A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2311 ลอบมอง
หานลี่ใช้เวลาหลายสิบวัน กว่าจะสามารถช่วยเย่ว์หลง เผ่าวิญญาณเหาะเหินหลอมหยวนจิงไม้และทองสองชนิดออกมาได้
เย่ว์หลงดีใจอย่างมาก เขาไม่มีทางเสียใจที่ได้จ่ายค่าตอบแทนไปขนาดนั้นแน่นอน เขามีความสุขมากที่สามารถหลอมหยวนจิงออกมาได้ เขาจึงแบ่งให้หานลี่หนึ่งชิ้น เพราะอีกฝ่ายช่วยเขาไว้เยอะมากเวลาที่อยู่ในถ้ำ
หานลี่ปฏิเสธแบบอ้อมๆ จากนั้นก็รีบออกเดินทางต่อ ในที่สุดเขาก็สามารถพาทุกคนมาที่จุดอ่อนแอที่สุดของมิติได้แล้ว เขาก็ใช้กระบี่จิตวิญญาณสวรรค์ทมิฬผ่าลงไปตรงกลางอย่างแรง และกระตุ้นเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณมารก็พุ่งเข้ามา
ตอนที่เซวี่ยพั่วได้ยินคำพูดของหานลี่เขาก็ยิ้มพร้อมตอบกลับมาว่า
“มิตินี้มหัศจรรย์มาก ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสท่านนี้ก็มีความสามารถมาก ไม่แน่ว่าท่านก็อยู่ระดับมหาเมธีเช่นกัน”
“ครั้งนี้แม่นางทายได้ผิดแล้ว แม้ว่าคนที่ข้าประมือด้วยจะมีฝีมือไม่อ่อนด้อย แต่ครั้งที่แยกทางกับข้าไปเมื่อครั้งที่แล้ว เขาอยู่ระดับหลอมสูญ ไม่สามารถขึ้นไปสู่ขั้นระดับมหาเมธีได้แน่นอน น่าจะอยู่ระดับผสานอินทรีย์มากกว่าเสียล่ะมั้ง เป็นไปได้ว่าอาจารย์ของนางคือคนระดับมหาเมธี” หานลี่กล่าวเสียงเรียบ
“อาจารย์ระดับมหาเมธี อยู่ระดับผสานอินทรีย์ ช่างน่าอิจฉาเสียจริง ในตอนที่ข้าน้อยจะเข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์ ผ่านความลำบากมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แม้กระทั่งร่างหลักของข้าในตอนนี้ก็ถูกผนึกอยู่ที่ดินแดนอื่นแล้ว” เซวี่ยพั่วได้ยินเช่นนั้น จึงถอนหายใจออกมาด้วยความแปลกใจ
“หึๆ แม่นางอย่าได้ดูถูกตัวเองเกินไป แค่ตอนนั้นท่านดวงไม่ค่อยดีเท่านั้น หลังจากที่ช่วยร่างหลักออกมาได้แล้ว หากอยากจะเลื่อนขั้นก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร” หานลี่หัวเราะเบาๆ
“หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นก็แล้วกัน” เซวี่ยพั่วยิ้มอย่างขมขื่น
หานลี่ยิ้มเล็กน้อย แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ กลางฝ่ามือของเขามีม้วนหนังสือหยกสีดำอ่อนปรากฏขึ้นมา จากนั้นเขาก็นำมาแตะที่หน้าผากเบาๆ
นี่คือแผนที่ที่เขาได้รับมาจากชิงหยวนจื่อ
หานลี่ใช้จิตสัมผัสกวาดสำรวจรอบๆ บริเวณบึงใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็สามารถระบุตำแหน่งของตัวเองได้ และเหมือนว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากจวนของชิงหยวนจื่อมากนัก
สุดยอดไปเลย!
หลังจากที่เขาเก็บม้วนคัมภีร์หยกกลับมา เขาก็กระตุ้นเรือยักษ์สีดำลำนั้นให้พุ่งออกไปทิศทางที่เขาต้องการ
หนึ่งวันต่อมา เรือยักษ์สีดำลำนั้นกำลังเข้ามาในบริเวณเขตของจวนชิงหยวนจื่อแล้ว หานลี่ที่นั่งสมาธิอยู่ที่หัวเรือก็ลืมตาขึ้นมา ใบหน้าของเขาแสดงสีหน้าตกใจอย่างมาก
“เป็นระลอกคลื่นที่รุนแรงมาก นี่…นี่มันระลอกคลื่นของทัณฑ์สวรรค์ใหญ่ หรือว่ามีใครบางคนที่กำลังผ่านด่านเคราะห์ แต่เมื่อนับจากเวลาแล้ว ชิงหยวนจื่อเหมือนจะได้รับทัณฑ์สวรรค์ในเวลานี้เหมือนกัน หรือว่าเขาจะล้มเหลว…”
หานลี่บ่นพึมพำ สีหน้าของเขาที่สดใสเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มทันที เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมาร่ายคาถา จากนั้นเรือสีดำที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของก็ส่งเสียงครืนๆ แล้วหยุดกลางอากาศทันที
เขาลุกขึ้นยืน ทันทีที่เขากระทืบเท้าข้างหนึ่ง บนร่างกายของเขาก็เรืองแสงขึ้นมา จากนั้นก็รวมกันเป็นสายรุ้งสีเขียว แล้วพุ่งทะยานออกไป
ในตอนนั้นเอง เหนือเรือบินลำยักษ์ก็มีเสียงทุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน เฝ้าเรือศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ข้าจะไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
สิ้นเสียงนั้นรุ้งสีเขียวก็หายตัวไปในกลางอากาศ
ตอนนั้นเองจูกั่วเอ๋อร์ เซวี่ยพั่วและคนอื่นๆ ที่เพิ่งเดินออกมาจากท้องเรือ พวกเขามองตามทิศทางที่หานลี่จากไปด้วยความตกใจ
หานลี่ทุ่มพลังทั้งหมดในการกระตุ้นสายรุ้ง จึงทำให้การควบคุมสายรุ้งของเขานั้นเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ระลอกคลื่นนั้นไม่ได้อยู่ใกล้กับจุดที่เขาอยู่เลย หลังจากที่เขาบินมาหนึ่งจิบชา เขาถึงได้เห็นเมฆทัณฑ์สวรรค์สีดำจากระยะไกลๆ และตามด้วยเสียงฟ้าร้องลิบๆ
“แต่ว่ายังมีมหาเมธีคนอื่นอยู่”
หลังจากที่บินไปด้านหน้าอยู่ครู่หนึ่ง หานลี่ก็เบิกตากว้าง ใจกระตุกอย่างรุนแรง
สายรุ้งสีเขียววิ่งวนไปรอบๆ และแสงนั้นค่อยๆ หายไป ทันทีที่หายไปร่างกายของเขาก็ปรากฏอยู่กลางอากาศ และกำลังมองเมฆทัณฑ์สวรรค์ที่อยู่ไกลๆ อย่างครุ่นคิด
“หนึ่งคน สองคน สามคน คาดไม่ถึงว่าจะมีมหาเมธีอยู่ที่นี่เยอะขนาดนี้ แล้วยังไม่ปกปิดปราณของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าคนพวกนั้นไม่ได้หวังดีกับคนที่อยู่ในด่านเคราะห์นั่น แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ด่านเคราะห์ที่ว่าจะใช่ชิงหยวนจื่อหรือไม่ หากไม่ใช่ล่ะก็ เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปวุ่นวาย” หลังจากหานลี่มองไปที่นั่นอยู่ครู่หนึ่ง เขาบ่นกับตัวเองขึ้นมา
เขาก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ มือข้างหนึ่งของเขาจับศีรษะพร้อมอ้าปากคายแก่นปราณสีเขียวออกมา
แก่นปราณนี้วิ่งวนอยู่ด้านหน้าของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นมันควบแน่นกลายเป็นผลึกอันหนึ่ง
มือข้างหนึ่งของหานลี่ร่ายคาถา สองตาปิดสนิท จากนั้นอยู่ๆ ก็มีคราบเลือดที่กลางหน้าผากตรงระหว่างคิ้วของเขา ปราณสีดำลอยออกมาจางๆ วินาทีต่อมาดวงตาสีดำสนิทก็ปรากฏเป็นแนวตั้งอยู่กลางหน้าตาของเขา
แสงสีดำสว่างขึ้น
