A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2400 เตรียมการล่วงหน้า
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2400 เตรียมการล่วงหน้า
เวลาต่อมาหานลี่พาหนานกงหวั่นเดินไปที่ตำหนักศาลาทั้งหมดของวังชิงหยวน และเลือกตำหนักข้างหลังหนึ่งตามที่ตนชอบเป็นที่พักฝึกบำเพ็ญเพียรในยามปกติ
ทว่าหลังจากที่หนานกงหวั่นเห็นหอคัมภีร์และตำหนักหมื่นสมบัติของวังชิงหยวน ก็ถูกคัมภีร์เคล็ดวิชาลับและอาวุธวัตถุดิบปรุงยาต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนทำให้ตกตะลึงจนตาค้าง
จากการผจญภัยของหานลี่ที่ผ่านมาสองสามปีนี้ ประกอบกับสมบัติที่ได้มาจากการสังหารศัตรูระดับมหายานเหล่านั้น ความร่ำรวยของตระกูล เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่เปรียบเทียบได้ในแดนวิญญาณ
สมบัติมากมายเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่สิ่งที่หนานกงหวั่นซึ่งถูกขังอยู่ในสวรรค์วิญญาณจิ๋วจะจินตนาการได้
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ให้หนานกงหวั่นเลือกสมบัติป้องกันตัวสองสามชนิด หลังจากที่หยิบยาลูกกลอนออกมาสองสามชนิดแล้ว แล้วมอบแผ่นป้ายเขตต้องห้ามสองแห่งให้สตรีผู้นี้ ให้นางเข้าออกสถานที่ลับสองแห่งนี้ได้ตามต้องการในยามจำเป็น
หนานกงหวั่นเห็นเช่นนั้นย่อมดีใจมาก เก็บทั้งหมดเข้าไปอย่างไม่เกรงใจอันใด
เวลาต่อมาหานลี่พลันเรียกผู้ดูแลวังชิงหยวนมาจัดการเรื่องสำคัญภายในวัง และส่งลูกน้องไปตามหาเบาะแสของปิงเฟิง แล้วพลันพาหนานกงหวั่นไปเที่ยวรอบเกาะหยวนเหอและเกือบครึ่งของมหาสมุทรไร้ขอบเขต
ภายในระยะเวลาสองสามเดือนทั้งสองก็อยู่ด้วยกันไม่ห่างไปไหนราวกับสามีภรรยาทั่วไป สนิทสนมกันมากจนแยกจากกันไม่ได้เหมือนมัจฉาและสายน้ำ
แต่รอจนทั้งสองกลับมาที่วังชิงหยวนอีกครั้ง กลับแยกกันกักตัวตามลำดับ
ทุกอย่างบนเกาะยังคงมอบให้ไห่ต้าเซ่าจัดการ
หานลี่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับที่ถูกเขตอาคมต้องห้ามคุ้มครองอยู่ ด้านหน้ามีของที่ไม่เหมือนกันสามชนิดเปล่งแสงแสงวิญญาณเรืองๆ ออกมาลอยอยู่
หน้ากระดาษสีทองเรืองรอง คัมภีร์สีเงินและแดง
ของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาได้มาด้วยความบังเอิญจากการออกไปครั้งนี้ แบ่งออกเป็นเคล็ดวิชาลับของแดนเซียนสองชนิด ‘เคล็ดวิชาห้าคัมภีร์ฝึกปราณ’ ‘เกราะคุ้มกันหยวนกัง’ และเคล็ดวิชาลับที่ใช้ฝึกฝนพลังของอัสนีโดยเฉพาะ
หานลี่มองทั้งสามแวบหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วชี้ไปที่หน้ากระดาษสีทอง
ชั่วขณะนั้นสิ่งนั้นก็สั่นเทาเล็กน้อยแล้วกลายเป็นลำแสงสีทองดวงหนึ่งจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
หน้ากระดาษสีทองแผ่นนี้บันทึก ‘เคล็ดวิชาห้าคัมภีร์ฝึกปราณ’ เอาไว้ แม้ว่าจะลึกลับเป็นอย่างมาก แต่หากฝึกฝนให้สำเร็จก็จะทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้น แต่ความเชื่องช้าในการฝึกฝนของเขาก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงจนตาค้าง ไม่ใช่สิ่งที่จะค่อยๆ เรียนรู้ไปย่างแช่มช้าในตอนนี้ได้ จึงทำได้เพียงทิ้งไว้แล้วค่อยว่ากัน
จึงมาเรียนรู้ ‘เกราะหยวนกัง’ ที่เหลือแทน…
หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยสะบัดแขนเสื้อ รัศมีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ คัมภีร์สีเงินอ่อนม้วนนั้นพลันบินออกมา
‘เกราะหยวนกัง’ คือเคล็ดวิชาลับของแดนเซียน สร้างขึ้นจากคัมภีร์ตัวอักษรจ้วนทอง เนื้อหาเข้าใจยาก แค่เรียนรู้ให้ทะลุปรุโปร่งก็ใช้เวลาไปไม่น้อยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการฝึกฝนหลังจากนี้ ก็ไม่เหมาะสมที่จะเลือกนำมาฝึกฝนต่อจากนี้เช่นกัน
เช่นนั้นจึงเหลือเพียงเคล็ดวิชาลับพลังอัสนีที่เหลืออยู่อย่างสุดท้ายแทน
หานลี่มองคัมภีร์สีแดงสดตรงหน้าเขม็ง แล้วขบคิดในใจ
เคล็ดวิชาลับชนิดนี้ เขาเรียนรู้ไปแปดเก่าส่วนมาระหว่างทางแล้ว ส่วนที่เหลือน่าจะใช้เวลาแค่สองสามเดือนก็เรียนรู้ได้แล้ว
ในสถานการณ์ที่เขามีพลังอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายอยู่ คิดดูแล้วขั้นตอนการฝึกฝนคงใช้เวลาไม่นานนัก
และตรงกันข้ามเคล็ดวิชาลับชนิดนี้เชื่อมกับเคล็ดวิชาบวงสรวงอัสนีที่เขาเรียนรู้ได้แล้ว อานุภาพของมันกลับเหนือกว่าที่ผู้คนจะจินตนาการเอาไว้ เชื่อว่าเพียงพอที่จะทำให้คู่ต่อสู้หลังจากนี้นึกไม่ถึงแน่
หานลี่ครุ่นคิดอีกครั้ง แล้วมือหนึ่งก็กวักเรียกคัมภีร์อย่างไม่ลังเลอีก
ชั่วขณะนั้นสิ่งนี้ก็เลือนราง ร่อนลงที่นิ้วของเขาอย่างเงียบเชียบทันที และแตะไปที่หน้าผากของเขา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็หลับตาทั้งสองข้าง ร่างกายขยับไม่ได้ราวกับไม้แกะสลัก
สองเดือนต่อมาคัมภีร์ที่แตะอยู่ตรงหน้าผากของหานลี่กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งนานแล้ว กลับมีเสียงเพรียกวิหคดังสนั่นขึ้นที่ผิว ประจุไฟฟ้าสีทองเรืองรองรายล้อมอยู่ บินมารวมตัวกันที่ลูกบอลอัสนีสีทองตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้มันขยายใหญ่ไม่หยุด ยามนั้นพลันมีขนาดเท่าอ่างล้างหน้า
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น
อาคมในมือของหานลี่เคลื่อนไหว อ้าปากออกพ่นเปลวเพลิงสีเงินออกมา
เปลวเพลิงนี้แค่วนล้อมรอบลูกบอลอัสนี ชั่วครู่ก็กลายเป็นทะเลเพลิงห่อหุ้มมันเอาไว้
ลูกบอลอัสนีที่อยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงเปล่งเสียงทุ้มต่ำออกมาแล้วหมุนวนไปมาอย่างรวดเร็วไม่หยุด ผิวมีอักขระยันต์สีทองเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด มีเส้นสีม่วงทองแฝงอยู่ ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นลึกลับยิ่ง
…
แทบจะในเวลาเดียวกันในสันเขาบนภูเขาขนาดย่อมแผ่นหนึ่งในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี หยางลู่ผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณเที่ยงแท้ยังคงหลับตานั่งสมาธิอยู่ด้านข้างขวดใบเล็กสีเขียวความสูงสองสามชุ่น ราวกับไม่เคยขยับตัวมาก่อนในช่วงเวลาสองสามเดือนที่ผ่านมา
ฉับพลันนั้นขวดเล็กสีเขียวก็สั่นเทาเล็กน้อย เปล่งแสงสีเขียวอ่อนออกมา ในเวลาเดียวกันระลอกคลื่นที่อยู่กลางอากาศก็สลายออก
หยางลู่หน้าเปลี่ยนสีพลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้น แล้วกวาดมองไปที่ขวดใบเล็ก ร่างกายพลิ้วไหวยืนขึ้นทันที หลังจากค้อมตัวลง ก็เอ่ยอย่างเคารพนบน้อม
“ยินดีกับนายท่านที่ออกจากการกักตน!”
ชั่วพริบตาที่คำพูดของมันถูกเปล่งออกมา ปากขวดพลันมีลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนลางเรือนปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา และกลายเป็นชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอมสวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่ง
“อืม ทำได้ไม่เลว ยามนี้อาการบาดเจ็บของข้าฟื้นฟูมาเกือบทั้งหมดแล้ว ไปจากที่นี่ได้แล้ว” หม่าเหลียงพิจารณาหยางลู่ที่เป็นผู้รับใช้คนใหม่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ขอรับนายท่าน!” หยางลู่ย่อมไม่กล้าขัดขืนเลยสักนิด ก้มหน้าลงเอ่ยตอบรับทันที
หม่าเหลียงพยักหน้าสะบัดแขนเสื้อ เก็บขวดเล็กสีเขียว แล้วอ้าปากออกพ่นจานอาคมประหลาดสีดำขาวออกมา
จานอาคมมีรูปร่างแปดเหลี่ยม ผิวมีอักขระยันต์ประหลาดสีดำขาวสองสีเต็มไปหมด
ชายหนุ่มสวมชุดสีดำโยนจานอาคมไปตรงหน้าโดยไม่ได้พูดอันใด แล้วกลายเป็นไอสีดำขาวกลุ่มหนึ่งเปลี่ยนรูปไปมากลางอากาศ ชั่วครู่ก็กลายเป็นกระจกโบราณบานหนึ่ง ชั่วครู่ก็กลายเป็นม้วนภาพ อีกเดี๋ยวก็กลายเป็นอาวุธอื่น ราวกับว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมาไม่หยุด
ชายหนุ่มสวมชุดสีดำกลับแค่ขยับแขน นิ้วหนึ่งชี้ไปที่ของตรงหน้า
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น
ชั่วพริบตาที่นิ้วสัมผัสไป ไอสีดำขาวก็รวมตัวกัน กลายเป็นลูกบอลผลึกขนาดเท่ากำปั้นนิ่งงัน
จากนั้นชายหนุ่มพลันบริกรรมคาถา ชี้นิ้วไปอย่างต่อเนื่อง อาคมสีแดงโลหิตสองสามสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วดีดออกมา ทยอยกันจมหายเข้าไปในลูกบอลผลึกอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาลูกบอลผลึกพลันมีลำแสงสีโลหิตปรากฏขึ้น หน้าผีสีแดงโลหิตปรากฏขึ้น หลังจากหัวเราะเหี้ยมเกรียมใส่ชายหนุ่ม ก็หันหน้าไปคำรามต่ำๆ ยังทิศทางหนึ่ง
แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใบหน้าผีก็มีเสียง “ปัง” ดังขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบแล้วระเบิดตัวเองออกกลายเป็นชิ้นๆ แล้วหายวับไป
“หึ เจ้าสองคนนั้นวิ่งเร็วมาก ดูแล้วคงวิ่งไปที่แผ่นดินใหญ่อื่นแล้ว มิเช่นนั้นมารเทวะที่มีจิตสัมผัสของข้าแฝงอยู่คงไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองแค่นี้ ทางนั้นน่าจะเป็นแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนสินะ?” ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา มองไปยังทิศที่มีเสียงคำรามต่ำๆ ของหน้าผีแวบหนึ่ง แล้วพลันซักถามหยางลู่
“รายงานนายท่าน แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนอยู่ทางนั้นจริง” ยามที่หยางลู่เห็นหน้าผีในตอนแรกก็ใจหายวาบ ยามนี้ปากก็ตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด
“แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน! อืม ก็ดี การบวงสรวงโลหิตก็ใกล้เข้ามาแล้ว ควรจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว ที่สำแดงเคล็ดวิชาลับสำรวจในแผ่นดินใหญ่สวรรค์โลหิต และเสียงเพรียกอัสนี ก็ไม่พบปฏิกิริยาตอบสนองจากกบฏเลยสักนิด ดูแล้วคงต้องไปที่แผ่นดินใหญ่นี้สักครั้ง” ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำลูบใต้คาง แววตาเปล่งประกายพลางตัดสินใจ
จากนั้นเซียนผู้นี้ก็ไม่ลังเลอันใดอีก อ้าปากออกดูด ลูกบอลผลึกกลายเป็นไอสีดำขาวแล้วกลืนลงไปในท้องพลางออกคำสั่ง
“พาข้าไปยังเขตอาคมส่งตัวข้ามดินแดนที่ใกล้ที่สุด พวกเราจะไปที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน”
“ขอรับ เชิญนายท่านตามข้าน้อยมาขอรับ” หยางลู่ย่อมไม่กล้าลังเลอันใด ค้อมตัวลงตอบรับ
จากนั้นทั้งสองพลันกลายเป็นลำแสงหลีกหนี กลายเป็นสายรุ้งยาวสีทองและขาวสองสายพุ่งออกไปจากสันเขา แค่หมุนตัวกลางอากาศ ก็พุ่งไปยังทิศทางที่กำหนดเอาไว้
…
บนแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน เหนือหุบเขารกร้างแห่งหนึ่ง หกปีกที่มีสีหน้าดูไม่ได้กำลังมองชายชราระดับมหายานที่กลิ่นอายไม่ด้อยไปกว่าตัวเองสี่คนตรงหน้า
ด้านข้างของเขา ปิงเฟิงสวมชุดสีขาวก็มีสีหน้านึกไม่ถึงเล็กๆ เช่นกัน
ตั้งแต่ที่หกปีกพานางกลับมายังแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนอย่างเงียบๆ ก็หาสถานที่ไม่สะดุดตานักเช่นกัน เพื่อเตรียมกักตัวฟื้นฟูพลังปราณแท้ ผลคือเพิ่งจะผ่านมาครึ่งปี ก็ถูกระดับมหายานแปลกหน้าหาพบ
แม้ว่าหกปีกจะมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วมาก แต่ก็ถูกขวางเอาไว้
เพราะแค่ใช้จิตสัมผัสกวาดไปยังจุดที่ไกลออกไปก็พบว่า แม้ตรงหน้าจะมีแค่ชายชราระดับมหายานสี่คน แต่ไกลออกไปกลับมีระลอกคลื่นเขตอาคมต่างๆ เต็มไปหมด ยามนี้ถูกคนใช้เขตอาคมขนาดยักษ์นิรนามกักเอาไว้แล้ว ต่อให้เคล็ดวิชาหลีกหนีของหกปีกจะร้ายกาจเพียงไหน ก็ไม่อาจทลายเขตอาคมหนีไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ
“ทุกท่านคือผู้ใด คาดไม่ถึงว่าจะเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มาหาข้าน้อยโดยเฉพาะหรือ?” หกปีกมีสีหน้าโหดเหี้ยมฉายแวบผ่าน แล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“หึๆ สหายไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย แค่อยากเชิญนายท่านไปเซียนข้างกายไปกับพวกเราหน่อย เพราะมีเรื่องจะปรึกษาเท่านั้น” ชายชราหน้ากลมคนหนึ่งตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
“หากข้าไม่ไปล่ะ!” หกปีกหางตากระตุก ใบหน้าเผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา
“เกรงว่าจะไม่ใช่สิ่งที่สหายเลือกได้” ชายชราหน้ากลมเอ่ยอย่างสบายๆ
“ฮ่าๆ คิดจริงๆ หรือว่าข้าจะแค่พวกเจ้าสี่คนและเขตอาคมหนึ่งจะจัดการข้าได้ รอให้ข้าสังหารพวกเจ้าแล้ว ค่อยทลายเขตอาคมออกไปก็เป็นเรื่องง่ายดังปลอกกล้วยเข้าปากแล้ว” หกปีกมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วหัวเราะร่าออกมา
“อ่า หากเพิ่มข้าน้อยล่ะ สหายหกปีกจะมั่นใจขนาดนั้นหรือไม่?” เสียงแหบชราอีกเสียงหนึ่งดังแหวกอากาศมา
“ผู้ใด?”
หกปีกพลันตกตะลึง ชั่วขณะนั้นพลันชูคอขึ้น กวาดสายตาไปด้านบน
เห็นเพียงห่างออกไปร้อยจั้งเศษ มีชายชราผมสีแดงสดคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ดูเหมือนจะไม่มีกลิ่นอายเลยสักนิด กลับใช้สายตาอมยิ้มมองมายังเขา
“นายท่านคือ…” เมื่อจิตสัมผัสของหกปีกกวาดไปที่เรือนร่างของอีกฝ่าย รูม่านตาก็อดที่จะหดเล็กลงไม่ได้
“ข้าน้อยหมิงจวิน อยากให้ทั้งสองท่านมาเป็นแขกของพันธมิตรข้าสักหน่อย” หมิงจวินพิจารณาหกปีกสองสามแวบ แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม