังเกตถึงจระเข้สีดำตัวน้อยๆ หรือ ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ข้างกายข้านะ” เป่าฮวาพูดอย่างไม่รีบร้อน
“จระเข้ดำ…นี่เจ้าใช้แค่เด็กระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งจะสามารถเข้ามาในเขตอาคมของข้าได้หรือ” เมื่อลิ่วจี๋ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกหนักใจมากขึ้น
“ถูกต้อง แต่แค่จระเข้ดำตัวหนึ่งก็สามารถทำลายเขตอาคมที่เจ้าสร้างเองกับมือได้ และเพราะเขามีสมบัติสวรรค์ทมิฬที่สามารถยับยั้งแผนการของเจ้าได้อย่างไรเล่า” เป่าฮวาพูดอย่างสบายๆ
“สมบัติสวรรค์ทมิฬ นี่เจ้ากล้าให้คนอื่นยืมสมบัติระดับนี้เชียวหรือ เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะขโมยของเจ้าแล้วหนีไปหรือ” ใบหน้าของลิ่วจี๋ซีดขาว
“ข้าวางกลอุบายไว้ที่สมบัติชิ้นนั้นแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าไม่กล้าให้จระเข้ดำนำไปใช้หรอก เอาล่ะ ชวนเจ้าคุยมามากพอแล้ว ข้าให้เจ้ามีชีวิตถึงเท่านี้พอ จากนี้ข้าจะส่งเจ้าไปนรกเอง” เป่าฮวาพูดเสียงเรียบอีกไม่กี่ประโยค ทันใดนั้นน้ำเสียงของนางก็แข็งกร้าวขึ้นมาทันที
เมื่อสิ้นเสียง กลีบดอกไม้สีชมพูในหมอกขาวก็เคลื่อนไหวช้าๆ พร้อมส่องแสงไปมา จากนั้นค่ายกลวายุอัสนีก็เริ่มทำงานขึ้น
กลีบดอกไม้แต่ละกลีบช่างใหญ่โตและแหลมคม
ในตอนนั้นเองกลางหุบเขา มีดยักษ์สีชมพูก็บินไปมาอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางหมอกยักษ์
เสียงระเบิดดังสนั่น
ทั้งกลีบดอกไม้และหมอกสีขาวหายไปเหมือนไม่เคยมีมาก่อน แต่กลับมีลำแสงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ หลังจากที่ลำแสงและระลอกคลื่นหายไป เหลือเพียงร่างเงาจางๆ ที่อยู่เหนือหุบเขา หลังจากได้ยินเสียงถอนหายใจ ร่างนั้นก็เลือนหายไปในอากาศ
ส่วนอีกด้าน ยอดเขาสูงใหญ่ หานลี่และหยวนเหยี่ยนกำลังพูดคุยกันเหมือนกับเป็นเพื่อนสนิท
สมแล้วที่หยวนเหยี่ยนเป็นหนึ่งในสามผู้สร้างแห่งผู้มาร ด้านประสบการณ์ในการฝึกของเขา ทำให้หานลี่รู้สึกชื่นชมอย่างมาก
สำหรับหยวนเหยี่ยน แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกไป แต่แววตาของเขายังแฝงความประหลาดใจไว้อย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเขาก็สนใจในสิ่งที่หานลี่พูดเช่นกัน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังลั่น เขาเงยหน้าขึ้นไปมองที่ท้องฟ้า แล้วหัวเราะขึ้น
“พี่หยวน เหมือนว่าสหายเป่าฮวาจะแก้แค้นสำเร็จแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยแซ่หานก็ไม่ขอรบกวนท่านแล้ว ขอตัวลาก่อนนะขอรับ”
หานลี่จากไปโดยไม่ได้รอคำตอบของหยวนเหยี่ยน เขารวมร่างเป็นสายรุ้งสีเขียวแล้วทะยานจากไปทันที
หยวนเหยี่ยนนั่งอยู่บนก้อนหินโดยที่ไม่ขยับไปไหน สายตามองตามกลุ่มรุ้งที่ลอยหายไป เขาก็ไม่ได้ปิดบังสีหน้าจนใจของเขาอีกแล้ว
หลังจากนั้นไม่นานหานลี่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่เขาลูกหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งเดิมมากนัก
อิ๋นเย่ว์กำลังรอเขาอยู่ที่นั่นอย่างใจจดใจจ่อ
ด้านข้างของเขายังมีชายสองคนรอเขาอยู่เช่นกัน คนแรกคือท่านมั่วเจี่ยนหลี อีกคนที่ชายหนุ่มรูปงามผมสีเงินปรกไหล่ ทั้งสองคนอยู่ระดับมหาเมธี
เมื่อทั้งสามคนเห็นหานลี่ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
อิ๋นเย่ว์เข้าไปทักทายเขาด้วยสีหน้ามีความสุข
สามเดือนต่อมา เหนือทะเลสาบหลานพู่ที่มีชื่อเสียงของเผ่ามาร มีเรือบินสีขาวหยกที่ลักษณะแตกต่างจากเรือของเผ่ามารทั่วไปอยู่ มันบินอยู่เหนือทะเลสาบด้วยความเร็วเหลือเชื่อ ขนาดใหญ่แทบจะปกคลุมได้ทั้งทะเลสาบ
ด้านล่างของทะเลสาบมีมารบางกลุ่มที่กำลังโดยสารอยู่บนเรือเวทย์มนต์ เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็รู้สึกตกใจกันอย่างมาก แต่หลังจากที่นึกได้ ความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความเคารพยำเกรง
มารบางตนที่อยู่บนเรือถึงกับก้มกราบทำความเคารพกับพื้น
คนที่กล้าเมินเฉยต่อคนบนเรือหยกสีขาวลำนี้ มีเพียงแค่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลานพู่ที่อยู่ระดับเดียวกันแลบรรพชนคนอื่นๆ เท่านั้น
หากมารทั่วไปเห็นพวกเขาเข้า ก็มีบางที่รู้สึกประหลาดใจ หรือรู้สึกระแวดระวัง
เส้นทางการเดินทางของเรือหยกขาวลำนั้น เริ่มมาจากแดนมาร โดยจะผ่านแดนมารสิบกว่าเมือง จนกว่าจะถึงสถานที่ที่หานลี่อยู่
และเป้าหมายของเขาในตอนนี้คือไปหาจื่อหลิง
ในปีนั้นเขาได้สัญญากับสาวคนนี้ไว้ ว่าหากเขาสามารถสู้กับลิ่วจี๋ได้แล้ว เขาจะหาทางให้ฟื้นคืนร่างเดิมที่เป็นมนุษย์ให้นางและกลับแดนวิญญาณพร้อมกัน
ตอนนี้ลิ่วจี๋ตายด้วยน้ำมือของเป่าฮวาแล้ว ในแดนมารก็ไม่มีใครสามารถคุกคามเขาได้อีกแล้ว เขาจึงตัดสินใจทำตามสัญญาเดินทางไปรับจื่อหลิงกลับมา
ส่วนบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลานพู่ ตอนแรกเขาก็เป็นคนหนึ่งถูกขังในรอยประทับบรรพกาล และเขาเพิ่งกลับเข้ามาที่นี่ แต่เขาเคยได้ยินชื่ออีกฝ่ายมานานแล้ว
ดังนั้นเขารู้ว่าบรรพชนเผ่ามารคนนี้ เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง จึงไม่น่าจะมาขัดขวางอะไร
ในตอนที่หานลี่คิดอะไรอยู่เงียบๆ คนเดียว เรือสีขาวก็มาอยู่ที่เมืองหลานพู่แล้ว หลังจากบินวนอยู่รอบๆ เขาก็เลือกพุ่งไปที่ป่าลึกลับแห่งหนึ่ง
“ตึง”
แสงสีขาวถูกหานลี่อัดพลังโจมตีเพิ่มเข้าไป จากนั้นก็เกิดเสียงระเบิดตามมาหลายครั้ง
เรือบินไม่รอให้คืนสภาพดังเดิม มันมุ่งหน้าเดินเครื่องไปเต็มอัตราสูบ
ภายใต้เขตต้องห้ามมีอาคารขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางอย่างเป็นสง่า ที่หน้าประตูใหญ่เขียนด้วยอักษรโบราณสามคำว่า “ก่วงหยวนไจ”
ในขณะเดียวกันที่ห้องลับชั้นสี่ สาวงามคนหนึ่งกำลังเอนตัวอ่านหนังสือด้วยท่าทีเกียจคร้าน อยู่ๆ นางก็ผุดลงขึ้นมาจากเก้าอี้ด้วยความตกใจ จากนั้นนางก็ขยับมือร่ายเปลวไฟขึ้นมา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความดีใจ
“คุณหนู แย่แล้วเจ้าค่ะ มีคนแหกเขตต้องห้ามของพวกเราเข้ามา” บ่าวคนหนึ่งร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
“ป้าจูไม่ต้องกังวล เขาไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นแขกผู้มีเกียรติของข้าเอง” หญิงสาวที่สวมชุดกระสอบตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