A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2317 เทือกเขาชื่อหรง
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2317 เทือกเขาชื่อหรง
“พี่หาน คำพูดของพี่เป็นแค่ความเห็นของคนนอก เหยาเอ๋อร์เป็นลูกสาวบุญธรรมของข้า ลี่เอ๋อร์ก็ศิษย์สายตรงของข้า พวกนางจะออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ในความเห็นของข้า ให้พวกนางอยู่ที่นี่อีกสักพักจะดีกว่าแล้วค่อยกลับเผ่าของพวกนาง” หลังจากชิงหยวนจื่อคิดไปคิดมา จากนั้นก็พูดว่า “โอ้ เจ้าพูดว่าอะไรนะ” หานลี่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจนิดหน่อย เขาจึงหันไปมองหยวนเหยาและเหยียนลี่
หยิงสาวทั้งสองก็มองมาพร้อมส่งยิ้มให้
“เรื่องนี้ให้หยวนเหยาเป็นคนอธิบายเถอะ มันเกินอำนาจของข้าแล้ว ให้สหายเข้าใจผิด คงพูดมากไม่ได้ แต่หากพวกนางต้องการจะจากไป ข้าก็ไม่ห้าม” ชิงหยวนจื่อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“พี่หาน เกรงว่าตอนนี้พวกเราทั้งสองคนจะไม่สามารถกลับเผ่าได้ทันที อย่างน้อยต้องอยู่กับอาจารย์อีกสองร้อยสามร้อยปี ถ้าพี่ตรวจกายหยาบของพี่สาวข้าก็จะเข้าใจ” หยวนเหยาเห็นมองมาจึงพูดเสียงเบา
“กายหยาบ?”
หานลี่รู้สึกสงสัยอย่างมาก จากนั้นก็ปลดปล่อยจิตสัมผัสไร้รูปร่างออกมา คลุมร่างของหยวนเหยาเอาไว้
หลังจากผ่านไปสักครู่ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ที่แท้กายเนื้อก็ไม่เสถียรเล็กน้อย หรือว่าเป็นเพราะตอนแรกที่เจ้าใช้พลังย้อนกลับทำให้มีผลกระทบต่ออนาคต”
“พี่หานเดาได้แม่นเหมือนตาเห็น! แม้ว่าในตอนแรกอาจารย์ข้าจะหลอมโอสถพิเศษหลายชนิด ทำให้กายหยาบของพวกเรากลับคืนมา แต่ร่างครึ่งผีครึ่งคนของข้ากับศิษย์น้องอยู่นานมาเกินไป จึงจำเป็นต้องใช้ของวิเศษสองชนิดจากแม่น้ำอเวจีเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับกายหยาบของข้า เพื่อให้แข็งแรง หากข้าจากไปที่นี่ในตอนนี้ เกรงว่ามันไม่เสร็จสมบูรณ์” เหยียนลี่อธิบายให้ละเอียดยิ่งขึ้น
“อย่างนี้นี่เอง หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ พวกเจ้าคงไม่เหมาะที่จะออกเดินทางตอนนี้” หานลี่พยักหน้า
“พี่หานวางใจเถอะ เหยาเอ๋อร์กับลี่เอ๋อร์พยายามอย่างหนักเพื่อช่วยข้าให้ผ่านเคราะห์สวรรค์ครั้งนี้ เดิมทีข้าวางแผนว่าหลังจากที่ข้าผ่านด่านเคราะห์แล้ว จะสอนวิชาที่ยากให้พวกนาง ระหว่างให้พวกนางอยู่ที่นี่ ไม่กี่ร้อยปีจากนี้ไม่ถือว่าเป็นการปล่อยเวลาอย่างเปล่าประโยชน์แน่นอน การที่พวกนางจะขึ้นไปในระดับนั้นก็มิใช่หรือที่เป็นไปไม่ได้” ชิงหยวนจื่อกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“พ่อบุญธรรม ข้ากับศิษย์พี่สามารถขึ้นไปถึงระดับมหาเมธีได้จริงหรือ” เมื่อหยวนเหยาได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตกใจอย่างมาก
เหยียนลี่ที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นด้วยเช่นเดียวกัน
