A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2363 เต่าปราณหานอู่
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2363 เต่าปราณหานอู่
ชั่ววินาทีต่อมา ประจุสายฟ้าสีเงินที่อยู่บนกล้ามใหญ่ๆ ทั้งสองข้างของปูยักษ์ก็ระเบิดขึ้นเสียงดัง พร้อมไฟที่ลุกโชน เมื่อมันขยับอีกครั้ง มันก็กลายเป็นกลุ่มแสงสายฟ้าฟาดฟันลงมาอย่างรุนแรง
ในใจของฮูหยินวั่นฮวารู้สึกสั่นกลัวอย่างมาก มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาร่ายคาถา เหนือศีรษะของเขามีเกราะไม้สีเขียวปรากฏขึ้น ในขณะเดียวกันด้านหลังมีราชสีห์ดำตัวใหญ่คำรามเสียงดังอยู่กลางอากาศ พร้อมพ่นลำแสงสีดำออกมา
“ตู้ม” เสียงระเบิดดังลั่น ปูยักษ์ตัวนั้นยืนอยู่บนเกราะไม้ มันก็ขึ้นมา จากนั้นก็ถูกลำแสงสีดำยิงทะลุร่าง ในที่สุดก็สลายหายไปทันที
เมื่อฮูหยินวั่นฮวาเห็นดังนั้น นางกลับไม่ได้มีสีหน้ายินดี แต่กลับแสดงท่าทีเคร่งขรึมมากขึ้น นางสะบัดแขนเสื้อสองข้าง เสียงระเบิดก็ดังขึ้นกลางอากาศ เข็มสีดำก็บินพุ่งออกไปทันที จากนั้นก็กลายเป็นปราณสีดำลอยอยู่โดยรอบบริเวณ
การโจมตีครั้งเดียวของปูยักษ์ก็มีพลังมหาศาลขนาดนี้แล้ว นางจะไม่มองว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งได้อย่างไร ในตอนนี้นางไม่สนใจแม่นางปิงพั่วที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งแล้ว
นักพรตชิงผิงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว แน่นอนว่าในใจของเขาทั้งโกรธและหวาดกลัว เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนอื่นเข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ของพวกเขาด้วย
เขาก็เห็นว่าการโจมตีของปูสีทองนั้นน่ากลัวเพียงใด แน่นอนว่าเขารู้ว่าฮูหยินวั่นฮวาไม่สามารถมาช่วยทางนี้ได้แล้ว เขาจึงรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย เขาสะบัดแส้ขนจามรีในมืออีกครั้ง เส้นไหมสีเขียวมีจำนวนหนาแน่นขึ้นกว่าเมื่อครู่เยอะมาก จนทำให้เกิดเสียง “เปรี๊ยะๆ” ดังขึ้นมา ในขณะเดียวกันเขาก็ยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้น กระจกสีเขียวที่อยู่ด้านหน้าก็มีลำแสงสีเขียวพุ่งออกไป
กระจกนั้นสั่นเล็กน้อย จากนั้นด้านในมียันต์แปดเหลี่ยมสีขาวดำปรากฏออกมา หลังจากนั้นไม่กี่วินาที มันก็ปรากฏตัวอยู่ด้านบนของแม่นางปิงพั่ว
เสียงฟ้าผ่าดังก้อง จู่ๆ แท่งไม้ยันต์แปดเหลี่ยมสีขาวดำก็ปลิวออกมา พร้อมขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นเสาไม้สูงหลายจั้ง ทั่วทั้งเสานั้นมีอักขระสีเขียว
เห็นได้ชัดว่านักพรตชิงผิงก็มองออกว่าแม่นางปิงพั่วเพิ่งเข้าระดับมหาเมธีมาได้ไม่นาน ในเมื่อนางต้องสู้คนเดียว ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะสามารถกักขังตัวอีกฝ่ายได้
ภายใต้ความบ้าคลั่งของเสาไม้ขนาดใหญ่และเส้นไหมสีเขียว เดิมทีม่านน้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่ไม่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้ มันไม่เพียงแต่จะส่งเสียงร้องดังลั่น ในที่สุดก็มีรอยปริแตกเป็นร่องสีขาวจางๆ ปรากฏอยู่ด้านพื้นผิวอีกด้วย
เมื่อปิงพั่วเห็นดังนั้น นางกลับไม่ตื่นตกใจ แต่กลับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็นั่งสมาธิ สองมือยกขึ้นมาร่ายคาถาพร้อมกัน จู่ๆ ลำแสงคริสตัลก็พุ่งออกมาจากสมอง หลังจากที่มันควบรวบกันแล้ว และกลายเป็นเงาเต่ายักษ์สีขาวราวกับหิมะตัวหนึ่ง
บนกระดองของเต่าหิมะตัวนี้มีหนามน้ำแข็งจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ทั่วทั้งร่างกายแผ่ปราณเย็นยะเยือกออกมา ทันทีที่มันปรากฏตัวขึ้น มันก็พ่นปราณน้ำแข็งออกมาอย่างบ้าคลั่ง และทยอยทับถมลงไปที่ม่านพลังน้ำแข็งอย่างไร้เสียง
เดิมม่านพลังน้ำแข็งนั้นก็สูบปราณเย็นเข้าไป แต่เมื่อได้รับพลังดังนั้นมา รอยแตกที่อยู่ด้านบนก็ค่อยๆ ประสานกันทันที
ม่านน้ำแข็งของปิงพั่ว ก็กลับมาแข็งแรงเหมือนดั่งเช่นตอนแรกแล้ว
“เต่าปราณ หานอู่”
หลังจากที่นักพรตชิงผิงเห็นรูปร่างของเต่าตัวนั้นชัดๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ปากก็พูดอะไรไม่ออก แต่หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็รีบใช้สองมือร่ายคาถาขึ้นด้วยความรวดเร็ว หลังจากที่เขาพูดว่า “ปรากฏ” ออกมาจากปากแล้ว ม่านแสงด้านหลังของเขาก็มีภาพมายาของนักพรตท่านหนึ่งปรากฏออกมา
เสื้อคลุมของนักพรตคนนั้นมีรูปหยินหยางอยู่ด้วย ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ดวงดาวดวงน้อยๆ จำนวนนับไม่ถ้วนก็รายล้อมอยู่รอบตัวเขา จากนั้นดวงดาวเหล่านั้นก็พุ่งเข้าในร่างของนักพรตผู้นั้น ทำให้เขาตัวใหญ่กว่าเดิมถึงหลายสิบเท่า จนมีขนาดสูงกว่าหลายร้อยจั้ง
ในตอนนั้นเองนักพรตชิงผิงก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม เขาร่ายคาถาอยู่กลางฝ่ามือ เงานักพรตยักษ์ที่อยู่ด้านหลังก็ยกมือสองข้างขึ้นมาร่ายคาถา ในขณะเดียวกันสายฟ้าเพลิงสีขาวก็ปรากฏขึ้น ในตอนนั้นเอง เสียงฟ้าร้องก็ดังกึกก้อง พร้อมพุ่งตรงไปฝั่งตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง
ปิงพั่วที่อยู่ในม่านน้ำแข็งเห็นดังนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปทันที นางรวบรวมลมปราณในร่างกาย เต่าตัวนั้นก็พ่นไอเย็นที่มีพลังมากกว่าเดิมหลายร้อยเท่าออกมา หลังจากท่านพลังน้ำแข็งดูดซับปราณเย็นพวกนั้นแล้ว ก็มีไหมสีเขียว เสาไม้ และเพลิงสายฟ้า ทั้งสามสิ่งนี้ลงมาสนับสนุน
เมื่อนักพรตชิงผิงเห็นดังนั้น เขาก็ร้องครวญครางในใจ
ตอนนี้เขาถึงเพิ่งรู้ว่า แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีระดับการฝึกฝนที่ยังไม่สูง แต่วิชาของปิงพั่วเป็นวิชาลึกลับ นอกจากนั้นจะเป็นการป้องกันเท่านั้น หากต้องการเอาชนะนางในระยะเวลาสั้นๆ นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ภายใต้ความสิ้นหวัง เขาจึงต้องกระตุ้นพลังพิเศษทั้งสามชนิดอย่างบ้าคลั่ง เขาโจมตีม่านพลังน้ำแข็งอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง โดยหวังว่าพลังการป้องกันของนางก็หมดลงก่อน
ส่วนทางด้านปูยักษ์สีทองและฮูหยินวั่นฮวาที่อยู่ใกล้ๆ นั้น ด้านหนึ่งมีประจุสายฟ้าสีเงินปกคลุมทั่วร่างกาย ส่วนอีกด้านก็มีปราณสีดำแผ่ออกมาจนทั่ว เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้นั้นดุเดือดอย่างมาก และไม่สามารถทราบผลแพ้ชนะในเวลาอันสั้นได้แน่นอน
กลับมาดูทางหานลี่บ้าง หลังจากการต่อสู้หยั่งเชิงเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว ในที่สุดพวกเขาก็เอาจริงกันแล้ว
เมื่อเห็นว่าหมัดเงาของวานรยักษ์ไม่มีทางทำอะไรคางคกโลหิตเก้าตาของเซียวหมิงได้ หลังจากแสงเย็นๆ แผ่ออกมา แสงสีทองด้านล่างก็สว่างวาบ พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์สามเศียรหกกรก็ปรากฏขึ้น หลังจากแสงวิญญาณควบแน่นกันแล้ว จากนั้นก็กลายเป็นพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ร่างทอง และดวงตาทั้งหกนั้นปิดสติอยู่ ใบหน้าทั้งสามด้านเหมือนกับใบหน้าของหานลี่ไม่มีผิด เพียงแต่พวกมันแสดงสีหน้าที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง
วานรยักษ์คำรามเสียงยาว เขาตบลงที่หลังศีรษะของตนเองอีกครั้ง ทันทีที่กะโหลกเปิดออก ปราณสีดำก็พวยพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนอยู่รอบหนึ่ง มันก็หายเข้าไปในร่างสีทองอย่างไร้ร่องรอย
ร่างสีทองของพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ตัวสั่นกึกๆ ดวงตาทั้งหกเปิดขึ้นพร้อมกัน หลังจากเขาขยับตัวอีกครั้ง เขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในตอนนั้นเองเหนือศีรษะของคางคกโลหิตเก้าตาก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น กลายเป็นพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ร่างทองที่มีความสูงมากกว่าสิบจั้ง มือทั้งหกแบขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า ทันใดนั้นดาบสีทองยาวสามสี่จั้งก็ปรากฏขึ้นในมือของแต่ละมือ หลังจากที่ขยับแขนไปมาเล็กน้อยแล้ว เขาก็ฟันดาบที่ประกายปราณเย็นลงไปอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นพายุสีทองที่พุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่พายุลูกนั้นจะพัดลงมา “ตู้มๆ” ประกายดาบสีทองก็พุ่งลงมาก่อน มันแหลมคมมากจนแทบจะตัดความว่างเปล่าออกเป็นชิ้นๆ ได้
ในใจของเซียวหมิงสั่นไหวอย่างมาก เขาไม่กล้าสั่งให้คางคกโลหิตเอาลิ้นขึ้นมาป้องกันประกายดาบสีทองเหล่านั้น ในทางกลับกันคางคกยักษ์กลับกรีดร้องเสียงแปลกๆ ออกมา ด้านหลังของมันจะมีอักษรสีเงินนูนออกมา และค่อยๆ รวมตัวอย่างบ้าคลั่ง
ในตอนนั้นเองตาข่ายอักษรสีเงินของคางคกยักษ์ก็รวมตัวกันสำเร็จ
ประกายดาบสีทองก็ฟันเข้าที่ด้านบน แต่ก็ไม่สามารถพุ่งเข้ามาได้ ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองโดยสิ้นเชิง
อีกทั้งคางคกโลหิตก็ถือโอกาสพองลมออกมา มันอ้าปากกว้าง พร้อมพ่นไหมสีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา อีกทั้งโจมตีเข้ากับพายุด้านบนอีกครั้ง
เสียงปะทะกันสั่นสะเทือนฟ้าดิน
ไหมสีเลือดและแสงสีทองเข้าโรมรันกันอย่างรุนแรง พายุสีทองหายไปแล้ว พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ร่างทองที่อยู่ภายในก็ปรากฏกายออกมา
เมื่อมองดูร่างทองของเขาในตอนนี้ กลับพบว่าดาบที่อยู่ในมือของเขานั้นถูกทำลายไปหมดแล้ว กลางหน้าอกของเขามีรูขนาดใหญ่ดูน่ากลัวอย่างมาก แต่ด้านในนั้นไม่มีเลือดและเนื้อเลย จากนั้นมีประกายแสงสีทองส่วนเล็กๆ มารวมตัวเข้าไปในช่องว่างนั้น จากนั้นก็สมานกันได้อย่างรวดเร็ว ดาบสีทองในมือของเขาก็หายไป และปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์กลับคืนสู่สภาพเดิมได้แล้ว ดวงตาทั้งหกเปล่งประกายความเยือกเย็น เขาเหวี่ยงดาบทั้งหกไปมาอีกครั้ง
คางคกโลหิตเก้าตาไม่ยินยอมที่จะสู้ตัวต่อตัวอีกแล้ว มันหดร่างให้เล็กลงมามากกว่าสิบเท่า ในขณะเดียวกันมันก็พ่นหมอกสีเลือดออกมาด้วย จากนั้นก็กลายเป็นทะเลหมอกที่คอยซ่อนตัวเอาไว้
เมื่อพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ร่างทองเห็นดังนั้น เขาก็ไม่มีความคิดที่จะสู้กลับ หลังจากเสียงคำรามดังขึ้น เขาก็กลายร่างเป็นพายุหมุนเข้าไปในหมอกสีเลือดอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นจากภายใน ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งคู่จะสู้กันอย่างดุเดือด
เมื่อหานลี่ที่เป็นร่างวานรยักษ์เห็นดังนั้น ก็ส่งยิ้มเย็นๆ ให้ เขาสะบัดแขนที่เต็มไปด้วยขนขึ้น จากนั้นหมอกสีเลือดก็ถูกพัดหายไป
แต่ในวินาทีต่อมา ทันใดนั้นสีหน้าของวานรยักษ์ก็เปลี่ยนไปทันที เขาหมุนคอตัวเองหนึ่งร้อยแปดสิบองศา มือใหญ่กำหมัดไว้แน่น นิ้วทั้งห้าของเขาโจมตีไปที่ความว่างเปล่าที่อยู่ด้านหลังของเขาทันที
แทบจะในเวลาเดียวกัน ด้านหลังของเขาก็มีระลอกคลื่นเกิดขึ้น เงาสีทองจางๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้น มือใหญ่สีเขียวที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า กำลังจะโจมตีที่ด้านหลังของวานรยักษ์ตัวนั้น
“ฟิ้วๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้น แขนสีเขียวมีกลิ่นคาวเลือดโชยออกมา
แต่ด้วยการกระทำเช่นนี้ของร่างเงาสีเทา โดนหมัดของวานรยักษ์ที่ส่งมาอย่างพอดิบพอดี
“ตู้ม!” เสียงหนึ่งดังขึ้น
หลังจากที่แขนสีเขียวโดนโจมตีอย่างจังแล้ว คลื่นสีทองก็กระเพื่อมอย่างรุนแรง
เงาสีเทาจางๆ นั้นตกใจและบินหนีออกไป แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาใช้วิชาลับอะไร ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างของเขาก็บิดเบี้ยว แล้วสามารถหันมาโจมตีอีกด้านได้อย่างไม่น่าเชื่อ
วานรยักษ์ตัวนั้นคำรามเสียงดัง หลังจากที่มันพลิกตัวกลับมาแล้ว เขาก็สะบัดมือทั้งสองข้างออก จากนั้นก็กลายเป็นหมัดเงาจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้บริเวณใกล้เคียงมีแต่ลมพายุสีทองที่พัดอย่างบ้าคลั่ง
แต่เงาร่างสีเทานั้นตัวเบาเหมือนนกนางแอ่น ราวกับว่ามันไม่มีน้ำหนักตัวเลย แม้ว่าหมัดจะถูกต่อยออกไปอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่สามารถทำร้ายเขาได้เลย ตรงกันข้าม มันกลับบินเข้าไปใกล้ๆ วานรยักษ์
ชั่วพริบตาเดียววานรยักษ์ตัวนั้นก็ปล่อยหมัดออกไปมากกว่าร้อยครั้งแล้ว เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรเงาสีเทาได้เลย เขาก็หัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
“วิชาของเจ้าน่าสนใจมาก คาดไม่ถึงว่าจะสามารถหลบการโจมตีของข้าได้ถึงแปดเก้าส่วนเลยทีเดียว แต่ไม่รู้ว่าหลังจากที่ข้าใช้กระบี่แล้ว เจ้าจะสามารถหลบได้อย่างสบายๆ เช่นนี้หรือไม่?”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น วานรยักษ์ก็เก็บหมัดกลับมา นิ้วชี้ไปที่ความว่างเปล่าด้านหน้า
ทันใดนั้นก็มีแสงของกระบี่ฟาดฟันผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เงาสีเทาที่อยู่ตรงกลางก็ถูกฟันเป็นสองส่วนทันที
แต่ฉากที่น่าประหลาดใจก็เกิดขึ้นแล้ว
เงาสีเทาที่ถูกตัดบ่งครึ่งนั้น กลับไม่มีเลือดไหลออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยแทน
อีกทั้งกลางอากาศที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง ก็มีเงาสีเทาอีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง
ก่อนที่เงาสีเทานั้นจะถูกฟัน มันได้พลางตัวให้เป็นภาพลวงตาก่อนแล้ว จากนั้นก็ใช้วิชาลึกลับหลบไปออกมา ที่เดิมนั้นมีแค่ภาพมายาที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น
แต่ว่าตอนนั้นเองใบหน้าของเงาสีเทาก็ถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์แล้ว ใบหน้าแข็งทื่อเหมือนไม้ คนนั้นก็คือบรรพชนอู๋โก้วนั่นเอง
รูม่านตาของวานรยักษ์หดลงเล็กน้อย เขาเหลือบมองไปยังการต่อสู้ของหวาซีเซียนจื่อที่อยู่ด้านข้าง
ครั้งนี้เขาเห็นอย่างชัดเจนแล้ว ภูเขาลูกหนึ่งโดนวงแหวนที่ผู้หญิงคนนั้นกระตุ้นกดทับเอาไว้ ส่วนภูเขาอีกลูกถูกทะเลเพลิงกดทับเอาไว้ มนุษย์เพลิงสีทองคนนั้นก็ยังอยู่ที่นั้น สองมือของเขาปล่อยลูกบอลเพลิงสีทองออกมาโจมตียอดเขาลูกที่สองอย่างต่อเนื่อง