A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2306 เขตอาคมมารวาโยโหมทอง
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2306 เขตอาคมมารวาโยโหมทอง
“แต่ว่าท่านผู้อาวุโส เผ่าแดงสดแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเราถึงแม้ว่าจะไม่มีทางสูญพันธุ์ แต่ก็จะอ่อนแอลงอย่างแน่นอน หวังว่าท่านผู้อาวุโสจะเมตตา มอบความเป็นธรรมให้แก่เผ่าวิหคสวรรค์อย่างแน่นอน” จินเย่ว์ได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก รีบคุกเขาขอร้องอ้อนวอนอีกครา
“หึ เจ้าไม่ได้ยินคำพูดของข้าเมื่อครู่งั้นหรือ หรือคิดว่าเรื่องของข้าเป็นเรื่องไม่สำคัญ” เย่ว์หลงหรี่ตาลง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ในขณะเดียวกันก็ปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
จินเย่ว์รู้สึกราวกับอากาศรอบตัวกำลังบีบอัดทั่วทั้งร่างหนักอึ้ง ถูกแรงกดดันของกลิ่นอายอันน่ากลัวนี้จนไม่มีทางยืนตรงได้
“ผู้อาวุโสโปรดอภัย ข้าน้อยไม่มีความคิดเช่นนั้นอย่างแน่นอน” ใบหน้าของจินเย่ว์ซีดเผือกไร้สีเลือด ภายในใจสั่นสะท้านด้วยความกลัวอย่างสุดซึ้ง
“พอเถิด ข้ากับนักพรตจินเคยติดต่อกันอยู่ช่วงหนึ่ง เห็นแก่หน้าของข้า ช่วยนางสักครั้งเถิด” หานลี่ที่นั่ง อยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ สะบัดแขนเสื้อแล้วกล่าวออกมา
ทันใดนั้น พลังขนาดใหญ่ที่กดทับนางอยู่ สั่นคลอนเล็กน้อยแล้วสลายหายไปราวกับหิมะในเดือนสาม
จินเย่ว์รู้สึกตกใจอย่างมาก เงยหน้าขึ้นมามองไปทางหานลี่ด้วยความตกใจ
“โอ้ ในเมื่อพี่หานเอ่ยปากขอร้อง ย่อมถือเป็นเรื่องเล็กน้อย จินเย่ว์ยังไม่รีบมาขอบคุณความเมตตาของนักพรตหานอีก” เย่ว์หลงไม่แม้แต่จะโกรธเคืองเมื่อหานลี่เอ่ยขึ้น กลับตอบรับคำขอร้องด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเจ้า”
ในที่สุดจินเย่ว์ก็จำหานลี่ได้จากน้ำเสียงที่คุ้นเคย อีกทั้งยังเห็นผู้อาวุโสเย่ว์หลงท่านนี้ใช้น้ำเสียงเช่นนี้คุยกับหานลี่ อารมณ์บนใบหน้าพลันแจ่มใสขึ้นหลายส่วน
“เจ้า? นี่คือนักพรตหานแห่งเผ่ามนุษย์ ผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าข้า” เย่ว์หลงได้ยินดังนี้ สีหน้ามืดครึ้มลง ตะโกนเสียงต่ำที่น่าเกรงขาม
“นักพรตหาน…ไม่สิ…ผู้อาวุโสหานโปรดอภัย ข้าน้อยเพียงแค่ตกใจที่ได้พบท่านอีกครา” จินเย่ว์ใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อระงับความตกใจอันบ้าคลั่งของนาง พลันก้มหัวแสดงความเคารพอย่างสุดซึ้งไปยังหานลี่
แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันมานาน ทว่าในเวลานี้ สำหรับระดับผสานอินทรีย์ท่านนี้แล้วไม่นับว่าเป็นอันใด
เมื่อก่อนหานลี่ ‘บุตรศักดิ์สิทธิ์’ ผู้นี้และนางเคยทำข้อตกลงด้วยกันสองหน อีกทั้งในช่วงเวลาสั้นๆ พลังยุทธ์ก็มีสถานะเทียบเคียงกับนาง หญิงสาวผู้นี้ย่อมมีความประทับใจที่ลึกซึ้ง
แต่ตอนนี้ ไม่เพียงผ่านไปหลายร้อยปี หานลี่ที่ปรากฏตัวต่อหน้านางอีกครั้งยังมีกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ทั้งยังเปลี่ยนไปเป็นสหายที่มีสถานะเท่าเทียมกันกับเย่ว์หลงผู้อาวุโสแห่งเผ่าวิญญาณเหาะเหินท่านนี้
ความเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์โดยเฉียบพลันทันใดเช่นนี้ แม้จินเย่ว์จะเป็นจอมวางแผน ก็ยังมีความสับสนภายในใจอยู่บ้าง
“เอาล่ะ กลับไปก่อนเถิด ในเมื่อข้ารับปากนักพรตหานไว้แล้ว แน่นอนว่าต้องเจียดเวลาไปไปช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องราวของพวกเจ้าสองเผ่า” เย่ว์หลงไม่ยอมให้จินเย่ว์อยู่ที่นี่นาน โบกมือออกคำสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ ข้าน้อยขอลา” จินเย่ว์แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทว่านางก็ไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟัง
แต่ทันทีที่หญิงสาวยืดตัวขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหานลี่อีกครั้ง เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่นางนึกถึงจริงๆ ไม่ใช่ตนเองตาฝาดไป
หานลี่ยิ้มบางๆ ดูเหมือนจะล่วงรู้ถึงสิ่งที่หญิงสาวคิดอยู่ในใจ ริมฝีปากขยับเล็กน้อย
เวลาถัดมา หูของจินเย่ว์ได้ยินเสียงที่ส่งผ่านมา
“ไม่ว่าข้ากับเผ่าวิหคสวรรค์ในปีนั้นจะเป็นเช่นไร ทว่าหลังจากที่ออกปากช่วยเหลือในครั้งนี้ บุญคุณและความแค้นระหว่างข้าและเผ่าท่านถือว่าหายกัน หลังจากนี้ไม่จำเป็นต้องมาหาข้าอีกในวันข้างหน้า”
จินเย่ว์หนาวในใจ ตอนที่กำลังคิดจะพูดบางอย่าง หานลี่กลับสะบัดมือทำท่าร่ายคาถาด้วยมือข้างหนึ่ง นิ้วชี้มาที่ความว่างเปล่าเหนือศีรษะ
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้น!
ภายใต้เท้าของหญิงสาวพลันปรากฏลำแสงสีเงินโค้งมนราวคันธนูออกมา หลังจากสั่นไหวไม่กี่ที ก็แปรเปลี่ยนเป็นค่ายกลงอัสนีขนาดเล็ก ภายในช่วงเวลาสั้นๆ แสงอัสนีก็ค่อยๆ ม้วนตัวขึ้นมาตามร่างกายนาง
หลังจากที่จินเย่ว์รู้สึกเพียงภาพรอบด้านที่เลือนรางลง ครู่ก็หายไปจากห้องโถงใหญ่โดยไม่เห็นเงา
หานลี่ใช้เคล็ดวิชาค่ายกลอัสนีเพื่อส่งตัวหญิงสาวออกจากเจดีย์ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ
“เป็นการส่งตัวที่สวยงาม ดูเหมือนว่าอิทธิฤทธิ์ของท่านจะยิ่งใหญ่เหมือนกับที่ข้าคาดการณ์ไว้ แต่เป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ยิ่งมั่นใจ” เมื่อเย่ว์หลงเห็นสิ่งนี้แววตาพลันเป็นประกาย
ท้องฟ้าเหนือสิ่งปลูกสร้างธรรมดาแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลจากเจดีย์ขนาดใหญ่สั่นคลอนขึ้นมา จินเย่ว์ที่อยู่ภายใต้การห่อหุ้มของลำแสงสีเงินที่โค้งมนราวคันธนูจำนวนนับไม่ถ้วนพลันปรากฏออกมา
หลังจากนางกวาดตามองดูรอบตัว สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ มองไปที่เจดีย์ขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกลอีกครั้ง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปมาไม่มั่นคง
วันที่สอง ตอนที่บนท้องฟ้ามีแต่ความหม่นหมอง ลำแสงสีเขียวและสีดำสองเส้นบินออกมาจากเจดีย์ขนาดใหญ่ หลังจากหมุนเป็นวนกลม ก็พุ่งแหวกอากาศออกไปยังทิศทางหนึ่ง
ผ่านไปครึ่งวัน ลำแสงสองเส้นก็บินมาถึงยังเทือกเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง แล้วร่อนลงกลางที่ราบลุ่มที่อยู่ตรงกลางระหว่างภูเขาขนาดเล็กสองลูก
“ที่นี่คือตำแหน่งวิญญาณที่ท่านหาเจอ?”
ลำแสงรวมตัวเป็นรูปร่าง
ร่างของหานลี่โผล่ออกมา หลังจากกวาดตามองซ้ายมองขวา ถามออกมาพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในพื้นที่ลุ่มนี้นอกจากหลุมขนาดต่างๆ มากมาย พื้นดินก็โล่งเตียน ไม่แม้แต่หญ้าสักชุ่นภายในพื้นที่แห่งนี้พื้นดินที่ถูกยกขึ้นล้วนถูกบางสิ่งที่มีความแข็งตัดผ่าน เห็นได้ชัดว่ามันสั้นกว่าพื้นดินโดยรอบมาก
สิ่งของเดียวที่โดดเด่นคงเป็นเสาสัมฤทธิ์มรกตขนาดใหญ่ที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่ที่ใจกลางของที่ราบลุ่ม
เสานี้มีความสูงร้อยชุ่นเต็มๆ พื้นผิวจารึกไปด้วยลวดลายอาคมเป็นชั้นๆ ทว่ามีบางส่วนที่สึกหรอและไม่สมบูรณ์ ราวกับผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นเวลานาน
“พี่หานอย่าเพิ่งดูถูกที่นี่ ก่อนหน้านี้ที่แห่งนี้ไม่ได้มีรูปลักษณ์เช่นนี้ ทว่าหลังจากผ่านการโจมตีจากทัณฑ์สวรรค์สองครั้งติดต่อกัน จึงเปลี่ยนเป็นที่รกร้างเช่นนี้ แต่ตำแหน่งวิญญาณที่เหมาะสมในการดึงพลังแห่งฟ้าดินไม่ได้หาได้ง่ายๆ ทำได้เพียงเลือกที่แห่งนี้” หลังจากเย่ว์หลงปรากฏตัวออกมาจากตำแหน่งใกล้ๆ กับหานลี่ ออกตัวเดินไปทางเสาสัมฤทธิ์มรกต พร้อมอธิบายไปด้วย
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ทว่าท่านนักพรตดึงพลังแห่งฟ้าดินออกมา คงไม่สามารถพึ่งเพียงศาสตรายุทธ์ชิ้นนี้กระมัง” หานลี่พยักหน้า มองไปยังเสาสัมฤทธิ์มรกตเล็กน้อย
“ฮ่าๆ แน่นอนว่าไม่ได้ เสาพวกนี้มีชื่อว่า ‘เสาวายุทอง’ เป็นหนึ่งในอาวุธที่ข้าสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อเป็นตัวช่วยในการดึงธาตุทองออกมา เป็นเพราะได้รับความเสียหายจากครั้งก่อน จึงไม่สามารถเก็บกลับมาได้ ตอนนี้ต้องการดึงพลังแห่งฟ้าดินใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่าต้องใช้อาวุธชิ้นใหม่” เย่ว์หลงหัวเราะ หลังจากโบกมือข้างหนึ่ง กลุ่มแสงสีเขียวนับร้อยค่อยๆ บินลงมาจากฟ้า หลังจากที่ร่วงหล่นมาในบริเวรของที่ลุ่ม นี้ กลายเป็นเสามรกตสัมฤทธิ์มากกว่าร้อยต้นกระจายบนพื้นดินอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เพียงเท่านี้เสาทุกต้นก็สว่างไสวเหมือนดังทีแรก
เย่ว์หลงบริกรรมคาถา มือทั้งสองข้างทำท่าร่ายมนตร์
บนพื้นดินพลันปรากฏเสียงกึกก้อง เสาสัมฤทธิ์มรกตล้วนสั่นคลอนจนพร่ามัวอยู่ชั่วขณะ ทันใดนั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ ล้อมรอบหานลี่และเย่ว์หลงให้อยู่ที่ใจกลาง
“เสาวายุทองทั้งหมดมีหนึ่งร้อยแปดต้น เพียงพอที่จะสร้างเป็นเขตอาคมมารวาโยทอง หากมีค่ายกลนี้ ก็สามารถบั่นทอนพลังส่วนมากของพลังแห่งฟ้าดินลงได้ไม่ยาก ท่านนักพรตเคลื่อนไหวตามที่ข้ากล่าวเมื่อวาน ก็สามารถควบคุมพลังแห่งฟ้าดินนี้ได้อย่างง่ายดาย” เย่ว์หลงรอให้เขตอาคมเป็นรูปเป็นร่างอธิบายออกมาหลายประโยค
“ดี ท่านนักพรตร่ายคาถาให้เต็มที่เถอะ ถึงเวลานั้นข้าจะเป็นผู้ลงมือด้วยตนเอง” หานลี่ตอบด้วยสีหน้าปกติ หลังจากร่างกายเลือนรางก็ไปปรากฏบนยอดเสาสัมฤทธิ์มรกตต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ยืนไพล่หลังไม่ขยับเขยื้อน
เย่ว์หลงเห็นเช่นนี้ ย่อมยินดีเป็นอย่างมาก กวัดแกว่งแขนเสื้อไปมาอีกครั้งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จานแปดเหลี่ยมและธงอาคมพุ่งออกมาติดต่อกันอย่างหนาแน่น แปรเปลี่ยนเป็นประกายพุ่งไปยังขอบของที่ราบลุ่ม
หลังจากผ่านไปไม่นาน นอกจากเขตอาคมสัมฤทธิ์มรกตแล้วยังมีเขตต้องห้ามที่มีพลังบางอย่างอื่นๆ อีกเจ็ดถึงแปดชนิดติดตั้งอยู่
ในเวลานี้เย่ว์หลงอ้าปากอีกครั้ง พ่นของวิเศษที่มีพลังไม่เหมือนกันออกมาห้าชิ้น
ขวดหยกคอเรียวสีขาว น้ำเต้าสีม่วงทอง เข็มทิศแม่เหล็กสีเขียว เตาหลอมสีเงินซีดและพัดขนนกสีแดงฉาน
ของวิเศษห้าชิ้นนี้บินออกมาวนเวียนรอบตัวเย่ว์หลงอย่างมีชีวิตชีวา
เย่ว์หลงคว้าเข็มทิศแม่เหล็กสีเขียวออกมาจากกลุ่ม
สิ้นเสียง “ปึง” เข็มทิศแม่เหล็กพลันหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง แปรเปลี่ยนเป็นเข็มทิศขนาดใหญ่หลายจั้ง หลังจากมีแสงพร่ามัวบนพื้นผิวครู่หนึ่ง เปลี่ยนเป็นท้องฟ้าสีดำที่มีแสงสีเงินส่องประกายไม่หยุดราวกับดวงดารานับล้านดวง
นาทีนี้ เย่ว์หลงพลิกมือสองข้างคว่ำลงโดยพร้อมเพรียงกัน กลางฝ่ามือสองข้างปรากฏไข่มุกเม็ดกลมสีเงินซีดสามสีและตาข่ายไหมสีดำหนึ่งผืน ขว้างไปทางหานลี่โดยไม่ลังเล
“นี่คือของวิเศษสองชิ้นที่สามารถต้านทานพลังแห่งฟ้าดินได้ ที่เมื่อวานข้าได้รับปากแก่ท่าน เพียงแค่ท่านต้องการใช้ประโยชน์จากมัน ก็ใช้ได้โดยไร้ขีดจำกัด” เย่ว์หลงเผยสีหน้าจริงจัง
“ขอบคุณท่านนักพรต ข้าจะใช้อย่างระวัง” หานลี่รับของวิเศษสองชิ้นนี้ไว้ กล่าวออกมาประโยคหนึ่ง หลังจากกวาดตาดู
เย่ว์หลงพยักหน้า นั่งขัดสมาธิลง จ้องมองไปที่เข็มทิศแม่เหล็กที่อยู่ด้านหน้าอย่างเงียบๆ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป หลังจากผ่านไปสองชั่วยามเต็มๆ ทันใดนั้นเข็มทิศแม่เหล็กสีเขียวที่เปลี่ยนไปเป็นท้องฟ้าพลันกระเพื่อมพร่ามัวครู่หนึ่ง ดวงดาวนับไม่ถ้วนที่ไม่น่าดึงดูดสายตาในตอนแรกพลันส่องแสงเป็นประกาย คลื่นประหลาดถูกส่งผ่านออกมาจากเข็มทิศแม่เหล็ก
“ท่านนักพรตโปรดวางใจ การเปลี่ยนแปลงของดวงดาวเริ่มต้นขึ้นแล้ว ข้าน้อยจำเริ่มดึงพลังแห่งฟ้าดินแล้ว” เย่ว์หลงเห็นฉากนี้ แววตาพลันเป็นประกาย ตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความเร่าร้อน
ทันใดนั้นเขาก็ตบพื้นด้วยมือข้างเดียว หลังเสียง “ปึง” ดังอู้อี้ คลื่นที่มองไม่เห็นก็กลิ้งออกไปจากใต้เขาทันที ทุกที่ที่พาดผ่าน พื้นดินส่งเสียงดังกึกก้อง
เขตต้องห้ามพวกนั้นที่ถูกติดตั้งอยู่โดยรอบก็ล้วนส่งเสียงดังสนั่นออกมาโดยพร้อมเพรียง แล้วส่งม่านแสงออกมาทีละชั้นๆ แล้วยังส่งหมอกหนาออกมา ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าไม่หยุด
เกี่ยวกับเสาสัมฤทธิ์มรกตหนึ่งร้อยแปดต้นที่อยู่กลางที่ลุ่ม หลังจากส่งแสงออกมาอย่างบ้าคลั่งครู่หนึ่ง อักษรรูนสีทองส่องประกายออกมาทีละเส้นๆ วางเป็นเสาทองที่ระยิบระยับสุดตระการตา
เย่ว์หลงเห็นดังนี้จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ ครู่หนึ่งลุกขึ้นยืน หลังจากสะบัดแขนส่งน้ำเต้าม่วงทองเข้าไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
น้ำเต้านี้สั่นแล้วหันกลับมาอย่างเงียบๆ โดยทันที หลังจากรัศมีแสงม้วนออกจากปากของน้ำเต้า ฝุ่นไม่ทราบชื่อบางอย่างสีทองเรืองรองถูกพ่นออกมา
ฝุ่นพวกนี้มองดูแล้วละเอียดเป็นอย่างมาก ในตอนที่ถูกปล่อยออกมาต่างก็ร่วงหล่นพื้นโดยตรงราวกับมีน้ำหนักมาก…