A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2265 วังเซียนขนนกทองคำ
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2265 วังเซียนขนนกทองคำ
อักขระยันต์สีทองที่เดิมเปล่งแสงเรืองๆ อยู่บนกำแพงน้ำแข็งเปล่งแสงเจิดจ้า
จากนั้นด้านในยอดเขาน้ำแข็งพลันมีลำแสงสีขาวรวมตัวกัน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นคนตัวเล็กสูงสองสามฉื่อ
คนตัวเล็กหลับตาทั้งสองข้างลง เรือนกายมีลำแสงปกคลุมอยู่ เครื่องหน้าและอาภรณ์เหมือนกับชายชราชุดขาวไม่มีผิดเพี้ยน
ชายชราที่อยู่ด้านนอกยอดเขาน้ำแข็งเห็นเช่นนั้นก็ยกมือขึ้น ชี้นิ้วไปที่หว่างคิ้วของตนเอง
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น!
ผลึกเส้นไหมสีขาวนวลพุ่งออกมาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วทะลวงผ่านกำแพงน้ำแข็ง จมหายเข้าไปในหน้าผากของคนตัวเล็ก
คนตัวเล็กหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ เปิดออก
รูม่านตามีลำแสงวิบวับ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสีทองบริสุทธิ์
“ลำบากเจ้าแล้ว แต่ในที่สุดก็ทำสำเร็จ ขอแค่เอาเส้นไหมทมิฬลำแสงมาได้ ก็สามารถลดเวลาหลอมได้กว่าครึ่งแล้ว เช่นนั้นข้าเองก็ผ่อนคลายได้ มิเช่นนั้นหากต้องเสียเวลาเป็นหมื่นปีเพื่อหลอมมัน เกรงว่าคงมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอันใดเกิดขึ้น” คนตัวเล็กเอ่ยอย่างแช่มช้า เสียงเหมือนกับชายชายชุดขาวอย่างไรอย่างนั้น
“หากเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมดีที่สุด ทว่าเสียดายยันต์อัสนีราตรี เดิมคิดจะเหลือยันต์สองสามแผ่นนี้เอาไว้ให้ชนรุ่นหลังที่ข้าให้ความสำคัญในเผ่า เพื่อช่วยให้พวกเขาข้ามเคราะห์สวรรค์ได้” ชายชราชุดขาวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“นั่นย่อมทำอันใดไม่ได้ ยันต์วิเศษและยาลูกกลอนที่เอามาจากแดนเซียนซึ่งไม่มีอยู่ในแดนล่าง ผ่านมาหลายปีและผ่านเคราะห์ใหญ่ของเผ่าเรามาสองสามครั้ง ครานี้ก็เหลืออยู่แค่ไม่เท่าไหร่แล้ว หากจะทำให้ระดับมหายานสนใจ ก็มีเพียงยันต์อัสนีราตรีแล้ว ทว่าคาดไม่ถึงว่าบรรพชนสือซินจะเพลี้ยงพล้ำไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็มีระดับมหายานจากเผ่ามนุษย์สองคนมาแทน นับว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง หานลี่หนึ่งในสองระดับมหายาน คือผู้ที่เข้าไปในแดนมนุษย์กับเชียนชิวใช่หรือไม่” แววตาของคนตัวเล็กเปล่งแสงสีทองสว่างวาบสองสามครั้งขณะเอ่ย
“เป็นระดับมหายานของเผ่ามนุษย์ที่เพิ่งพัฒนาระดับขั้นได้ใหม่จริงๆ วันนั้นไม่รู้ว่าพวกเขาประสบกับเรื่องใดในแดนมาร เชียนชิวและพวกถึงได้เพลี้ยงพล้ำ มีเพียงคนผู้นี้ที่ออกมาได้ และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากกลับมาในแดนวิญญาณก็ข้ามเคราะห์อัสนีกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายาน แถมยังทำให้ระดับมหายานของเผ่าสามง่ามราตรีได้รับบาดเจ็บหนักในพิธีฉลองระดับมหายานได้อย่างง่ายดายอีกด้วย พละกำลังเหนือกว่าระดับมหายานทั่วๆ ไป” ชายชราชุดขาวเผยสีหน้าเคร่งขรึมขณะเอ่ย ดูเหมือนว่ากำลังอธิบายกับคนตัวเล็ก และดูราวกับว่ากำลังพึมพำกับตัวเองเท่านั้น
“ดูแล้วเจ้าเด็กเผ่ามนุษย์ผู้นี้จะเข้าไปในบ่อชำระวิญญาณ และกลืนดอกบัววิญญาณพิสุทธิ์เข้าไป มิเช่นนั้นคงไม่มีพละกำลังเช่นนี้ เช่นนั้นก็ดี! ยิ่งมีอิทธิฤทธิ์มาก การเข้าไปเอาเส้นไหมทมิฬลำแสงในแดนตาข่ายฝึกฝนก็มั่นใจได้มากขึ้นอีกหนึ่งส่วน” คนตัวเล็กครุ่นคิดขณะตอบกลับ
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น มิเช่นนั้นหากเป็นบรรพชนเอ๋าเสี้ยวที่มาพร้อมกับม่อเจี่ยนหลี ข้าคงไม่ตอบรับการแลกเปลี่ยนกับพวกเขาง่ายๆ” ชายชราชุดขาวหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“อืม ในเมื่อเรื่องราวราบรื่นดี เช่นนั้นก็ดำเนินการต่อ ยามนี้ข้าต้องตั้งใจหลอมวิญญาณเที่ยงแท้เซียนทองคำด้านล่าง เรื่องภายนอกต้องมอบให้เจ้าจัดการแล้ว คนเหล่านั้นนอกจากจะมาจากแดนตาข่ายฝึกฝนแล้ว มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องเรียกข้า” ชายชราชุดขาวเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“เยี่ยม เจ้าตั้งใจหลอมเถิด เจ้ากับข้าเดิมก็มีร่างเดียวกัน หากเจ้าหลอมยาลูกกลอนวิญญาณเซียนได้เร็วเท่าไหร่ ข้าเองก็มีประโยชน์ที่ไร้ขีดจำกัดเท่านั้น” ชายชราชุดขาวฉีกยิ้ม มือหนึ่งร่ายอาคม นิ้วชี้ไปทางกำแพงน้ำแข็ง
เสียง “ปัง” ดังขึ้น!
คนตัวเล็กแค่พยักหน้า ร่างกายกลายเป็นลำแสงวิญญาณสลายหายไป
จากนั้นชายชราก็หันกาย ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวใดๆ ใต้ฝ่าเท้าพลันมีลำแสงสว่างวาบ เขตอาคมส่งตัวปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติ
หลังจากเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น ชายชราก็เลือนรางหายวับไป
…
แดนเซียนเที่ยงแท้ บนแผ่นดินกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา นาวิญญาณสี่เหลี่ยมที่เป็นระเบียบเรียบร้อยถูกคนที่แต่งกายเหมือนชุดชาวนาสีเหลืองจำนวนนับไม่ถ้วนเพาะปลูกอยู่
เมื่อพิจารณาให้ละเอียด ‘ชาวนา’ เหล่านี้หน้าตาเหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว สีหน้าแข็งๆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดมนุษย์ที่ดูสมจริงมาก
ภายในนาวิญญาณเหล่านี้ล้วนปลูกข้าวเปลือกขนาดยักษ์ลำต้นหนาเท่าปากชามเอาไว้ และแผ่กลิ่นอายบริสุทธิ์ที่อยากจะเหลือเชื่อออกมา แค่สูดดมเข้าไปก็ทำให้กระปรี้กระเปร่าแล้ว
กลางอากาศห่างจากนาไปร้อยจั้งเศษคือเมฆวิญญาณหลากสีสันขนาดสองสามหมู่ ด้านบนมีคนถืออาวุธสวมชุดคลุมยาวนั่งสมาธิอยู่ด้านบน
คนเหล่านี้บ้างก็อยู่ลำพัง บ้างก็อยู่ด้วยกันสองสามคน ไม่ว่าอายุมากหรือน้อยล้วนแต่งกายเป็นนักพรต คอยสอดส่องลาดตระเวนอยู่บนนาวิญญาณ และบางครั้งก็กระตุ้นอาวุธในมือ ทำให้เมฆวิญญาณใต้ร่างปล่อยน้ำฝนใสสะอาดรดไปที่นาวิญญาณด้านล่าง
กลางอากาศสูงขึ้นไปหมื่นจั้งเศษมีทะเลหมอกหมุนวน กวาดไปรอบด้าน ไม่อาจมองเห็นขอบของมันได้ ราวกับว่าถูกปกคลุมทั้งแผ่นดิน
ตรงทะเลหมอกที่ตรงกับนาวิญญาณด้านล่างมีวิหควิญญาณและอสูรวิญญาณกำลังไปๆ มาๆ บรรทุกคนสวมอาภรณ์หลากหลายเข้าออกทะเลหมอก
ฉับพลันนั้นพลันมีเสียงมังกรคำรามดังมา!
ขอบฟ้ามีลำแสงสว่างวาบ มังกรน้ำแข็งสีฟ้าความยาวร้อยจั้งเศษปรากฏตัวขึ้น
เห็นเพียงรอบด้านมีเสียงวายุอัสนีดังขึ้น มังกรวารีน้ำแข็งสีฟ้าบินมาอยู่เหนือนาวิญญาณราวกับสายฟ้า
สัตว์ตัวมหึมาเช่นนี้ หากปรากฏอยู่ตรงหน้าสิ่งมีชีวิตธรรมดาในแดนวิญญาณ เกรงว่าคงทำให้ตกใจจนขวัญกระเจิง และดึงดูดสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนแน่
แต่ไม่ว่า ‘ชาวนา’ ที่เพาะปลูกในนาวิญญาณด้านล่าง หรือว่านักพรตเด็กที่กระตุ้นเมฆเหล่านั้น ส่วนใหญ่กลับทำเหมือนมองไม่เห็น
บางครั้งนักพรตเด็กสองสามคนก็เงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง และทันใดนั้นก็ก้มหน้าราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น
มีเพียงนักพรตเด็กอายุประมาณสิบสองสิบสามปีหน้าขาวปากแดงสองคน หลังจากเห็นมังกรวารีน้ำแข็งที่อยู่บนเมฆวิญญาณก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“นั่นไม่ใช่ใต้เท้าหลีหรือ! สองสามวันก่อนเพิ่งจะไปจากวังเซียน เหตุใดถึงกลับมาเร็วเช่นนี้” นักพรตเด็กคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ
“ดูจากท่าทางรีบร้อนของใต้เท้าหลี ดูแล้วจะต้องมีเรื่องสำคัญแน่ และยังมีท่าทางไม่ราบรื่น” นักพรตเด็กอีกคนหนึ่ง
“ก็อาจจะกระมัง ทว่าพละกำลังของใต้เท้าหลี ก็เพียงพอจะจัดอยู่ในร้อยอันดับแรกของวังเซียนขนนกทองคำของพวกเราแล้ว จะมีอันใดที่ทำไม่ได้ในเขตแดนเซียนกัน จุ๊ๆ หากศิษย์อย่างเจ้ากับข้าได้รับการชี้แนะจากใต้เท้าหลี ย่อมเป็นวาสนามาก” นักพรตเด็กคนแรกส่งเสียง ‘จุ๊ๆ’ ขณะเอ่ย
“อย่าฝันเลย ศิษย์อย่างเจ้าและข้าเป็นสิ่งมีชีวิตระดับต่ำที่สุดในวังเซียน เป็นศิษย์ครึ่งหนึ่งเป็นแรงงานครึ่งหนึ่ง ใต้เท้าหลีและพวกจะเห็นค่าได้อย่างไร ทว่าศิษย์พี่ร่างวิญญาณของข้าหลอมได้พลังไฟขั้นที่เจ็ดแล้ว ยามคัดเลือกรอบต่อไป อาจจะผ่านการทดสอบ กลายเป็นศิษย์ขั้นสุดยอด ถึงยามนั้นก็ไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องทางโลกนี้แล้ว” นักพรตเด็กคนที่สองเบะปาก ก้มหน้ามองแผ่นป้ายหยกในมือ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยอย่างใฝ่ฝันถึง
“อันใด ร่างเที่ยงแท้ของศิษย์พี่มีไฟระดับเจ็ดแล้ว ข้าเพิ่งจะถึงระดับห้าเท่านั้น ดูแล้วต้องรีบฝึกฝนแล้ว หากผ่านไปอีกสองสามปียังไม่อาจกลายเป็นศิษย์ระดับชั้นยอดได้ เกรงว่าคงถูกทำให้กลายเป็นผุยผง จำใจต้องลงไปแดนล่างแล้ว” นักพรตเด็กคนแรกได้ยินพลันตกตะลึง เปลี่ยนเป็นหวาดกลัว
“ความจริงแล้วโลกที่แดนล่างก็ไม่เลว ว่ากันว่านอกจากไม่อาจเป็นอมตะได้แล้ว ความสุขอย่างอื่นก็มีอย่างครบครัน” นักพรตเด็กคนที่สองหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยอย่างเป็นผู้ใหญ่
“ข้าถึงได้ไม่อยากไปแดนล่าง จะต้องกลายเป็นศิษย์ระดับชั้นยอดเหมือนกับศิษย์พี่แน่” นักพรตเด็กคนแรกเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ศิษย์น้องก็ต้องทำงานหนักแล้ว หากภายในห้าปีไม่อาจหลอมร่างเที่ยงแท้ได้ ผู้ดูแลกฎในวังเซียนคงไม่เมตตาใดๆ แน่” นักพรตเด็กคนที่สองเห็นเช่นนั้น รอบยิ้มบนใบหน้าก็อดที่จะหุบลงไม่ได้ และเอ่ยอย่างจริงจัง
“ขอบพระคุณที่ปรึกษาที่ดีของศิษย์พี่เซี่ย ศิษย์น้องจะพยายามเต็มที่” นักพรตเด็กคนแรกพยักหน้าเป็นพัลวัน
ในยามที่นักพรตเด็กทั้งสองซุบซิบนินทากัน มังกรวารีน้ำแข็งสีฟ้าที่สะบัดหางอยู่สูงขึ้นไปหมื่นจั้ง ก็พุ่งเข้าไปในทะเลหมอก และบินไปยังทิศทางที่สูงขึ้น
ยามนั้นพลันบินผ่านอากาศไปสองสามหมื่นจั้ง
ม่านหมอกสลายออก มังกรวารีน้ำแข็งสีฟ้าพุ่งออกมา โลกของไอวิญญาณอีกแห่งพลันปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
เห็นเพียงบนทะเลหมอกที่หมุนวน คาดไม่ถึงว่าจะมียอดเขาเล็กใหญ่สองสามร้อยแห่งลอยอยู่ตรงนั้น
ยอดเขาเหล่านี้ใหญ่หน่อยมีขนาดถึงสองสามหมื่นจั้ง เล็กน้อยก็มีขนาดแค่สามสี่พันจั้งเท่านั้น แต่ยอดเขาทุกลูกล้วนมีต้นหญ้าแปลกประหลาดปกคลุมอยู่ ยิ่งมีหอคอยงดงามสร้างอยู่ด้านบน
ระหว่างเทือกเขาต่างๆ สายรุ้งราวกับสะพานโค้งเรียงตัวต่อเนื่องกัน บางครั้งก็มีบุรุษและสตรีสวมชุดชาววังลอยอยู่ด้านบน
เป็นทัศนียภาพของแดนเซียนที่งดงามจริงๆ
มังกรวารีน้ำแข็งสีฟ้าส่งเสียงร้องคำรามยาวๆ ร่างกายบิดเบี้ยว บินผ่านเทือกเขาไปอย่างไม่หยุดพักเลยสักนิด
ผ่านยอดเขาไปสองสามยอด มังกรวารีน้ำแข็งก็มาอยู่ตรงใจกลางเทือกเขา
ตรงนั้นมีวังยักษ์ราวกับกำแพงเมืองลอยอยู่ท่ามกลางยอดเขาสิบกว่าลูก
วังแห่งนี้มีสีทองเรืองรอง อักขระยันต์ขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนบินวนรายล้อมตำหนัก ตรงประตูใหญ่สูงพันตั้งเศษราวกับหอคอยเห็นนักรบชุดเกราะสีดำถืออาวุธอยู่ลางๆ และมีแผ่นป้ายประกาศเกียรติคุณสีเงินแขวนอยู่ด้านบน ด้านบนใช้ตัวอักษรสีทองขนาดยักษ์สลักคำว่า ‘วังเซียนขนนกทองคำ’ เอาไว้
มังกรวารีน้ำแข็งสีฟ้าเลือนราง มาอยู่ใกล้ประตูตำหนัก ลำแสงที่ผิวหม่นแสงลง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นนักพรตหน้าดำร่างกายผ่ายผอมคนหนึ่ง
สวมชุดนักพรตปากั้ว มือถือพู่สีเงิน เรือนร่างไม่มีร่องรอยของดินปืนเลยสักนิด
ด้านหน้าประตูวังมีนักรบชุดเกราะสีทองเรียงแถวอยู่ ทันใดนั้นก็มีคนออกมาต้อนรับ และมีนักรบชุดเกราะที่ดูสูงที่สุดคารวะเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอย่างไม่ถ่อมตนและไม่หยิ่งผยอง
“ใต้เท้าหลี ท่านมาที่ตำหนักเซียนในยามนี้ มีเรื่องอันใดหรือ?”
“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องพบองค์หญิง” นักพรตหน้าดำเอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด
“นั่นมันไม่ค่อยสะดวกกระมัง วันนี้ไม่ใช่วันประชุม องค์หญิงน่าจะกักตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ ไม่รับแขกง่ายๆ” นักรบชุดเกราะเผยสีหน้าลำบากใจออกมา
หน้าดำได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ยามที่คิดจะเอ่ยปากเอ่ยอันใดอีกนั้น ฉับพลันนั้นเสียงเข้มงวดอย่างหาที่เปรียบมิได้ก็ดังขึ้นที่หูของทั้งสองคน
“ไม่ต้องขวาง ให้หลีหมิงเข้ามาพบข้าเถิด ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเขา”
“ขอรับ องค์หญิง! ใต้เท้าหลี เชิญท่านด้านในเถิด” นักรบชุดเกราะพลันตกตะลึง สองมือประสานกันทำความเคารพ แล้วรีบถอยเบี่ยงตัวไปด้านข้าง