A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2369 ความลับสวรรค์แตกสลาย
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2369 ความลับสวรรค์แตกสลาย
แขนเสื้อของลิ่วอี้สะบัดขึ้นโดยที่ไม่ต้องคิด ลำแสงหนาวเย็นพุ่งออกมาในทันใด แล้วดึงปิงเฝิงเข้ามาอยู่ข้างกาย มวลอากาศเย็นยะเยือกปรากฏออกมา ลูกปัดกลมผลึกใสพุ่งตามออกมา กลิ้งมาตรงจุดนั้นกลายเป็นรูของตะขาบขนาดยักษ์ออกจากเนินเขาไป แปลงกายเป็นเส้นด้ายสีขาวแล้วหนีออกไป
ชั่วระยะเวลาหนึ่งมื้ออาหาร ตรงขอบฟ้าเกิดเสียงดังทะลุออกมา ชายหนุ่มชุดดำเหยียบเมฆเจ็ดสีปรากฏออกมา
แขนเสื้อใหญ่สั่นไหวและการกระทำก็ดูเหมือนว่าจะช้าลง แต่ว่าความเร็วในการหลบหนีนั้นไม่นับว่าช้า หลังจากสว่างวาบขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งแล้วก็มาถึงยังยอดของเนินเขาอย่างน่าประหลาดใจ
ชายหนุ่มชุดดำกวาดตามองออกไปยังเบื้องล่างของเนินเขาด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ จู่ๆ รอยยิ้มเย้ยหยันก็แต้มขึ้นบนใบหน้า ฝ่าเท้าข้างหนึ่งขยับออกเล็กน้อย เมฆเจ็ดสีก็พุ่งออกไปในทันทีอีกครั้งหนึ่ง
ทิศทางที่ไล่ตามไปนั้น ก็คือทางที่ลิ่วอี้และคนอื่นๆ หนีไปนั่นเอง
เซียนแท้ของแดนเซียนท่านนี้ดูเหมือนว่าจะมีหนทางไล่ตามร่องรอยของลิ่วอี้และปิงเฝิงทั้งสองคน หลังจากที่ผ่านไปนานถึงเพียงนี้แล้ว ยังติดตามได้ถูกต้องโดยที่ไม่ผิดพลาดไปแม้แต่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชายหนุ่มชุดดำและลิ่วอี้ปิงเฝิงฝ่ายหนึ่งไล่ตามฝ่ายหนึ่งหลบหนี
ภายใต้การใช้วิชาหลีกหนีเพื่อรักษาชีวิตนั้น ทั้งสองฝ่ายนั้นถึงแม้ว่าจะมีความเร็วที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่าฝ่ายหลังนั้นจะตามอยู่ห่างถึงเพียงไหน ชายหนุ่มชุดดำมักจะใช้เวลาหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ก็ไล่ตามมาจนทันอย่างไม่รีบไม่ร้อน ราวกับว่าเป็นหนอนบนกระดูก หรือไม่ก็เหมือนแมววิ่งไล่จับหนูอย่างไรอย่างนั้น
ลิ่วอี้แน่นอนว่าต้องตกใจและกรุ่นโกรธ แต่ไม่ว่าจะตรวจสอบภายในกายของเขาและปิงเฝิงอย่างไร ต่างก็ไม่พบความผิดปกติแม้แต่น้อย ถึงได้รู้ว่าตนเองประเมินอิทธิฤทธิ์ของคนจากแดนเซียนต่ำไป
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ เขาจึงจำต้องยอมสูญเสียพลังจากดาวซู่อินที่เพิ่งจะดูดซับมา แล้วนำปิงเฝิงหลบหนีไปด้วยกันตลอดทาง
สามเดือนหลังจากนั้น ภายใต้การไล่ล่าอย่างต่อเนื่องนี้ ลิ่วอี้ในที่สุดก็มีช่วงที่ทนไม่ได้ขึ้นมา ชายหนุ่มชุดดำกลับจู่ๆ ก็หายไปจากด้านหลังโดยที่ไม่มีเสียงใด และต่อจากนั้นอีกหลายวันก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาอีกเลย
ลิ่วอี้และปิงเฝิงแน่นอนว่ายินดียิ่งนัก ต่างก็พากันคิดว่าในที่สุดก็หลุดพ้นจากการไล่ล่าของอีกฝ่ายได้แล้ว จึงได้รีบหาสถานที่ลับแห่งหนึ่ง แล้วค่อยๆ ฟื้นฟูปราณแท้ของตน
แต่ว่าหลังจากนั้นอีกเพียงครึ่งเดือน ชายหนุ่มชุดดำก็ปรากฏกายออกมาในบริเวณใกล้เคียงอีกครั้ง ลิ่วอี้กับปิงเฝิงตกใจยิ่งนัก ทำได้เพียงแค่ส่งเสียงคร่ำครวญแล้วเริ่มต้นเส้นทางแห่งความสิ้นหวังอีกครั้ง
…
แผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด ภายในห้องโถงลับของสาขาหลักกลุ่มพันธมิตรการค้า ปี้อิ่งผู้ดูแลของแดนนภาสีเลือด กำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้สีม่วง ใบหน้าดูมืดมนมองแผ่นหยกในมือที่เพิ่งจะได้รับมา
หลังจากนั้นเพียงครู่ เขาก็อ่านแผ่นหยกนั้นจนหมด จากนั้นก็วางลงบนโต๊ะ ตบมือลงไปเบาๆ จนเกิดเสียง “ปัง” ดังออกมา
จากนั้นก็มีลมพัดผ่านมายังโต๊ะไม้ในทันที ร่างกายพร่ามัวก็วาบปรากฏออกมา แล้วทำความเคารพให้แก่ปี้อิ่ง
“เกิดอะไรขึ้น นักพรตเยียนอวี่ถึงได้ตายไป พวกเจ้ายังใช้เวลานานถึงเพียงนี้ถึงได้เพิ่งมารายงานเรื่องนี้ให้ข้ารู้” ปี้อิ่งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยประโยคหนึ่ง
“เรียนใต้เท้า ผู้อาวุโสเยียนอวี่ในวันนั้นรวมกันกับผู้อาวุโสมหายานอีกสองท่าน เข้าไปยังเทือกเขาฉีอวิ๋นเพื่อตรวจสอบเรื่องประชากรของแปดแคว้นและสิบเก้าสำนักที่หายไป สุดท้ายหลังจากที่เข้าไปนานหลายเดือน ถึงได้ตรวจสอบถึงที่หลบซ่อนของผู้ต้องสงสัย แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย ภายหลังเผ่าหมิงเสอและกลุ่มพันธมิตรของเราได้ส่งคนเข้าไปยังเทือกเขาฉีอวิ๋นพร้อมกับป้ายชะตาชีวิตของผู้อาวุโสทั้งสามท่านอีกครั้งเพื่อออกตามหา ผลสุดท้ายเพิ่งเข้าไปได้เพียงแค่ไม่ไกล ป้ายชะตาชีวิตของทั้งสามกลับแตกออกพร้อมกัน ถึงได้รู้ว่าทั้งสามท่านนั้นได้ตายไปแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าถูกผู้อื่นใช้วิธีการใดปกปิดมันเอาไว้”
“ผู้ที่เข้าไปตรวจสอบใช้เวลาอีกมากกว่าหนึ่งเดือน ถึงได้พบกับกลิ่นไอลมหายใจที่ผู้อาวุโสทั้งสามทิ้งเอาไว้ในสถานที่ลึกลับบางแห่ง และจากร่องรอยที่เห็นแล้วนั้น เหมือนกับว่าผู้อาวุโสทั้งสามหลังจากผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดแล้ว ถึงได้ตกตายลงไปพร้อมกัน ณ ที่แห่งนั้น คู่ต่อสู้คงจะมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก ผู้ที่เข้าไปตรวจสอบไม่กล้าจะสะเพร่า หลังจากที่ไปกลับจนแน่ใจแล้วว่าข่าวคราวที่ได้นั้นไม่ผิดพลาด สุดท้ายถึงได้กล้านำเรื่องนี้กลับมารายงานให้ใต้เท้า” ร่างเงาพร่ามัวนั้นส่งเสียงต่ำอธิบายออกมา ราวกับว่ารู้เรื่องทุกอย่างนี้ดีอยู่แล้ว
“สามารถปิดบังความลับสวรรค์อย่างป้ายชะตาชีวิตได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาไม่นาน แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อแล้ว อย่างน้อยตัวข้าที่มีชีวิตมานานถึงเพียงนี้ ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน นักพรตเยียนอวี่และพวกเขาทั้งสามคนถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่มหายานธรรมดาทั่วไปแล้ว แต่เขาอาศัยเพียงแค่พลังของตนแล้วสามารถฆ่าพวกเขาทั้งสามได้พร้อมกันแล้ว กลายเป็นสัตว์ประหลาดของแดนนภาสีเลือด ก็คงจะมีจำนวนไม่เกินสิบ กลุ่มพันธมิตรของเรานอกจากข้าแล้ว ผู้อาวุโสท่านอื่นเองก็ไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ ดูเหมือนว่าการสังเวยโลหิตของคนจากทั้งแปดแคว้นและสิบเก้าสำนักนั้น จะต้องเป็นปีศาจร้ายผู้ไร้เทียมทานเป็นแน่” ปี้อิ่งลูบไปยังคาง แววตาเป็นประกายเย็นยะเยือกเอ่ยออกมา
“ปีศาจร้ายผู้นี้ไม่เพียงแต่สังเวยโลหิตของทุกคนในแคว้นและสำนักต่างๆ ของเทือกเขาฉีอวิ๋นไปแล้วก็ช่างเถอะ แต่ด้วยพลังยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะเรื่องใหญ่โตออกมา ผู้อื่นที่มีพลังธรรมดาทั่วไปก็คงจะไม่กล้าลงมือหาทางแก้แค้น แต่ว่าเมื่อครู่นี้ก็เพิ่งจะได้รับข่าวมาใหม่ เจ้าปีศาจร้ายนี้เมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ก็ปรากฏตัวออกมาอย่างโจ่งแจ้งยังแคว้นต้าหลง แปลงกายเป็นแม่น้ำโลหิตที่ไม่มีที่สิ้นสุด ฆ่าประชากร สำนักน้อยใหญ่นับสิบแคว้นเดียวกันนี้ รวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหมด หลั่งเลือดออกมาแล้วดูดซึมเข้ายังแม่น้ำโลหิต เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สำนักโลหิตกระดูกและกองกำลังใหญ่ต่างๆ เองก็คงไม่อาจนั่งมองดูโดยที่ไม่สนใจต่อไปได้อีก ได้ยินมาว่าไม่กี่วันมานี้ กองกำลังเหล่านี้เริ่มที่จะติดต่อกันบ่อยครั้งขึ้น ราวกับว่าวางแผนที่จะเลือกผู้อาวุโสมหายานบางส่วนเพื่อจัดตั้งกลุ่มนักฆ่าปีศาจ เพื่อที่จะล้อมรอบปราบปรามปีศาจตนนี้โดยเฉพาะ ข้าเองก็ได้รับจดหมายจากกองกำลังเหล่านี้ด้วย และจะต้องให้กลุ่มของพันธมิตรเราเข้าร่วมด้วยเช่นกัน” ร่างเงาพร่ามัวนั้นตั้งแต่ต้นจนจบเอ่ยออกมาอย่างครบถ้วนไม่ขาดหายไป
“กลุ่มนักฆ่าปีศาจ? สำนักโลหิตกระดูกระดับสูงเหล่านี้ในที่สุดก็ยื่นมือเข้ามาแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องนี้คงจะหนักจริงๆ แล้ว เช่นนี้ก็ดี กลุ่มพันธมิตรของพวกเรายังไม่ต้องเดินลงไปในน้ำขุ่นก่อน แต่ว่าก็ไม่อาจที่จะแสดงออกมาตามนั้นเลย เช่นนี้เถอะ กลับไปให้ผู้อาวุโสจวินเดินทางไปสักรอบหนึ่ง เข้าร่วมกลับกลุ่มนักฆ่าปีศาจนี้ แต่ว่าอย่าได้ปะทะกับเจ้าปีศาจร้ายตัวนี้โดยตรง เลือกรักษาชีวิตของตนเอาไว้เป็นอันดับแรก กลุ่มพันธมิตรของพวกเราสูญเสียนักพรตเยียนอวี่ไปแล้ว นับว่าสูญเสียไปไม่น้อยแล้ว” หลังจากที่ปี้อิ่งครุ่นคิดแล้ว ในที่สุดก็ได้ตัดสินใจออกมา
“ขอรับ ข้าน้อยจะไปแจ้งผู้อาวุโสจวินอี้เมิ่งเดี่ยวนี้ขอรับ” ร่างเงาพร่ามัวไม่ได้คัดค้านต่อคำสั่งของปี้อิ่งเลยแม้แต่น้อย โค้งกายรับคำสั่งออกมา
“นอกจากนี้แล้ว เวลาสำหรับการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งก็ใกล้จะมาถึงแล้วด้วย สามารถเริ่มรวบรวมคน ตระเตรียมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องได้แล้ว ฮึ่ม หากว่าไม่ใช่เพราะว่าข้าจำต้องอยู่ในพันธมิตรแล้ว อีกทั้งการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งนี้ยังเกี่ยวพันโดยตรงกับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของดินแดนเล็กๆ นั้นอีกด้วย ข้าเองอยากจะพบเจ้าปีศาจร้ายตนนี้ที่สังเวยโลหิตของสิ่งมีชีวิตมากถึงเพียงนี้” หลังจากที่ปี้อิ่งครุ่นคิดแล้ว ก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ข้าน้อยจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่ว่าสำหรับการคัดเลือกคนที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งนั้น นอกจากใต้เท้าและผู้อาวุโสเหวินเฟิ่งที่อยู่ที่นี่ ใต้เท้าเหลยได้เข้าสู่แดนนภาสีเลือดแล้ว อีกทั้งยังกำลังกักตนอยู่ที่สาขาย่อยเป็นการชั่วคราว กลุ่มของผู้อาวุโสหานลี่ ตามที่คนของกลุ่มพันธมิตรของเรารายงานมานั้น ดูเหมือนว่ากำลังรอนแรมอยู่ในทุ่งหญ้าใกล้นี้ ยังคงตามหาแท่นบูชาโบราณในบริเวณใกล้เคียงอยู่ ปัญหาเดียวก็คือผู้อาวุโสเซวี่ยซา ตั้งแต่หนึ่งปีก่อนหน้านั้นที่ทะลุเข้าไปยังเขาวงกตพันขั้นที่เล่าลือกันนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้กลับออกมา คงจะไม่เหมือนกับผู้อื่นที่ถูกกักขังเอาไว้ด้านในหรอกนะขอรับ” ร่างเงาพร่ามัวส่งเสียงตอบรับออกมาแล้ว ก็เอ่ยออกมาอย่างลังเล
“วางใจได้ เซวี่ยซาคนผู้นี้อิทธิฤทธิ์ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า อีกทั้งด้วยลักษณะนิสัยของเขาแล้ว หากว่าไม่มีความมั่นใจในเขาวงกตพันขั้นนั้น ก็คงจะไม่มีทางเข้าไปอย่างเร่งรีบ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดเอาไว้แล้ว เขาจะต้องปรากฏกายออกมาตรงเวลาแน่” ปี้อิ่งเอ่ยตอบกลับมาอย่างไม่ต้องครุ่นคิด
“ใต้เท้าเอ่ยออกมาเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นแล้วผู้อาวุโสเซวี่ยซาจะต้องปรากฏกายออกมาอย่างตรงเวลาแน่ เช่นนั้นแล้วข้าก็เริ่มส่งข่าวคราวไปยังใต้เท้าเหลยกับผู้อาวุโสหานก่อน ให้คนของสาขาย่อยจัดเตรียมส่งพวกเขาไปยังฐานที่มั่นในดินแดนเล็กๆ นั่น” ร่างเงาเอ่ยออกมาเช่นนี้
“ดี เช่นนั้นก็ไปจัดการเถอะ” ปี้อิ่งแน่นอนว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่เห็นด้วย จึงพยักหน้าออกมาเล็กน้อย
หลังจากที่โต๊ะไม้สั่นไหวขึ้นอีกครั้ง ร่างเงาพร่ามัวนั้นก็โค้งกายคำนับแล้วหายออกไป
ในเวลานี้ ปี้อิ่งถึงได้ยกมือขึ้นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ผลักหยกบนโต๊ะออกไปจนสุดโต๊ะ
แต่ว่าในเวลานี้นั้น จู่ๆ ก็เกิดเสียง “ฟอด” ดังออกมา เกิดเสียงอู้อี้ดังออกมาจากกายของเขาเล็กน้อย
ปี้อิ่งชั่วขณะนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป ฝ่ามือที่เคยยื่นออกมาคว้าอยู่นั้นก็แข็งค้างอยู่กลางอากาศ
หลังจากนั้นเพียงครู่ เขาถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเก็บมือที่ยื่นออกไปนั้นกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วกดลงไปตรงช่วงเอว
ลำแสงสีฟ้าม้วนตัวออกมา กล่องหยกสีเขียวมรกตลอยออกมาจากด้านในนั้น จากนั้นก็สว่างวาบขึ้นมาด้านหน้าของปี้อิ่ง
พื้นผิวของกล่องหยกประทับเอาไว้ด้วยอักขระวิญญาณหนาแน่น ขณะเดียวก็มีอักษรรูนสีทองอ่อนนับจั้งติดอยู่บนนั้น เปล่งลำแสงวิญญาณจางๆ ออกมา
สีหน้าของปี้อิ่งดูมืดมนแขนก็ขยับขึ้นมา ทั้งสองมือก็บริกรรมอย่างรวดเร็วราวกับว่าล้อรถ หลังจากที่ทั้งสิบนิ้วสั่นไหวแล้วก็พุ่งตรงไปยังกล่องหยกนั้นพร้อมกัน
หลังจากที่กล่องหยกสั่นไหวแล้ว อักษรรูนสีทองมากมายก็พากันลอยตกลงมา
และหลังจากที่ฝากล่องสว่างวาบขึ้นมา ก็เปิดออกมาเอง ด้านในเผยให้แผ่นอาคมรูปลักษณ์แปลกประหลาด
แผ่นอาคมนี้ขาวราวกับหยก ตรงกลางนั้นประทับไว้ด้วยลวดลายสีแดงสดราวกับเลือดเอาไว้ ตรงกลางนั้นมีลวดลายไทชิดำขาวอยู่ ทำให้คนเมื่อมองไปแล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าจิตวิญญาณถูกกลางอากาศนั้นดูดเข้าไปจนไม่อาจควบคุมตนเองได้
ปี้อิ่งมองไปยังแผ่นอาคมนี้ชั่วครู่หนึ่ง ถึงได้กัดฟันขึ้น นิ้วมือทั้งห้ายื่นออกไปคว้ากล่องหยกเอาไว้
“ปัง” ดังอู้อี้ออกมา
และในตอนที่นิ้วมือสัมผัสเข้ากับมันนั้น ลวดลายสีแดงสดของแผ่นอาคมนั้นเปราะบางยิ่งนักเพียงแค่ครู่เดียวก็แตกออกกลายเป็นหลายส่วน ลวดลายไทชิดำขาวตรงกลางนั้นก็แตกสลายออกไปพร้อมกัน
“ความลับสวรรค์แตกสลายแล้ว เป็นความลับสวรรค์จริงๆ ไม่คิดจริงๆ ว่าที่เล่าลือกันมานั้นจะเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่ที่ข้าเริ่มต้นทางสายใหญ่ก็ใช้โลหิตสังเวยของล้ำค่านี้มาโดยตลอด ก็เพียงแค่เผื่อเอาไว้ ไม่คิดว่าจะเกิดลางบอกเหตุขึ้นมาจริงๆ หรือว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นในการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งในครั้งนี้จริงๆ หรือว่าชะตาของด่านเคราะห์ของข้าจะเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นกันแน่?” ปี้อิ่งใบหน้าดูมืดมนจ้องมองไปยังแผ่นอาคมอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้เอ่ยพึมพำออกมากับตนเองสองสามประโยค
“หืม ชะตาของข้าข้าเป็นคนกำหนดไม่ใช่สวรรค์กำหนด และต่อให้สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้จะมีผลตามที่เล่าลือมาจริงๆ แต่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสรอด อาจจะเป็นเพราะว่าการเตรียมพร้อมก่อนหน้านั้นคงไม่เพียงพอ จะต้องเตรียมตัวให้มากยิ่งกว่านี้แล้ว” หลังจากที่สีหน้าของปี้อิ่งเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้ง เอ่ยพึมพำกับตนออกมาอย่างเย็นชาอยู่สองประโยค แขนเสื้อสั่นไหว ชั่วขณะนั้นกล่องหยกสีเขียวมรกตก็ม้วนกลับเข้าไปในนั้น
หลังจากที่เสียงดัง “ปัง” ดังออกมาแล้ว กล่องหยกก็ปลอดภัย แต่ว่าสีขาวของแผ่นอาคมด้านในนั้นกลับเป็นผงแล้วสลายลงไปในทันที