“ฮ่าๆ คนอื่นคงไม่รู้ พวกเจ้ามีโอกาสเช่นนั้นแน่นอน เพราะพวกเจ้ามีข้าคอยชี้แนะอย่างไรเล่า แล้วเจ้ายังมาจากที่เดียวกับพี่หาน ยิ่งมีเขาคอยช่วยล่ะก็ โอกาสของพวกเจ้าก็มีมากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปนัก สหายหาน เจ้าว่าอย่างไร” สีหน้าของชิงหยวนจื่อก็ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เดิมทีข้าเองก็คิดเช่นเดียวกับพี่หยวน หลังจากนี้ไป ต้องมีสักวันที่แม่นางหยวนเหยาและแม่นาง
เหยียนลี่ไปสู่ขั้นมหาเมธี ผู้น้อยแซ่หานจะช่วยห่างๆ อย่างเต็มกำลัง” หานลี่หัวเราะเบาๆ
ชิงหยวนจื่อใช้มือข้างหนึ่งลูบเคราเบาๆ แล้วหัวเราะเสียงดัง
หยวนเหยามองมาที่หานลี่ แววตาของพวกเขาอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ร่วง มีบรรยากาศแปลกๆ อบอวลอยู่ในนั้น
ใบหน้าของเหยียนลี่เต็มไปด้วยความสุข
“จริงสิ ก่อนหน้านี้ที่ข้าปิดด่านเคราะห์สวรรค์อยู่ เห็นเด็กคนหนึ่งร่างกายสีม่วงทอง ที่ใช้ปราณกระบี่รูปร่างพิสดาร เขาสามารถฆ่าเทพปู้เมี่ยด้วยท่าทีสบายๆ และปราณจากตัวของเขา ทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าเขามาจากที่ใด สหายหานช่วยบอกข้าได้หรือไม่?” อยู่ๆ ชิงหยวนจื่อก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามด้วยความสงสัย
“หึๆ ที่แท้สหายชิงก็ถามถึงจินเอ๋อร์นี่เอง เหมือนว่าสหายชิงน่าจะเดาได้บางส่วนแล้วสินะ” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่บอกข้อมูลมากนัก
“หรือว่าจะเป็นราชาแมลงกลืนทองคำตัวนั้น คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะเลี้ยงมันจริงๆ…ไม่เลวเลย คงมีแต่ราชาแมลงกลืนทองคำตัวนั้นเท่านั้นแหละที่ฆ่ามหาเมธีเหมือนฆ่าหมาตัวหนึ่ง ชื่อเสียงของเซียนเมื่อมาอยู่ตรงหน้าเขาก็เหมือนเป็นเรื่องจอมปลอมเลย แต่ไม่ทราบว่าสหายหานทำเช่นนั้นได้อย่างไร” แม้ว่าในใจของชิงหยวนจื่อจะสามารถคาดเดาได้สามส่วนแล้ว แต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปมาไม่หยุด
“เป็นเรื่องโชคดีที่สามารถเลี้ยงเขาได้ ขั้นตอนในการเลี้ยงเขาก็เหมือนที่ข้าฝึกในครั้งที่สองเลย แต่ก็ต้องขอบคุณคำแนะนำของสหายชิง มิฉะนั้นข้าคงไม่สามารถมีโอกาสเช่นนี้ได้” หานลี่ยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็ประสานมือคำนับขอบคุณชิงหยวนจื่อ
“ตอนนั้นข้าก็แค่พูดเรื่อยเปื่อยไปเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าสหายจะสามารถฝึกแมลงวิญญาณฟ้าแบบนี้ขึ้นมาได้ โชคชะตาของเจ้าช่างดีจริงๆ หากมีราชาแมลงตัวนี้ สหายหานก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสำรวจแดนวิญญาณเลย จริงสิ สหายหานสามารถเรียกเขาออกมาให้ข้าพบได้หรือไม่?” ชิงหยวนจื่อหัวเราะอย่างขื่นขม แววตาไม่ปกปิดความอิจฉาเลยสักนิด
“สหายชิงพูดเกินไปแล้ว แดนวิญญาณนี้กว้างใหญ่ มีชนเผ่ามากมาย ไม่รู้ว่ามีผู้เก่งกาจซ่อนตัวอยู่อีกมากเท่าไหร่ แม้ว่าราชาแมลงจะแข็งแกร่ง จะให้พึ่งพาตลอดก็คงไม่ได้ ส่วนราชาแมลงตัวนั้น ตอนนี้ยังไม่กลับมา ถ้าเขากลับข้าจะเรียกให้มาเจอสหายก็แล้วกัน” หานลี่ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างไม่เห็นด้วย
“สหายหานถ่อมตัวมากเกินไปแล้ว” เมื่อชิงหยวนจื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะดีใจ
“สหายวางใจเถอะ จริงสิ สหายชิงรู้จักกลุ่มพันธมิตรการค้าเฮ่อเหลียนหรือไม่” หานลี่ถามอย่างไม่ใส่ใจ
“กลุ่มพันธมิตรการค้าเฮ่อเหลียน นั่นคือกลุ่มมหาอำนาจที่สามารถครอบคลุมหลายแผ่นดิน ข้าเองก็รู้นิดหน่อย เจ้าต้องไปติดต่อกับพวกเขาหรือ?” ชิงหยวนจื่อตกใจอย่างมาก
“ไม่ได้ติดต่อ แต่ว่าหลังจากนี้อาจจะต้องมีพูดคุยกันบ้าง ดังนั้นจึงหวังว่าสหายชิงจะมีข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาบ้าง” หานลี่หัวเราะเบาๆ
“เรื่องนี้ง่ายมาก เดี๋ยวข้าจะมอบม้วนคัมภีร์หยกที่เป็นข้อมูลเกี่ยวข้องกับพวกเขาให้เจ้าโดยเฉพาะ” ชิงหยวนจื่อกล่าวสัญญาอย่างง่ายดาย
“เช่นนั้นผู้น้อยแซ่หานจะต้องขอขอบคุณแล้ว” หานลี่รู้สึกดีใจอย่างมาก
เวลาต่อมา หลังจากที่เขากับชิงหยวนจื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องการผ่านเคราะห์สวรรค์ในถ้ำ สุดท้ายในวันนี้หานลี่ก็ได้พักอยู่ที่จวนของเขา
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อหานลี่กำลังจะเดินออกจากบ้านศิลา ด้านนอกมีหญิงสาวสวมชุดขาวงดงามดั่งเทพเซียนคนหนึ่งยืนอยู่อย่างเงียบๆ เมื่อนางเห็นเขาออกมา ก็ยิ้มพร้อมพูดว่า
“พี่หาน วันนี้เหยาเอ๋อร์จะอยู่กับพี่ทั้งวันเลยดีหรือไม่”
….เจ็ดวันต่อมา เหนือดินรกร้างในแม่น้ำอเวจี จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังตู้มเกิดขึ้น
ทันใดนั้นเองปราณกระบี่สีเขียวอ่อนก็กวาดออกไป มิติสีเทาอยู่กลางอากาศก็ถูกแหวกขึ้น รอยแยกสีดำสนิทขนาดยาวอย่างแปลกประหลาด
เรือยักษ์สีดำที่จอดอยู่ด้านล่างก็ส่งเสียงฮึมๆ และค่อยๆ บินเข้าไปในรอยแยกสีดำนั้น หลังจากแสงสว่างวาบเรือยักษ์ลำนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากนั้นไม่นานรอยแยกสีดำกลางท้องฟ้าแห่งนั้นก็ปิดสนิท
กองหินที่ห่างจากตรงนั้นไม่ไกล แม่นางหยวนเหยาและแม่นางเหยียนลี่จ้องมองภาพนั้นอย่างเงียบๆ
“ไปกันเถอะ พี่ชายสุดที่รักของเจ้าได้ออกจากมิตินี้ไปแล้ว น้องสาวเจ้าไม่ต้องเสียใจไป ขอเพียงแค่รออีกสองร้อยปี กายหยาบของพวกเราเสถียรเมื่อไร เจ้าก็สามารถกลับเผ่ามนุษย์ไปเจอเขาได้ หึๆ เวลาแค่นี้เจ้าทนรอต่อไปไม่ไหวหรือ” อยู่ๆ เหยียนลี่ก็หลุดหัวเราะ “หึๆ” ออกมา
“เฮ้ย พี่ชายสุดที่รักของข้าที่ไหนกัน ข้ากับพี่หานคบกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่หลายวันมานี้ ข้าเห็นพี่แอบมองพี่หานตลอดเลย พี่คงไม่มีความรู้สึกพิเศษกับเขาหรอกนะ” ใบหน้าของหยวนเหยาแดงขึ้น และพูดโต้ตอบเสียงเบา
“ข้าแอบมองพี่หานอยู่หลายครั้งทีเดียว แต่สายตาของข้ากับเจ้าไม่เหมือนกัน พี่สาวแค่สงสัยเท่านั้น เหมือนเขาจะไม่สนใจอะไร แต่ทำไมถึงสามารถบำเพ็ญเพียรจนอยู่ระดับเดียวกับอาจารย์ได้เร็วขนาดนี้”
เหยียนลี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ
“เหอะ ใครจะรู้เล่า พี่นั่นแหละปากไม่ตรงกับใจแน่ๆ”
“หึๆ เช่นนั้นให้พี่สาวถอยออกมาดีหรือไม่ ยอมให้น้องสาวมองไปก่อน แต่ถ้าดูเสร็จแล้ว น้องก็ต้องรับผิดชอบพี่ด้วยล่ะ” สองสาวพูดคุยกันอย่างเฮฮา
เทือกเขาชื่อหรงเป็นแดนวิญญาณที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน
เทือกเขาแห่งนี้มีความยาวมากกว่าหลายล้านลี้ ที่นี่แตกต่างจากที่อื่นตรงที่ สิบยอดเขาของที่นี่ล้วนเป็นภูเขาไฟ ยอดเขาบางลูกมีการพ่นลาวาสีแดงหรือเป็นเถ้าภูเขาไฟสีดำตลอดทั้งปี ทำให้เทือกเขาเหล่านี้แทบจะไม่มีต้นไม้ขึ้นเลย อีกทั้งมันยังร้อนอย่างมาก
แต่สำหรับเทือกเขาชื่อหรง ที่นี่มีศิลาวิญญาณธาตุไฟและแร่ชนิดต่างๆ มากมาย อีกทั้งมียาเสริมวิญญาณธาตุหยางที่หาพบได้ยากในต่างแดนด้วย แม้ว่าพื้นที่แห่งนี้จะอันตรายมากเพราะมีการปะทุของลาวาอยู่ตลอด แต่ทุกๆ ปีก็สามารถดึงดูดแขกมาได้เป็นจำนวนมาก
วันนี้ ชายแดนของเทือกเขาใกล้กับภูเขาไฟลูกเล็กที่เพิ่งปะทุออกมา มีคนกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยคนจากหลายเผ่ามารวมตัวกัน พวกเขาใช้ช่วงเวลาที่ภูเขาไฟหยุดระเบิด ค่อยๆ ทยอยเข้าไปพื้นที่หลุมยุบ พวกเขาก้มหน้าก้มตาหาศิลาวิญญาณธาตุไฟและแร่ชนิดต่างๆ
ทุกครั้งที่ภูเขาไฟระเบิด แร่ระดับต่ำพวกนี้จะถูกขับออกมาพร้อมกับเถ้าภูเขาไฟ และกระจัดกระจายออกมาในบริเวณใกล้เคียง
คนกลุ่มนี้มีวรยุทธ์ไม่สูง ส่วนมากจะอยู่ในระดับการฝึกฝนเท่านั้น ระดับสูงที่สุดคือระดับสร้างปราณ
ระดับต่ำเช่นนี้ สมแล้วกล้าหาเพียงสมบัติระดับต่ำที่ชายแดนเทือกเขาชื่อหรง และไม่กล้าเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา
ทันใดนั้นชายต่างแดนที่มีสี่หู ผิวสีเหลืองก็ชะงักไป เขารู้สึกได้ว่าแสงแดดรอบข้างมืดลงทันที และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ใบหน้าของเขาก็ซีดขาวไร้เลือด พร้อมกรีดร้องเสียงแหลมออกมา
เมื่อคนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงกรีดร้องนั้น พวกเขาก็หยุดการเคลื่อนไหวและเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกัน
ชาวต่างแดนทุกคนล้วนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
กลางอากาศห่างจากพวกเขาประมาณหมื่นจั้ง มีเรือเหาะสีดำขนาดใหญ่ลอยอยู่ โดยไม่รู้ว่ามันมาตั้งแต่เมื่อไร มันมาอย่างไร้สุ่มไร้เสียง เหมือนกับเกาะขนาดใหญ่ลอยออกมาเงียบๆ
อีกทั้งบนเรือยักษ์นั้นมีหุ่นเชิดสวมเกราะจำนวนมาก เดินไปเดินมา แค่ในเวลาสั้นๆ พวกเขาจึงไม่สามารถนับจำนวนได้
ชาวต่างแดนที่อยู่ด้านล่างระดับต่ำสุดระดับฝึกฝน ไม่เคยได้เห็นเรือเหาะที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรเท่านี้มาก่อน พวกเขาจึงตกใจกันอย่างมาก