ดวงตาเรียวรีสีดำ ปรากฏขึ้นเป็นแนวตั้ง
วินาทีถัดมา พื้นผิวของผลึกสีเขียวก็เรืองแสงขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ปรากฏภาพสถานการณ์ที่เลือนรางขึ้น
หานลี่หลับตาสนิท จากนั้นก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง แล้วมองภาพเหตุการณ์ในผลึกอย่างระมัดระวัง
เขาเห็นเพียงกลุ่มหมอกสีดำและสายฟ้าสีม่วงดำกะพริบไปมา จากนั้นเขาก็ไม่เห็นสิ่งใดอีกเลย
หานลี่ขมวดคิ้วขึ้นมาเบาๆ กลางฝ่ามือของเขาเริ่มร่ายคาถาอีกครั้ง
ทันใดนั้นภาพในผลึกก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หลังจากเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มเห็นต้นไม้บางส่วน เนินเขา และทิวทัศน์อื่นๆ ขึ้นมา เหมือนกับว่าเป็นดวงตาของคนกำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ
สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน มือข้างหนึ่งของเขาที่ร่ายคาถาอยู่ก็หยุดลงทันที
เขาเห็นเพียงทะเลหมอกสีเลือดที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
ภายในทะเลหมอกนั้น มีซุ้มประตูขนาดใหญ่กำลังส่องแสงระยิบระยับอยู่ มีชายสามคนแต่งตัวด้วยลักษณะต่างกันยืนอยู่บนนั้น
หานลี่หรี่ตาลง เขารู้ได้ทันทีว่านั้นคือมหาเมธีสามคนที่เขาใช้จิตสัมผัสตรวจสอบได้
ในสามคนนั้นมีชายร่างยักษ์สูงสองจั้งยืนกอดอกอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหวไปไหน อีกคนหนึ่งกำลังกระตุ้นให้ซุ้มประตูเคลื่อนที่ไปในหมอกสีเลือดนั้น
ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนตัวไปที่ใดที่มีอักษรรูนห้าสีแผ่กระจายออกมา จนทำให้หมอกสีเลือดนั้นต้องเป็นฝ่ายคอยหลบทาง
ส่วนคนสุดท้ายเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดนักพรต ด้านหลังของเขามีเงาของงูหลามยักษ์สามตัวปรากฏออกมา มันอ้าปากพ่นแสงสามสีออกมา แต่ละตัวก็มีสีแตกต่างกัน จากนั้นพวกมันก็หายไป เหมือนกับน้ำแข็งละลาย
แต่ในส่วนลึกที่สุดของหมอกสีเลือดไร้เขตแดน อย่างไรก็ตามมีเงาดำจำนวนนับไม่ถ้วนส่องแสงขึ้นมา หมอกเลือดก็กระจายออกมาจากตัวของพวกมัน ราวกับว่ามันกำลังต่อสู้จากการคุกคามของซุ้มประตูและลำแสงสามสี
ในตอนที่หานลี่ใช้จิตสัมผัสไปรอบๆ ชายร่างยักษ์คนนั้นก็เหมือนจะจับสังเกตได้ แววตาของเขาสว่างวาบ จากนั้นก็ตะโกนขึ้นว่า
“ใครกันที่แอบลอบมองพวกข้าอยู่เช่นนี้”
สิ้นเสียงนั้นแขนของเขาก็ขยับขึ้น มือสีดำข้างหนึ่งก็โจมตีไปทางที่รู้สึกว่าโดนลอบมอง
“ตู้ม” เสียงดังเกิดขึ้น
อีกฟากหนึ่งที่เป็นพื้นที่ว่าง ระเบิดเสียงดังสร้างความเสียหายมาก
ทันใดนั้นเองเมฆสีดำที่ลากลมพายุออกมา ทำให้หมอกสีเลือดที่อยู่รอบๆ กระจายตัวออก
แต่ทุกอย่างมันกลับเงียบสงบ นักพรตหวงหยวนจื่อและนักพรตซานเฉวียนไม่สามารถจับความผิดปกติได้อยู่แล้ว เขากวาดสายตามองไปด้วยความประหลาดใจ
“มีอะไรหรือ สหายปู้เมี่ยพบอะไรเข้าหรือ” หลังจากหวงหยวนจื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ และทำการหยุดซุ้มประตู เขาก็ถามขึ้นเสียงเรียบ
การเคลื่อนไหวของพวกเขาแตกระแหงไปสองวันสองคืน เขาเกือบจะควบคุมค่ายกลขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าได้แล้ว เขาไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอื่นๆ เกิดขึ้น
“มีคนกำลังลอบมองพวกเรา แต่ข้าทำลายวิชาลึกลับของเขาไปแล้ว” ชายร่างยักษ์ตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา
“ใช่เด็กสาวคนก่อนที่เป็นคนสร้างเขตอาคมหรือไม่” หวงหยวนจื่อหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นเขาถามขึ้นอย่างช้าๆ
“ไม่น่าจะใช่ ระดับของเด็กนั่นไม่สูงถึงขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ข้าโจมตีเขาไปหนักขนาดนั้น ป่านนี้ไม่เจ็บหนักก็น่าจะตาย กล้าดีอย่างไรมาใช้วิชาลับแอบลอบสังเกตการณ์ข้า” ชายร่างยักษ์ส่ายหน้า เขาตอบอย่างมั่นใจ
“เช่นนั้นก็หมายความว่าเป็นแขกหน้าใหม่สินะ ระดับของเขาอยู่ขั้นไหนกัน เจ้ามองเห็นหรือไม่” หวงหยวนจื่อขมวดคิ้วแล้วถามต่อ
“ข้าแค่ทำลายวิชาของฝ่ายตรงข้ามไป ข้าจะตรวจสอบอย่างไรว่าเขาอยู่ระดับใด แต่เคล็ดวิชานี้เป็นวิชาที่ฉลาดมาก เด็กสาวคนนั้นทำไม่ได้ ดังนั้นระดับของเขาไม่น่าจะต่ำแน่นอน” ชายร่างยักษ์กล่าวอย่างลังเลใจ
“หากเป็นเช่นนั้นก็น่าจะลำบากแล้ว คนผู้นี้อาจจะอยู่ในระดับมหาเมธี หรือว่าเขาจะเป็นผู้ช่วยที่ชิงหยวนจื่อเป็นคนเชิญมา” นักพรตซานเฉวียนที่ได้ยินดังนั้น ก็พูดออกมาอย่างอดใจไม่ได้
“ผู้ช่วย อื้ม ไม่น่าใช่ล่ะมั้ง” สีหน้าของหวงหยวนจื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากที่เขาเงียบไปอยู่นาน เขาก็ส่ายหน้าพร้อมตอบเช่นนั้น
“อา สหาย เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ใช่” นักพรตซานเฉวียนขมวดคิ้ว เขาถามอย่างสงสัย
“ง่ายมาก หากเป็นผู้ช่วยของชิงหยวนจื่อ เขาจะเพิ่งมาปรากฏตัวในเวลาแบบนี้หรือ” หวงหยวนจื่อ
ตอบอย่างช้าๆ
“นั่นมันก็จริง หากเป็นผู้ช่วยของชิงหยวนจื่อ ในเขตอาคมนภาปีศาจ หากจะซ่อนตัวอยู่ตลอด ก็ต้องรอให้พวกเราทำลายเขตอาคมนี้เสร็จก่อน แต่การทำลายปราณแท้ที่เห็นผลที่สุดคือการลอบโจมตี” ซานเฉวียนครุ่นคิดไปสักครู่ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แล้วคนผู้นั้นจะเป็นมหาเมธีคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในมิติหุบเหวหรือไม่” นักพรตซานเฉวียนกลอกตาขึ้นไปมาแล้วถามซ้ำ
“หึๆ มหาเมธีคนอื่นที่อยู่ในหุบเหว ในตอนนี้ที่ชิงหยวนจื่อเผชิญด่านเคราะห์ได้เพราะว่าเขาใช้โอกาสที่มหาเมธีคนอื่นๆ ไม่อยู่ที่นี่ ก่อนหน้านี้ครึ่งปีคนเหล่านั้นโดนชิงหยวนจื่อโน้มน้าวให้ออกไปจากหุบเหวนี้แล้ว ภายในเวลาหนึ่งถึงสองปี พวกเขาไม่มีทางกลับมาหรอก” หวงหยวนจื่อตอบพร้อมยิ้มเย็นๆ
“หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ผู้ที่มาเยือนก็ยากจะพูดว่าเป็นมิตรหรือศัตรู แต่ตอนนี้พวกเราถูกขังอยู่ในเขตอาคม สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่ค่อยดีนัก” ชายร่างยักษ์พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“นั่นก็จริง ตอนแรกข้าคิดว่าจะถ่วงเวลาอีกสองวันแล้วค่อยใช้ศพแม่ลูกหยินเหลย แต่ดูเหมือนว่าเราจะต้องใช้มันตอนนี้แล้ว สหายซานเฉวียน เจ้าเตรียมตัวให้ดี ข้าจะทำลายค่ายกลนี้แล้ว ข้าจะดูก่อนว่าคนที่มาเยือนมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน” หวงหยวนจื่อถอนหายใจแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม