A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2309 ศัตรูตัวฉกาจมาเยือน
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2309 ศัตรูตัวฉกาจมาเยือน
ท้องฟ้าถูกกรงเล็บขนาดใหญ่สองข้างฉีกกระชากออกจากกัน เผยให้เห็นรอยแยกของมิติสายหนึ่งที่มีความยาวกว่าพันจั้ง
เงาสีดำสั่นไหว เงาร่างขนาดใหญ่คล้ายภูเขาลูกเล็กโผล่ออกมาจากรอยแยก แสงสว่างวูบหนึ่ง ลำแสงอีกสองสายก็พุ่งตามออกมาติดๆ
หลังจากแสงจางลง ลำแสงสองสายนั้นแบ่งออกเป็นนักพรตหนุ่มคนหนึ่งและชายหนุ่มผอมแห้งในชุดสีเหลืองอีกคนหนึ่ง
หลังไอสีดำบนเงาร่างขนาดใหญ่นั้นหายไป ในที่สุดก็แสดงให้เห็นถึงใบหน้าที่แท้จริง ที่แท้เป็นยักษาสีดำที่มีเขาโค้งงออยู่บนศีรษะและมีเดือยกระดูกสั้นเป็นแถวอยู่บนหลัง ใบหน้าของเขามองแล้วธรรมดาไม่ต่างจากชายหนุ่มทั่วๆ ไป ถึงแม้จะดูเรียบง่ายและใจดี ทว่ากลิ่นอายที่ไหลออกมาจากร่างกายของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวจนแทบจะหยุดหายใจ
“เทพปู้เมี่ยมีอิทธิฤทธิ์มากมายถึงเพียงนี้ ที่แท้พึ่งแค่ร่างจำแลงก็สามารถฉีกกระชากอากาศ ทำให้พวกข้าเข้ามาในมิติแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย” ชายหนุ่มในชุดสีเหลืองมองสำรวจรอบด้านเล็กน้อย ก็หันมาพูดกับยักษาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ ต้องขอบคุณพี่หวงที่ใช้ประตูสมประสงค์จิ่วฮวนเพื่อคลายพลังของส่วนต่อประสานของมิตินี้ลงไปแปดถึงเก้าส่วน มิฉะนั้นใช้เพียงแค่พลังของข้าเพียงคนเดียวจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร” หลังยักษาหัวเราะเล็กน้อย เปลวไปสีดำบนร่างกายพลันกลิ้งออกไป ร่างหดเล็กลงกลายเป็นชายร่างใหญ่สูงสองจั้ง
“ฮ่าๆ พูดเช่นนี้ก็มิผิด แต่หากไม่มีอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งของท่านนักพรตทำลายพลังของโลกนี้ส่วนใหญ่ไป การเข้ามายังที่แห่งนี้คงเป็นไปไม่ได้” ชายหนุ่มชุดเหลืองกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
“เอาล่ะ พวกเจ้าหยุดยกยอกันเองได้แล้ว อาตมาไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังเรื่องไร้สาระเช่นนี้ รีบหาคนผู้นั้นให้พบโดยเร็วและรีบจบเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดจะดีกว่า” นักพรตหนุ่มข้างกายที่บนใบหน้าของเขามีลวดลายอสรพิษสีเขียวเข้ม กลอกตาสองข้างแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา รูม่านตาของเขาเรียวและตั้งตรงราวกับดวงตาของอสรพิษ
“นักพรตซานเฉวียนไม่ต้องรีบร้อนไป แม้ว่าชิงหยวนจื่อจะเพิ่งเริ่มเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ ก็ไม่มีทางที่จะสิ้นสุดลงภายในสามถึงห้าวัน เวลาเหล่านี้เพียงพอแล้วสำหรับพวกเราที่จะไปถึงยังสถานที่ที่เขาต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์” ชายหนุ่มชุดเหลืองตอบด้วยท่าทีสบายๆ
แน่นอนว่าชายหนุ่มชุดเหลืองผู้นี้คือหวงหยวนจื่อ อีกสองคนข้างเขาคือผู้แข็งแกร่งจากระดับมหาเมธี ‘เทพปู้เมี่ย’ และ ‘นักพรตซานเฉวียน’
“ดูเหมือนว่าเพื่อที่จะจัดการกับชิงหยวนจื่อ เจ้าได้วางแผนบางอย่างมาเป็นเวลานานแล้ว เวลาและสถานที่ที่ต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์คงอยู่ในมือของเจ้าแล้ว” นักพรตหนุ่มเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหวงหยวนจื่อเล็กน้อย เอ่ยออกมาด้วยท่าทีประหลาด
“นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว โดยพื้นฐานแล้วชิงหยวนจื่อไม่ใช่สมาชิกของพวกเราเผ่าอายุยืน จิตวิญญาณดั้งเดิมเผ่าต่างแดนของเขาได้ยึดครองร่างเนื้อของญาติผู้พี่ของข้าผู้หนึ่ง จึงสามารถฝึกฝนได้จนถึงระดับนี้ ในตอนนั้นพี่ชายท่านนั้นเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าได้ละทิ้งสกุลเดิมของตัวเอง เปลี่ยนเป็นชื่อที่ใช้อยู่ในทุกวันนี้ เพื่อระลึกถึงการแก้แค้นครั้งสำคัญ หวังว่าวันหนึ่งจะสามารถนำร่างของพี่ชายท่านนั้นกลับไปยังเผ่าได้อีกครั้ง” เสียงของหวงหยวนจื่อพลันน่าเกรงขามขึ้นมา
“ที่แท้ท่านนักพรตและชิงหยวนจื่อมีความแค้นอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ วางใจเถิด ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ในสิ่งที่ต้องการอย่างแน่นอน” ดวงตาของชายร่างยักษ์เป็นประกายวูบหนึ่ง พูดพึมพำด้วยปากอันใหญ่โตของเขา
“ข้าไม่สนใจความโกรธแค้นระหว่างเจ้ากับชิงหยวนจื่อ ให้สิ่งตอบแทนมากแค่ไหนก็ไม่มีผล ส่วนเรื่องที่สุดท้ายแล้วเจ้าจะสามารถฆ่าชิงหยวนจื่อได้หรือไม่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเอง” ซานเฉวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ
“วางใจ ที่ข้าพาพี่ซานเฉวียนมาด้วยเป็นเพราะความรู้เกี่ยวกับเขตอาคมของท่าน ด้วยตำแหน่งปรมาจารย์ด้านเขตอาคมของท่าน ผนวกกับประตูสมประสงค์จิ่วฮวนของข้า เขตอาคมเหล่านั้นที่ชิงหยวน
จื่อติดตั้งไว้ สำหรับพวกเราแล้วราวกับเป็นเรื่องสมมติขึ้น” หวงหยวนจื่อไม่แม้แต่จะโกรธเคือง กลับกันแล้วยังเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจในแผนการ
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ข้าได้ยินมาว่าชิงหยวนจื่อผู้นั้นค่อนข้างมีความเชี่ยวชาญในเขตอาคม เขตต้องห้ามที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้คงมิใช่เล่นๆ อย่างแน่นอน” สีหน้าของนักพรตซานเฉวียนอ่อนลงเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่หนักไม่เบา
“ฮ่าๆ ข้าเชื่อใจพี่ซานเฉวียนมาก เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ ในครั้งนี้ข้ากับชิงหยวนจื่อมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถออกไปจากมิติแห่งนี้ได้โดยยังมีลมหายใจ” หลังจากหวงหยวนจื่อหัวเราะเสียงดัง สะบัดแขนเสื้อกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปในอากาศ
เทพปู้เมี่ยและนักพรตซานเฉวียนมองหน้ากันเองเล็กน้อย ร่างกายกลายเป็นลำแสงพุ่งตามหวงหยวน
จื่อออกไปติดๆ
…
ในหุบเขาเหนือลานกว้างขนาดใหญ่สูง ชิงหยวนจื่อนั่งขัดสมาธิลอยอยู่กลางอากาศ กระบี่บินสีเขียวหลายสิบเล่มหมุนวนอยู่รอบตัวของเขา ใบหน้าเรียบเฉยดวงตาสองข้างปิดสนิท
ที่ด้านล่างของเขา ธงนับร้อยผืนส่องแสงวิญญาณกะพริบออกมา รัศมีแสงทั้งห้าหลั่งไหลออกมาทีละชั้น แปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนที่งดงามนับไม่ถ้วนลอยอยู่เหนือลานกว้างขนาดใหญ่
ศาสตรายุทธ์ที่จัดเรียงไว้ในแต่ละชั้นด้านล่างลานกว้างขนาดใหญ่ ในเวลานี้ส่งเสียงต่ำอื้ออึงออกมาไม่หยุด ไอมงคลหลั่งไหลออกมาจากพวกมันหลากหลายสาย แล้วหายไปในอากาศที่ว่างเปล่า
รูปปั้นนับพันรูปรอบลานกว้างขนาดใหญ่ยังคงนิ่งสงบเหมือนดังตอนแรก ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนลานกว้างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกมันเลย
หยวนเหยายืนอยู่ด้านล่างของธงผืนหนึ่งด้วยความเป็นกังวล เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า
เห็นเพียงแค่ท้องฟ้าในเวลานี้มีเมฆสีแดงเคลื่อนตัวไปมา ลมสีดำพัดโหมกระหน่ำ ที่ที่ลมพัดผ่านล้วนแต่สั่นสะเทือนเล็กน้อย
เมฆสีแดงยิ่งเคลื่อนตัวยิ่งมีความหนามากขึ้น มองจากที่ไกลๆ ท้องฟ้าทั้งหมดถูกปกคลุมเกือบหมด มีกลิ่นอายร้อนอบอ้าวอบอวลอยู่ภายในอย่างพร่ามัว
ไม่นานหลังจากนั้น แสงสีแดงก็ส่องประกายในเมฆหมอก ลูกบอลแสงที่ร้อนระอุหลายลูกก็รวมกลุ่มกันออกมาอย่างหนาแน่น หลังจากฟ้าร้องดังขึ้น ก็ร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝน
ในเวลาเดียวกัน ชิงหยวนจื่อที่อยู่ด้านล่างลืมตาขึ้น ขยับแขนชี้นิ้วมือขึ้นไปบนฟ้า
เสียงราวกับมีบางอย่างพุ่งฝ่าอากาศออกไปดังขึ้นเบาๆ
ปราณดาบสีเขียวที่ยาวกว่าพันจั้งสายหนึ่งปรากฏขึ้นเพื่อตอบโต้ ภายใต้การร่ายรำเล็กน้อย ก็แปรเปลี่ยนเป็นม่านแสงสีเขียวเรืองรองชั้นหนึ่ง ปกคลุมลานกว้างขนาดใหญ่ทั้งหมดไว้ภายใต้มัน
กลุ่มของแสงสีแดงตกลงมาบนม่านแสงสีเขียว ต่างก็แตกออกเป็นประกายไฟนับไม่ถ้วนที่บินไปรอบๆ ทว่าทันทีที่สัมผัสกับกระบี่แสงก็สลายหายไปในอากาศโดยทันที ไม่มีแม้แต่ที่สามารถทะลวงม่านแสงจากดาบเข้าไปได้
ทว่าเห็นได้ชัดว่าลูกบอลแสงสีแดงเหล่านี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของทัณฑ์สวรรค์เพียงเท่านั้น
หลังจากที่ลูกบอลแสงหลายหมื่นลูกตกลงมา ก็เกิดเสียงฟ้าร้องบนท้องฟ้า สายฟ้าสีม่วงทองปรากฏขึ้นอีกครั้งและกลายเป็นลูกศรสายฟ้านับไม่ถ้วนที่พุ่งตรงลงมา
ในเวลาเดียวกัน หลังจากที่ลมกรรโชกสีดำเหล่านั้นควบแน่น ก็พัดลงมาด้านล่าง
ลมนั้นยังไม่ทันพัดลงมาจริงๆ ภายในมีเสียงบางอย่างวิ่งวนอยู่ภายใน คมมีดวายุที่เกือบจะโปร่งแสงถูกซัดออกมา
แสงสีขาวปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าในชั่วขณะหนึ่ง
“มาก็ดี”
เมื่อชิงหยวนจื่อเห็นฉากนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ประหลาดใจ กลับตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ แสงสีเขียวส่องประกายวิบวับออกมาจากร่างกายของเขา ในขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างก็ดีดลำแสงออกไปในอากาศ
แสงสีเขียวของม่านกระบี่กลางอากาศพลันรวมตัวกัน แปรเปลี่ยนเป็นแสงกระบี่ที่มีความยาวมากกว่าพันจั้งอีกครั้ง หลังจากเคลื่อนที่ไปมา มังกรสีเขียวมรกตขนาดยักษ์ปรากฏตัวออกมา
มังกรตัวนี้ร่ายรำอย่างดุเดือดบนท้องฟ้าด้วยเขี้ยวและกรงเล็บของมัน ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ไหนก็มีเสียงดังทะลุทะลวงในอากาศ ปราณกระบี่ไขว้กัน คมมีดลมสีม่วงทองล้วนแต่ถูกสกัดกั้นด้วยพลังอันยิ่งใหญ่นี้
หยวนเหยาที่อยู่ ณ มุมหนึ่งบนลานกว้างขนาดใหญ่เห็นสิ่งนี้ รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
ในขณะนั้น ท้องฟ้าก็กลับกลายเป็นสีแดงสดอีกครั้ง เมฆสีแดงทั้งหมดก็สลายออก เผยให้เห็นแม่น้ำลาวายาวที่ไหลไปมา เวลาต่อมา คลื่นเพลิงในแม่น้ำก็ซัดรวมเข้าด้วยกัน เป็นลาวาก็ไหลออกสู่ท้องฟ้า
การเคลื่อนไหวนั้นยิ่งใหญ่มากราวกับท้องฟ้าจะลุกเป็นไฟ
เมื่อเห็นฉากนี้ หยวนเหยาก็อดยิ้มไม่ได้
ชิงหยวนจื่อกลับทำท่าทางร่ายคาถาด้วยมือข้างเดียวอย่างสบายๆ อักษรรูนเหล่านั้นที่หลั่งไหลออกมาจากค่ายกลธงบินขึ้นไปบนท้องฟ้าในทันที หลังจากหมุนอย่างนิ่งๆ ไม่นาน ก็กลายเป็นค่ายกลยันต์ห้าสีแห่งหนึ่ง
ค่ายกลยันต์นี้อยู่ภายใต้การกระตุ้นโดยเคล็ดวิชา ภายในมีเสียงดังอื้ออึง ไหมผลึกห้าสีนับหมื่นเส้นพุ่งออกมาจากมันอย่างบ้าคลั่ง พวกมันเจาะทะลุลาวาที่ตกลงมา เปลี่ยนเป็นควันสีเขียวสลายไปในอากาศ
ในเวลานี้ชิงหยวนจื่อได้ส่งเสียงหวีดยาวและใช้มือหนึ่งตบฝาครอบวิญญาณสวรรค์ แสงสีเขียวส่องประกายในทันที คนตัวเล็กสีเขียวสวมชุดคลุมยาวปรากฏออกมา ถูมือทั้งสองข้างด้วยกัน ยกมือขึ้นไปทางท้องฟ้า ปราณกระบี่สีเขียวหลั่งไหลออกมามากมาย พลังของทุกสายนั้นน้อยกว่าปราณในตอนแรก
ชิงหยวนจื่อรู้ดีว่าจนถึงตอนนี้ ความน่ากลัวของทัณฑ์สวรรค์เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
…
สิบวันต่อมา ท้องฟ้าภายในรัศมีหมื่นลี้ที่ใจกลางของหุบเขาถูกปกคลุมด้วยเมฆสีดำที่ม้วนตัวไปมา พายุฝนฟ้าคะนองไม่หยุด ส่งเสียงฟ้าร้องดังสนั่นไปทั่วทั้งผืนฟ้าไม่หยุดหย่อน และรัศมีลำแสงห้าสีก็ปรากฏขึ้นเป็นระยะ
เห็นได้ชัดว่าขณะนี้ทัณฑ์สวรรค์ได้มาถึงช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุดแล้ว
บนยอดของเขาขนาดเล็กที่อยู่ห่างออกไปหมื่นลี้ เงาร่างสามร่างยืนอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ขนาดใหญ่ เฝ้ามองหุบเขาที่อยู่ห่างไกลอย่างเงียบๆ
คนหนึ่งร่างกายสูงใหญ่ คนนึงสวมชุดนักพรต และอีกคนผอมแห้ง ที่แท้สามคนนี้คือผู้แข็งแกร่งระดับมหาเมธี เทพปู้เมี่ย นักพรตซานเฉวียนและหวงหยวนจื่อตามลำดับ
พวกเขามาถึงที่นี่เมื่อสองวันก่อน และอดทนเฝ้ารอเวลาสำหรับโอกาสที่จะลงมือ
“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าทัณฑ์สวรรค์ใหญ่ของชิงหยวนจื่อจะรุนแรงถึงเพียงนี้ หากเป็นข้าล่ะก็ คงมีโอกาสไม่มากที่จะสามารถเอาชนะมันได้ในเวลานี้” เทพปู้เมี่ยถอนหายใจยาว กล่าวอย่างช้าๆ
“มิผิด แม้ว่าเป็นข้าที่ต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์นี้ ก็มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่จะไม่สามารถข้ามผ่านมันไปได้ ชื่อเสียงอันโด่งดังของชิงหยวนจื่อ เห็นได้ชัดว่ามิใช่ข่าวลือ” นักพรตซานเฉวียนมีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดียวกัน หวงหยวนจื่อสีหน้ามืดครึ้มลง หลังจากได้ยินคำพูดที่ทั้งสองคนพูดกัน พลันหัวเราะเยาะขึ้นมา
“แม้ว่าชิงหยวนจื่อจะมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าพวกเราแล้วอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาสามารถรอดพ้นจากทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้ได้หรือไม่ ต่อให้เขาเอาชนะมันได้ พลังปราณคงได้รับความเสียหายหลายส่วน จะรอดพ้นจากการร่วมมือของพวกเราสามคนได้เช่นไร คงเป็นเรื่องยากที่จะหลีกหนีจากจุดจบของวิญญาณ”
“เรื่องนี้ก็ถูก ต่อให้ชิงหยวนจื่อจะมีพลังยุทธ์มากมายล้นฟ้า ในครั้งนี้ก็ยากที่จะหลีกหนีจากทัณฑ์สวรรค์ได้” เทพปู้เมี่ยพยักหน้าเล็กน้อย มีท่าทีเห็นด้วยเป็นอย่างมาก
“เมื่อดูจากแนวโน้มของทัณฑ์สวรรค์นี้ อย่างน้อยคงดำเนินต่อไปอีกห้าหรือหกวัน พวกเราควรรีบที่จะเตรียมการทำลายเขตต้องห้ามรอบนอกนี้ทิ้งเสีย มิฉะนั้นหลังจากทัณฑ์สวรรค์สิ้นสุดลง ชิงหยวนจื่อคงหลบหนีออกไปทันที” นักพรตซานเฉวียนมองไปที่เมฆสีดำที่หุบเขา กล่าวอย่างเย็นชา
“ใกล้จะได้เวลาแล้ว เหอะ ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของชิงหยวนจื่อ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าพวกเรากำลังจะทำลายเขตต้องห้ามพวกนี้ ข้าเชื่อว่าเขาจะไม่สนใจอย่างแน่นอน อย่างมากที่สุดคงใช้เพียงผู้สืบทอดบางส่วนมาจัดการเพียงเท่านั้น!” หวงหยวนจื่อกล่าว
“ผู้สืบทอด? ฮ่าๆ ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าชิงหยวนจื่อจัดเตรียมผู้สืบทอดแบบใดกัน ยิ่งตอนนี้เขาใช้ผู้สืบทอดมากมายเท่าไร ในท้ายที่สุดพวกเราก็สามารถจัดการเขาได้อย่างง่ายดาย!” เทพปู้เมี่ยหัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง…