A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2355 กรงเหล็ก
ขาเห็นเพียงห้องโถงมีขนาดสูงมากกว่าสามสี่สิบจั้ง พื้นที่กว้างขวาง ดูเหมือนว่าจะมากกว่าพันหมู่
เดิมทีพื้นที่แห่งนี้ควรจะปูด้วยแผ่นหินราบเรียบ แต่ตอนนี้พื้นเต็มไปด้วยหลุมบ่อ และเศษซากของกระบี่บินหรือศาสตราวุธชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ยังร่องรอยของไฟไหม้ สายฟ้า ตรงกลางก็มีโครงกระดูกของสัตว์อสูรตัวใหญ่ตัวหนึ่ง แวววาวใสเหมือนคริสตัล รูปร่างเหมือนจระเข้ก็ไม่ใช่ จะว่าเหมือนมังกรก็ไม่เชิง
ดูเหมือนว่าตรงนี้จะมีสงครามต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวนี้ จึงเห็นเพียงร่องรอยการต่อสู้ให้เห็นเท่านั้น และดูเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดมานานมากแล้ว
หานลี่มองไปที่โครงกระดูกของอสูรตัวนั้นด้วยความประหลาดใจ บนร่างกายของมันยังมีร่องรอยปราณอยู่เลย ก่อนตายมันน่าจะอยู่ระดับผสานอินทรีย์หรือไม่ก็มหาเมธี
อสูรยักษ์ระดับมหาเมธี แล้วยังสามารถสร้างความเสียหายได้ขนาดนี้ คนที่ทะลวงมาคนนั้นไม่น่าจะอยู่ในระดับมหาเมธี แต่ก็ไม่น่าจะอ่อนแอ
เมื่อดูจากเศษซากของสมบัติที่อยู่บนพื้น คนที่เข้ามาต่อสู้ไม่น่าจะมีคนเดียว น่าจะประมาณสี่ถึงห้าคน
หลังจากหานลี่สำรวจไปสักพัก สายตาเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ชั้นไม้ที่วางอยู่มุมห้อง
ชั้นไม้นั้นมีขนาดสองสามจั้ง รูปร่างเป็นสีดำเข้ม ด้านบนวางถาดเงินขนาดไม่เท่ากันสิบกว่าอันวางอยู่ แต่ด้านในนั้นกลับว่างเปล่า ราวกับว่าของพวกนั้นมีคนหยิบไปแล้ว!
เมื่อเห็นดังนั้น หานลี่ก็ไม่รอช้า เขาออกตัวแล้วพุ่งไปที่ด้านออกที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้องโถง
ทางเดินสีเขียวเหมือนเดิม และเริ่มปีนป่ายต่อไป
แต่ในครั้งนี้หลังจากหานลี่ออกไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาก็วิ่งมาถึงทางออก
ทันใดนั้นแสงสว่างจ้าก็ปรากฏที่ตรงหน้าของเขา ที่ที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นห้องโถงที่มีขนาดใหญ่มากกว่าห้องแรกหลายเท่าตัวเลย
ด้านบนมีเมฆลอยอยู่จางๆ บนพื้นปกคลุมด้วยทรายสีขาวละเอียด
ตรงกลางห้องโถงมีอาคารสูงตระหง่าน รูปร่างเป็นสามเหลี่ยม คล้ายกับวัด
หานลี่มองอาคารนั้น จากนั้นก็พลิกฝ่ามือขึ้นมา จากนั้นก็มีขวดโอสถสีขาวปรากฏขึ้นมา
หลังจากที่เขากวาดสายตามอง แต่เขากลับเห็นว่าขวดโอสถนั้นไม่มีการตอบสนองเลย เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับว่านี่เป็นวัดที่อยู่ภายนอก
…
ทางด้านพ่อมดสามคนนั้นที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิด
หมอกลอยไปมาราวกับว่ามันมีชีวิต ลมพายุพวกนั้นมีไอหยินแปลกๆ ปะปนมาด้วย พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ชวนขนหัวลุก
ทั้งสามคนดูท่าทางเหนื่อยล้าอย่างมาก ปราณของพวกเขาอ่อนแรงลงกว่าเดิมมาก แมลงยักษ์สามตัวที่มีอยู่ก่อนหน้าก็หายไปเช่นกัน แต่เมื่อมองไปยังทะเลหมอก แววตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ ซุ้มประตูสีเลือดที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าทะเลหมอก
ซุ้มประตูนี้มีขนาดมากกว่าร้อยจั้ง บนนั้นมีอักษรรูนสีเลือดจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนสลักอยู่ และด้านบนสุดก็มีอักขระโบราณขนาดใหญ่สองตัวสลักเอาไว้ มันเขียนเอาไว้ว่า “คุก โลหิต”
“ที่นี่ก็คือคุกโลหิต ไม่ค่อยเหมือนกับที่ข้าคิดเลยนะ” หลังจากผู้อาวุโสแซ่อวี๋จ้องมองทะเลหมอกอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้น
“น่าจะมนต์พรางตาล่ะมั้ง ข้าจะลองจัดการมันดู” ผู้อาวุโสที่ยืนข้างผู้อาวุโสอวี๋พูดขึ้น เขาตอบด้วยแววตาเปล่งประกาย
จากนั้นก็เห็นเขาสะบัดแขนเสื้อ เขาโยนแผ่นไม้สีเขียวแผ่นหนึ่งรูปหัวผีออกมากลางอากาศ มือข้างหนึ่งก็ร่ายคาถา ส่วนมืออีกข้างก็จิ้มไปที่ความว่างเปล่า
“ตู้ม!” เสียงหนึ่งดังขึ้น
แผ่นไม้แผ่นนั้นก็ลอยขึ้นตามลม พร้อมกลายร่างให้มีขนาดเท่ากับซุ้มประตู ภายนอกปรากฏอักษรรูนสีเขียวในขณะเดียวกันดวงตาของหัวผีก็ลืมตาขึ้น พร้อมอ้าปากออกทันที
ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามออกมา
ปากของผีตัวนั้นพ่นลำแสงสีเขียวออกมา หลังจากมันหมุนวนอยู่นั้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นเสาลมขนาดมหึมา พร้อมพุ่งเข้าไปทะเลหมอก
ทันใดนั้นหมอกสีดำก็เสียงระเบิดดังลั่นขึ้น ท่ามกลางลมพายุที่บ้าคลั่ง หมอกที่อยู่ข้างๆ ก็ค่อยๆ ทยอยพัดหายไป ทำให้เห็นช่องทางเดินที่ชัดเจน
พ่อมดทั้งสามมองช่องทางนั้นอย่างละเอียด สุดท้ายพวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสีทันที
ท่ามกลางช่องทางเดินที่ไกลสุดลูกหูลูกตา เขาเห็นเป็นทะสาบขนาดใหญ่สีเลือด พร้อมกลิ่นคาวเลือดรุนแรง น้ำเหนียวคลั่ก ด้านบนยังมีหนอนสีขาวขนาดเท่านิ้วโป้งคลานไปมาราวกับพยายามจะปีนขึ้นมา ทำให้คนรู้สึกหนาวสั่นได้ทันทีที่มองเห็น
“นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของคุกโลหิต ไม่น่าจะเป็นภาพมายาล่ะมั้ง” ผู้อาวุโสแซ่อวี๋มองตรงไปแล้วพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“หึ ภายใต้ลมพายุของข้า ภาพมายาอะไรก็ไม่สามารถเล็ดรอดไปได้หรอก” ผู้อาวุโสแซ่อู๋หัวเราะขึ้นจมูก พร้อมอ้าปากแล้วพ่นแก่นปราณลงบนป้ายไม้สีเขียวอีกหลายครั้ง
ทันใดนั้นผีตัวนั้นก็พ่นลมที่รุนแรงกว่าครั้งแรงสิบเท่า
แต่ว่าเวลาเพียงหนึ่งจิบชา หมอกในทะเลสาบก็ถูกพัดออกไปอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เห็นทัศนียภาพของคุกโลหิตอย่างชัดเจน
ชายชราทั้งสามมองไปอีกครั้ง สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นดีใจ
บนทะเลสาบโลหิต นอกจากหนอนสีขาวขนาดเท่านิ้วโป้งแล้ว ยังมีกรงเหล็กสีดำขนาดแตกต่างกันสิบกว่ากรง
กรงเหล็กเหล่านี้สูงแค่ไม่กี่จั้ง ขนาดก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่ แต่ว่าภายนอกมีอักษรรูนสีทองจางๆ ไม่ทราบชื่อแปะอยู่โดยรอบ
แต่กรงที่อยู่ด้านในนั้นเต็มไปด้วยหนามแหลมคมสีแดง ดูแล้วน่ากลัวอย่างมาก
ส่วนใหญ่กรงเหล็กเหล่านี้ได้เปิดประตูค้างไว้ แต่ก็มีกรงจำนวนไม่น้อยปิดตายไร้รอยต่อ ด้านในมีศพนอนอยู่ในท่าทางที่แตกต่างกัน
แม้ว่าจะไม่ทราบว่าศพเหล่านี้มีอายุเท่าไหร่ และโครงสร้างของกระดูกมีรูปร่างที่ต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามยังมีร่องรอยของปราณเหลืออยู่ หลังจากผ่านไปสักพักพ่อมดค่อยรู้สึกตัวขึ้นมา และเขารู้สึกตกใจจนตัวสั่น
“คนเหล่านี้เคยเป็นศัตรูในมหาสงครามของอรหันต์เทียนติ่งในปีนั้นสินะ พวกเขาดูแตกต่างกันออกไปจริงๆ แต่ว่าศพไหนคือศพของใต้เท้าเทียนอูนะ แบบนี้ต้องดูดีๆ”
ผู้อาวุโสคนสุดท้ายจ้องมองไปที่ศพด้วยสายตาเปล่งประกาย
“เรื่องนี้ง่ายมาก ในเมื่อใต้เท้าเทียนอูฝึกเคล็ดวิชาสำนักอู้ แม้ว่าเขาจะตายแล้ว แต่ศพของเขาต้องไม่เหมือนกับคนอื่นอย่างแน่นอน พวกเราต้องเข้าใกล้ไปอีกหน่อย จึงจะสามารถแยกแยะได้ง่ายๆ” ผู้อาวุโสแซ่อู๋แล้วยิ้มแล้วพูดขึ้นเสียงเบา
“ศพอื่นๆ ก็เป็นคนที่แข็งแกร่งเช่นกัน พวกเขาต้องมาสมบัติดีๆ แน่ พวกเราอย่ามองข้าม” ผู้อาวุโสแซ่อวี๋กล่าวด้วยความโลภและกระตือรือร้น
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว แต่เป้าหมายหลักของเราคือใต้เท้าเทียนอู เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน พวกเราได้เสื้อคลุมของเขามาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ในที่สุดผู้อาวุโสอู๋ก็ตัดสินใจได้
สหายอีกสองคนเห็นว่าสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผล จึงไม่ได้คัดค้านอะไรอีก เขายกแขนขึ้น จากนั้นก็เรียกของวิเศษขึ้นมาป้องกันตัว จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าไปใกล้กรงเหล็กสีดำพวกนั้น
ทะลสาบเลือดนี้ดูแปลกประหลาดอย่างมาก ทั้งสามคนจึงไม่กล้าประมาท
แต่อย่างไรก็ตามมันก็เกินความคาดหมายของชายชราทั้งสาม เมื่อเขาบินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของกรงขังสีดำ คาดไม่ถึงว่าทะลาบเลือดที่สงบนิ่งมาตลอดกลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสามคนรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พร้อมมองมันอย่างสนใจ
แต่หลังจากที่พวกเขาใช้จิตสัมผัสมองโครงกระดูกอย่างละเอียด เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้ตัวเล็กกว่าคนปกติมาก หลังจากนั้นเขาก็มองหน้ากันแล้วส่ายหน้า จากนั้นเขาก็บินไปที่กรงเหล็กสีดำอันถัดไป
หลังจากที่วิเคราะห์ไปเรื่อยๆ แล้วยังไม่เจอ ชายชราทั้งสามก็มาอยู่ที่ส่วนกลางของทะเลสาบโลหิตโดยไม่รู้ตัว
ที่นั่นมีกรงเหล็กที่โครงกระดูกอยู่สี่กรง
แต่ว่าที่กลางทะเลสาบมีกรงขังขนาดใหญ่แตกต่างจากทั้งสามอยู่อันหนึ่งกรงนั้นมีขนาดสูงห้าหกร้อยจั้ง นอกจากจะมีหนามแหลมที่ทิ่มไปด้านในแล้ว บนโครงกระดูกก็มีโซ่ล่ามไว้อยู่ด้วย และพันเอาไว้ไม่รู้ตั้งกี่รอบ
ดูเหมือนโซ่สีเลือดนั่นจะดูเก่าอย่างมาก ไม่เพียงแต่ขึ้นสนิมเท่านั้น แต่บางจุดก็มีรอยแตกที่เห็นได้ชัด ราวกับว่าก่อนตายคนผู้นั้นได้ดิ้นรนสุดชีวิตแล้ว
กระดูกในกรงยักษ์นั้น เป็นครึ่งคนครึ่งม้า กระดูกของเขาทั้งหมดล้วนเป็นสีเขียวมรกต และด้านในก็มีแสงสีทองแวววาวออกมาอีกด้วย
นอกจากกระดูกที่มีสร้างใหญ่แล้ว ส่วนอื่นๆ ก็เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ร่างกายสูงเกือบร้อยจั้ง กีบเท้ายักษ์เป็นส่วนเดียวที่มีขนสีเงินหลงเหลืออยู่
“ไม่ผิดแน่ นี่จะต้องเป็นร่างจริงของใต้เท้าเทียนอูแน่นอน” ผู้อาวุโสแซ่อวี๋พูดด้วยความยินดี เพราะเขาสามารถสัมผัสความน่าสะพรึงกลัวจากโครงกระดูกร่างนี้ได้
“นี่เป็นปราณของใต้เท้าเทียนอูจริงๆ เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ยังสามารถรักษาความแข็งแกร่งเอาไว้ได้ สมแล้วที่เป็นบรรพบุรุษของพวกเรา!” ผู้อาวุโสคนสุดท้ายหลับตาแน่น และพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ
“แต่ว่าเสื้อผ้าของใต้เท้าเทียนอูอยู่ที่ใดล่ะ?” ผู้อาวุโสแซ่อู๋มองไปสักพัก แล้วขมวดคิ้วถามขึ้น
คำพูดนี้ได้เป็นการเรียกสติของสหายร่วมทางอีกสองคน เขาถึงได้ค้นพบว่านอกจากโครงกระดูกแล้ว ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยหลงเหลืออยู่เลย
“นั่นมันอะไรน่ะ?” หลังจากชายชราทั้งสามคนมองอย่างถี่ถ้วนแล้ว แววตาของผู้อาวุโสแซ่อวี๋ก็เปล่งประกาย ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสไปที่โครงกระดูกนั้น
สหายอีกสองคนก็มองไปรอบๆ จากนั้นก็ค้นพบว่ามีลำแสงจางๆ ฝังอยู่ตรงกระดูกซี่โครง มันเป็นเงาสีดำพร่าเลือน หากมองดูดีๆ มันเหมือนจะเป็นป้ายหยกแผ่นหนึ่ง
“เอาล่ะ นี่ต้องเป็นศพของใต้เท้าเทียนอูอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเราลงมือกันเถอะ รีบเปิดกรงนี้ออกมา” ผู้อาวุโสแซ่อวี๋พูดอย่างไม่ลังเล
ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้มีความเห็นอื่น
ตอนนั้นเองร่างของพวกเขาทั้งสามก็ส่องแสงสว่างขึ้น สมบัติที่ปกป้องกายอยู่ก็เปลี่ยนร่างเป็นระลอกคลื่นโจมตีไปที่กรงเหล็กนั้นอย่างรุนแรง
หลังจากเสียงระเบิดดังขึ้น กรงเหล็กสีดำก็มีแสงสว่างวาบ กลายเป็นระเบิดแสงที่แสบตาอย่างมาก กรงเหล็กสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นไม่นานมันก็กลับมาสงบดังเดิม
ผู้อาวุโสแซ่อู๋หันไปมองทันที ใบหน้าดูไม่ได้อย่างมาก
กรงเหล็กนั้นไม่มีแต่รอยขีดข่วนเลยสักนิด
“ข้าขอลองอีกที” ผู้อาวุโสแซ่อวี๋พูดขึ้น ปากเขาพูดหนึ่งประโยค จากนั้นเขาก็แบมือท่ามกลางความว่างเปล่า ทันใดนั้นมีดสั้นก็ปรากฏที่กลางฝ่ามือของเขา พื้นผิวของมันจารึกด้วยรูปแมลงจิตวิญญาณแปลกๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ในขณะเดียวกันตรงด้ามจับก็มีคริสตัลขนาดเท่านิ้วโป้ง สว่างกระจ่างใสดั่งหยกฝังอยู่
ชายชราถือมีดสั้นด้วยมือข้างหนึ่ง แสงสีเลือดสว่างวาบ เขาฟันออกไปท่ามกลางความว่างเปล่า พร้อมปากก็ท่องคาถาอยู่ไม่ขาด
ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมดังขึ้นมา ละอองเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเข้าไปในมีดสั้นนั้น