A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2266 อารามจิ่วหยวน
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2266 อารามจิ่วหยวน
นักพรตหน้าดำไม่ได้พูดอันใดอีก สะบัดแขนเสื้อ พลิ้วกายลอยไปที่ประตูใหญ่
ดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยกับในตำหนักแห่งนี้เป็นอย่างดี หลังจากผ่านห้องโถงยักษ์และทางเดินยาวสองสามร้อยจั้งมา เบื้องหน้าก็เปล่งแสงเจิดจ้า ลานเงียบสงบปรากฏขึ้นตรงหน้า
ในลานปลูกต้นไม้สีเขียวมรกตหลากชนิดเอาไว้เต็มไปหมด ดอกไม้ยักษ์หลากสีสันทุกดอกมีขนาดเท่าปากชาม และประตูทางเข้ามีสตรีสวมชุดชาววังสวมผ้าพันคอสีเงินยืนอยู่สองคน
หญิงสาวสองคนมีผิวพรรณขาวผ่องดุจหยก ท่าทางสง่างาม เรือนร่างแผ่กลิ่นอายออกมาลางๆ แต่ให้ความรู้สึกที่ลึกล้ำยากจะคาดเดา
“คารวะเซียนทั้งสอง ข้าน้อยมาเยี่ยมเยียนองค์หญิงโดยเฉพาะ!” สหายหน้าดำเห็นสตรีสวมชุดชาววังสองคน คาดไม่ถึงว่าจะเข้าไปคารวะแล้วเอ่ยอย่างมีมารยาท
“ใต้เท้าหลี ข้าน้อยไม่กล้ารับไว้ เจ้ารีบเข้าไปข้างในเถิด องค์หญิงเคยรับสั่งเอาไว้ และรออยู่ด้านในมานานแล้ว” สตรีสวมชุดชาววังคนหนึ่งเบี่ยงกายหลบหลีกการคารวะ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หึๆ เซียนล้อเล่นแล้ว ผู้แซ่หลีขอเข้าไปคารวะองค์หญิงก่อน” นักพรตหน้าดำฉีกยิ้มขณะตอบกลับ หลังจากคารวะสตรีสวมชุดชาววังทั้งสอง ถึงได้สาวเท้าเข้าไปในสวน
ผ่านพุ่มไม้ที่มีกลิ่นหอมแตะจมูกมา ทุ่งหญ้าสีเชียวปรากฏขึ้นตรงหน้า
ทุ่งหญ้ารอบด้านปลูกต้นไม้สีเขียวอมม่วงที่ดูสง่างามเอาไว้ ฮูหยินสวมชุดคลุมสีม่วงคนหนึ่ง ยืนอยู่ด้านหน้าต้นไม้ต้นหนึ่ง กำลังก้มหน้าชื่นชมอย่างสบายอารมณ์
“คารวะองค์หญิง!” นักพรตหน้าดำก็ไม่กล้าดูแคลน ชิงสาวเท้าไปสองก้าว แล้วก้มหน้าเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ศิษย์หลานหลี ยามนี้ไม่มีคนนอก เหตุใดเดี๋ยวก็เรียกว่า ‘องค์หญิง’ ‘องค์หญิง’ ด้วย เรียกข้าว่า ‘ท่านอาจารย์อา’ ก็พอแล้ว” ฮูหยินเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
“ข้ามิกล้า! ยามนี้ไม่ได้อยู่ในอารามจิ่วหยวน ศิษย์หลานไม่อยากให้คนนอกพูดถึง หากมีคนไปพูดมากต่อหน้าใต้เท้าผู้ตรวจการ ข้าและองค์หญิงคงไม่สะดวก” นักพรตหน้าดำตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าจะขี้ขลาดไปหน่อยกระมัง ทว่าหากมีผู้ตรวจการเหล่านั้นอยู่ เจ้าของวังเซียนอย่างพวกเราก็ต้องทำการอันน่าเบื่อจริงๆ ต้องสงบเสงี่ยมอยู่ตลอด ไม่สู้อยู่ในอารามจะเป็นอิสระกว่า ไม่อย่างนั้นอีกเดี๋ยวข้าจะไปขอลาออกจากตำแหน่งกับท่านบรรพชนของเจ้า แล้วแนะนำให้ศิษย์หลานอย่างเจ้ามารับตำแหน่งเป็นอย่างไร?” ในที่สุดฮูหยินก็เงยหน้าขึ้นขณะเอ่ย ใบหน้าของนางขาวผ่อง ดวงตาดำขลับมีจอนผมปรกลงมา ให้ความรู้สึกเคร่งขรึมเป็นพิเศษ
“อ่าย องค์หญิง ท่านบรรพชนจะตอบรับเรื่องนั้นได้อย่างไร แม้ว่าพวกเราจะดูแลวังเซียนขนนกทองคำ แต่ก็ไม่มีค่าอันใดกับทั้งเขตแดนเซียน แต่ถึงอย่างไรเสียอารามจิ่วหยวนของพวกเราก็มีหน้ามีตาในเขตแดนเซียน ปกครองประชาชนชาวเซียนจำนวนนับไม่ถ้วน แค่พลังปราณที่ต่ำต้อยของศิษย์หลานจะเป็นผู้ดูแลวังได้อย่างไร” นักพรตหน้าดำสั่นศีรษะเป็นพัลวัน
“หึ คนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าทำเป็นพูดจาน่าฟัง ท่านอาจารย์ของเจ้าและเหล่าท่านอาจารย์อาคนอื่นๆ ผู้ใดบ้างที่มีอิทธิฤทธิ์ด้อยกว่าข้า เหตุใดถึงไม่เห็นพวกเขาออกหน้ามาเป็นผู้ดูแลวังเซียนขนนกทองคำ ข้าแค่คารวะท่านบรรพชนเจ้าช้าไปสองสามเดือนเท่านั้น แต่ก็อยู่ที่วังเซียนมาแสนกว่าปีแล้ว น่าจะเปลี่ยนคนได้แล้วกระมัง” ฮูหยินแค่นเสียงหึขณะเอ่ย
“หึๆ ก่อนที่องค์หญิงจะคารวะเป็นศิษย์ของท่านบรรพชน ก็เคยเป็นผู้ดูแลในแดนวิญญาณ ยามนี้ได้รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลของวังเซียนก็เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เปลี่ยนเป็นท่านอาจารย์ของข้าและท่านอาจารย์อาคนอื่นๆ คงขี้เกียจกันทุกคน และไม่มีวิธีทำให้วังเซียนขนนกทองคำเจริญรุ่งเรืองเพียงนี้” นักพรตหน้าดำได้ยินก็ประจบประแจงทันที
“คำนี้ฟังดูรื่นหู ท่านอาจารย์ของเจ้าและเหล่าท่านอาจารย์อาคนอื่นๆ บ้างไม่สนใจเรื่องทางโลก อีกสองสามหมื่นปีหรือแสนปีก็ไม่รู้ว่าจะออกจากการกักตัวหรือไม่ บ้างก็ไร้ความรู้สึกราวกับมนุษย์หิน โดยเฉพาะท่านอาจารย์ของเจ้า แม้แต่ข้าที่ได้พบกับเขาในอารามแต่ก่อน ก็ต้องหลบหลีกให้ไกลเท่าไหร่ได้ยิ่งดี ไม่กล้าเข้าไปในรัศมีสองสามจั้ง” ฮูหยินสวมชุดสีม่วงดูเหมือนจะนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีอันใดสักอย่าง จึงกัดฟันรับเอาไว้
นักพรตหน้าดำได้ยิน ก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นเท่านั้น
ไม่ต้องพูดถึงท่านอาจารย์อาน้อยผู้นี้ แม้แต่ตนที่พบกับท่านอาจารย์ของตนในยามปกติ ก็ดูเหมือนว่าจะอกสั่นขวัญแขวน ไม่กล้าพูดอันใดมากนัก
“ใช่แล้ว วันนี้ไม่ใช่เรื่องของวังเซียน เจ้ามาหาข้ามีเรื่องสำคัญอันใดหรือ เมื่อครู่ข้าดูจากกระจกตรวจสอบสวรรค์ ดูเหมือนว่าหากผู้ตรวจการที่หน้าประตูไม่ปล่อย เจ้าก็จะบุกเข้ามา” ฮูหยินสวมชุดสีม่วงพลันนึกถึงจุดหมายที่แท้จริงที่นักพรตหน้าดำมาพบตนครั้งนี้ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“รายงานองค์หญิง ที่ข้ามาในครั้งนี้ก็เพราะเรื่องที่ท่านบรรพชนมอบหมายให้ด้วยตนเองครั้งที่แล้ว” นักพรตหน้าดำมีสีหน้าตกตะลึง ในเวลาเดียวกันก็กดเสียงลงต่ำขณะเอ่ย
“อันใด เพราะเรื่องนั้น เจ้ารอเดี๋ยว ให้ข้าติดต่อกับแดนวิญญาณของข้าก่อน” เดิมฮูหยินสวมชุดสีม่วงมีสีหน้าเกียจคร้าน เมื่อได้ยินคำพูดของนักพรตหน้าดำ ชั่วขณะนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี
สิ้นเสียงก็เห็นสตรีผู้นี้วาดนิ้วไปรอบด้าน
ชั่วขณะนั้นรอยแยกสีขาวพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นระลอกคลื่นพลันก่อตัวขึ้น!
รอยแยกสีขาวม้วนวน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นลำแสงสีขาวสลายออก
เห็นเพียงกลางอากาศรอบๆ ทุกแห่งที่ลำแสงสีขาวกวาดผ่านไป สิ่งของทุกอย่างจะเปลี่ยนไป คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นตำหนักวิจิตรงดงามหลังหนึ่ง ด้านในมีโต๊ะเก้าอี้ครบครัน และมีสาวใช้สวมชุดชาววังหน้าตางดงามยืนเรียงแถวอยู่ทั้งสองฝั่ง
หลังจากที่นักพรตหน้าดำกวาดสายตาแข็งๆ ไปที่เรือนร่างของสาวใช้ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“คาดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนแดนวิญญาณจนถึงขั้น ‘แดนแปลงวิญญาณ’ ที่สามแล้วแล้ว เขตแดนเหล่านี้ของท่านอาจารย์อาแม้ว่ายามนี้จะดูเหมือนมีพลังยุทธ์และสติสัมปชัญญะต่ำต้อยมาก แต่ขอแค่ตั้งใจฝึกฝน วันข้างหน้าย่อมต้องช่วยเหลือได้มากแน่”
“ท่านอาจารย์ลุงข้าเองก็เพิ่งพัฒนาจาก ‘กระจกสร้างโลก’ ขึ้นไปอยู่ในระดับแปลงวิญญาณได้ไม่นาน ดังนั้นถึงได้อยากกลับอารามเร็วๆ จะได้ทำให้เขตแดนวิญญาณของตนมั่นคงไวๆ ดังนั้นหากท่านบรรพชนออกจากการกักตน และยอมชี้แนะด้วยตัวเอง เช่นนั้นยิ่งดีใหญ่ ศิษย์หลาน เจ้านั่งลงเถิด ในแดนวิญญาณของข้า ต่อให้ผู้ตรวจการใช้เครื่องมือตรวจการก็ไม่อาจเข้ามาได้ง่ายๆ เล่าเรื่องนั้นให้ข้าฟังอย่างละเอียดเถิด” ฮูหยิน
สวมชุดสีม่วงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ และนั่งลงตรงเก้าอี้ตรงใจกลางตำหนักอย่างไม่รีบร้อน
“เช่นนั้นศิษย์หลานก็เกินเลยแล้ว” นักพรตหน้าดำเองก็ไม่เกรงใจ และหาเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลงด้านล่าง
“ข้าจำเรื่องนั้นได้ เจ้าน่าจะเริ่มจัดการตั้งแต่สองสามร้อยปีก่อนแล้วกระมัง ยามนี้ได้ผลลัพธ์หรือยัง” ฮูหยินเอ่ยถามอย่างแช่มช้า น้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
“สองสามร้อยปีก่อน ศิษย์หลานใช้วิธีการต่างๆ สุดท้ายก็จำใจต้องเสียค่าตอบแทนจำนวนมหาศาลถึงได้ยืมสมบัติอาคมมาจากสหายสนิทคนหนึ่งถึงได้พอจะตามหาเบาะแสเหล่านั้นได้” นักพรตหน้าดำตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ขอแค่หาร่องรอยของคนผู้นั้นได้ ค่าตอบแทนจะมากขนาดไหนก็คุ้มค่า คนผู้นั้นเอาของชิ้นนั้นจากอารามจิ่วหยวนของพวกเราหนีไปอย่างไร้ร่องรอย แม้ว่าจะมีแผ่นป้ายประจำตัวของเขาอยู่ในมือ แต่ไม่รู้ว่าถูกสมบัติเหนือชั้นอันใดหรือเคล็ดวิชาลับอันใดอำพราง คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจสัมผัสถึงการมีอยู่หรือดับสูญของเขาได้ แม้แต่ท่านบรรพชนของเจ้ายังไม่สนใจการละเมิดกฎคิดจะสืบหาเรื่องนี้ และถูกผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรอีกสองสามคนขวางเอาไว้ จึงทำได้เพียงต้องกลับไปมือเปล่า จนถึงเมื่อสองสามร้อยปีก่อนเจ้ารายงานว่าแผ่นป้ายประจำตัวของเขามีปฏิกิริยาตอบสนองอีกครั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่ค่อยดีนัก ท่านบรรพชนถึงได้เอ่ยชื่อ มอบให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ หากคนทรยศนั่นเพลี้ยงพล้ำไป แน่นอนว่าย่อมไม่เสียดาย แต่สิ่งที่เขาขโมยไปในตอนนั้น กลับเกี่ยวข้องกับความรุ่งเรืองของอารามจิ่วหยวนในอนาคต จะต้องตามกลับมาให้ได้”ฮูหยินพูดจนถึงตอนสุดท้าย ใบหน้าพลันมีสีหน้าน่าเกรงขามขึ้นหลายส่วน
นักพรตหน้าดำเห็นเช่นนั้นพลันใจหายวาบ รีบหยัดกายลุกขึ้นขอบคุณ และค้อมตัวลงเอ่ยต่อ
“ท่านอาจารย์อาเองก็อย่ากังวลใจมากนัก แม้ว่าแผ่นป้ายประจำตัวของคนทรยศจะเกิดรอยแตก แต่ดูจากสถานการณ์แล้วคงไม่ได้เพลี้ยงพล้ำไปจริงๆ กว่าครึ่งคงถูกกักอยู่ที่ใดสักแห่ง ปัญหาเดียวก็คือผลจากการตรวจสอบครั้งนี้ของศิษย์หลานค่อนข้างยุ่งยาก ยามนี้คาดไม่ถึงว่าคนทรยศจะไม่อยู่ในแดนเซียน แต่อยู่ในแดนล่าง”
“แดนล่าง! ในแดนวิญญาณหรือ? แล้วจะจัดการยากอย่างไร ขอแค่มีตำแหน่งที่แน่นนอน เสียศิลาวิญญาณเซียนสักหน่อย ก็ใช้แท่นลดเซียนส่งตัวไปได้แล้ว หรือว่าเขาหนีไปแดนล่าง หมายถึงแดนที่สูญหายไปแล้ว” ฮูหยินชุดสีม่วงพลันตกตะลึงเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดขึ้นมาได้
“ท่านอาจารย์อาเดาไม่ผิด คนทรยศนั่นหนีไปยังเขตที่ถูกทอดทิ้งอย่างกลุ่มเขตหนานโจวในเขตแดนวิญญาณ ส่วนจะอยู่ในเขตแดนวิญญาณไหน ก็ไม่แน่ใจนัก แต่หากรอนานกว่านี้ก็อาจจะได้ผลที่แม่นยำ แต่เขตแดนวิญญาณเล็กหลายร้อยเขตในกลุ่มเขตแดนหนานโจว ตั้งแต่ที่เกิดความเปลี่ยนแปลง แดนเซียนของพวกเราก็สูญเสียการควบคุมไปแล้ว ยามนี้ยังไม่อาจหาตำแหน่งที่แม่นยำได้ แท่นลดเซียนไม่อาจส่งตัวไปที่นั่นได้” นักพรตหน้าดำขมวดคิ้วมุ่นขณะเอ่ย
“รับมือยากจริงๆ ด้วย ตั้งแต่ที่เขตแดนหนานโจวเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง เป็นเพราะไม่อาจอาศัยพลังของแดนเซียนอย่างพวกเรา ไม่ใช่แค่คนของแดนเซียนอย่างพวกเราที่ไม่อาจลงไปได้ คนที่อยู่ในแดนล่างจะบรรลุขึ้นมาแดนเซียนของพวกเรา ก็กลายเป็นเรื่องที่ยากเย็น สองสามปีที่ผ่านมา ผู้ที่สามารถบรรลุขึ้นมาในแดนเซียนจากกลุ่มแดนที่ถูกทอดทิ้งของพวกเราได้ มีผู้ใดบ้างที่ไม่มีพรสวรรค์น่าตกตะลึง พละกำลังไร้ขีดจำกัด ไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ” ฮูหยินสวมชุดสีม่วงหรี่ตาทั้งสองข้างลง หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยขึ้น
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ คุณชายเทียนซูที่มีชื่อเสียงของแดนเซียน ก็บรรลุขึ้นมาจากแดนที่ถูกทอดทิ้งมิใช่หรือ ผลคือภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงล้านปีก็สร้างชื่อเสียงได้เพียงนี้ และยังคารวะเป็นศิษย์ของจักรพรรดิก๋วงฟ่าของแดนเซียนของพวกเราด้วย” นักพรตหน้าดำมีน้ำเสียงอิจฉาอยู่เล็กๆ ขณะเอ่ย
“เอาล่ะ ไม่ว่าผู้ที่บรรลุขึ้นมาจากแดนที่ถูกทอดทิ้งเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร หากไม่มีตำแหน่งที่ชัดเจน หากจะลงไปยังแดนที่ถูกทอดทิ้งด้านล่าง วิธีธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจทำได้ อาจจะต้องไปหาท่านบรรพชนแล้วดูว่าเขามีวิธีอันใดหรือไม่? ทว่าข้าเองก็ประหลาดใจเล็กน้อย คนทรยศนั่นหนีไปยังแดนที่ถูกทอดทิ้งเหล่านั้นได้อย่างไร” ฮูหยินชุดสีม่วงครุ่นคิดชั่วครู่ แววตาพลันฉายแววเย็นชาออกมาขณะเอ่ย…