A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2404 แดนหมิงซา
หลังจากที่หานลี่มองลูกบอลอัสนีสีม่วงทองชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็สะบัดข้อมือ โยนออกไป
เสียง “สวบ” ดังขึ้น
เมื่อลูกบอลอัสนีบินออกมาได้สองสามจั้งก็กลายเป็นสายฟ้าระเบิดออก
เส้นไหมสายฟ้าสีม่วงทองสาดกระเซ็น คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ตรงใจกลางมีรูสีเทาขาวปรากฏขึ้น มีขนาดเท่าไข่ไก่ แต่ด้านในพลันมีระลอกคลื่นแผ่ออกมา
“ทำลายบรรยากาศได้ดังคาด หลังจากหลอมให้บริสุทธิ์อานุภาพของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายก็อยู่เหนือกว่าที่คิดไว้” หานลี่เอ่ยพึมพำ มุมปากเผยความดีใจออกมา
และในยามนั้นแขนเสื้อของเขาพลันมีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น
หานลี่พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดได้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สะบัดแขนเสื้อ
ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ!
ยันต์วิเศษสีเขียวแผ่นหนึ่งม้วนวนออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากพลิ้วไหวก็มีอักขระสีเขียวบินออกมา พอหมุนวนโคจรก็กลายเป็นตัวอักษรสองสามแถว
หานลี่แค่มองตัวอักษรสีเขียวเหล่านั้นสองแวบอย่างเคร่งขรึม สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เซียนผู้นี้เข้ามาในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนดังคาด เช่นนั้นล่ะก็ ครั้งนี้ไม่ไปคงไม่ได้แล้ว หากกดเขาและขับไล่ออกจากแดนวิญญาณได้โดยไม่กระทบเผ่ามนุษย์ ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด” หานลี่ครุ่นคิดเงียบๆ ทันใดนั้นก็ไม่ลังเลอันใดอีก นิ้วหนึ่งชี้ไปที่อักษรสีเขียวกลางอากาศ และวาดออกไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นอักษรสีเขียวเหล่านั้นก็เลือนราง กลายเป็นอักษรอีกแถว และทยอยกันจมหายเข้าไปในยันต์วิเศษสีเขียว แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ถึงได้ใช้มือหนึ่งเก็บยันต์วิเศษ จากนั้นก็ยืนขึ้น แล้วเดินไปที่ด้านนอกห้องลับ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในตำหนักของวังชิงหยวน หานลี่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลัก แล้วมอบหมายงานให้ทุกคน
หนานกงหวั่นนั่งอยู่ด้านหนึ่งของหานลี่ หน้าตาดูเหมือนจะราบเรียบ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความกังวลใจ
ไห่ต้าเซ่า หลั่นเย่าเอ๋อร์และลูกศิษย์ต่างยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้านอบน้อม
ส่วนอิ๋นเย่ว์ที่แต่เดิมกักตนอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวอยู่ที่คอของหนานกงหวั่นและยิ่งไปกว่านั้นยังมีสีหน้าราบเรียบ
“สรุปแล้วการเดินทางของข้าครั้งนี้ค่อนข้างอันตราย แม้ว่าจะมั่นใจว่าจะเอาตัวรอดได้ แต่ก็ต้องมอบหมายเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ก่อน ยามที่ข้าไม่อยู่ ทุกอย่างในวังให้หวั่นเอ๋อร์เป็นคนจัดการ เย่ว์เทียนและผู้ดูแลอื่นๆ คอยช่วยเหลือ อิ๋นเย่ว์กำลังกักตนอยู่ในช่วงสำคัญ ขอแค่ตั้งใจฝึกฝนก็พอแล้ว นอกจากนี้หากข้าเกิดอันใดขึ้น ไม่อาจกลับวังชิงหยวนได้ในระยะเวลาอันสั้น พวกเจ้าก็เอายันต์ส่วนนี้ออกไปก็ได้แล้ว ข้าออกคำสั่งกำกับด้านในเอาไว้แล้ว ขอแค่พวกเจ้าทำตามก็พอแล้ว” หานลี่พูดเสร็จก็พลิกฝ่ามือ ชั่วขณะนั้นยันต์สีม่วงทองก็ปรากฏขึ้น ผิวมีสายฟ้าสีม่วงทองเปล่งแสงวาววับไม่หยุด
หานลี่แค่พูดคำว่า “ไป” ออกมา ยันต์วิเศษในมือก็กลายเป็นลำแสงอัสนีสีม่วงทองดีดไปทางตำหนัก
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ลำแสงอัสนีก็กลายเป็นอักขระสีม่วงทองจมหายเข้าไปในผิวสองสามชุ่น ตรงขอบดูเป็นระเบียบยิ่ง ราวกับสลักไว้ด้านบนก็ไม่ปาน
ไห่ต้าเซ่าและศิษย์คนอื่นๆ ย่อมไม่มีความเห็นอื่น
หนานกงหวั่นและอิ๋นเย่ว์มองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าอย่างเงียบๆ
เช้าตรู่วันที่สองหานลี่กลายเป็นลำแสงหลีกหนีออกไปจากเกาะหยวนเหอเพียงลำพัง ตรงไปยังเมือง
เทวะสวรรค์
ฉากที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นตามเผ่าต่างๆ ในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน
ผู้แข็งแกร่งระดับมหายานที่เป็นที่พึ่งพิงของเผ่าต่างๆ ได้รับข่าวสารเช่นเดียวกัน และต่างก็กำลังครุ่นคิดด้วยเหตุผลต่างๆ นานา และส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะไปยังแดนหมิงซาทันที
แม้กระทั่งมีผู้แข็งแกร่งระดับมหายานที่มั่นใจในตัวเองมากออกเดินทางด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
ถึงอย่างไรเสียหากสังหารหรือกดเซียนเป็นๆ คนหนึ่งได้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะพบเห็นได้ทั่วไป หากดวงดี พวกเขาก็อาจจะได้ประโยชน์อันใดจากตัวของเซียนผู้นี้ก็เป็นได้
สิบกว่าวันต่อมาเหนือเมืองใต้ดินของพันธมิตรเฮ่อเหลียนซาง
เงาร่างคนสองสายลอยอยู่กลางอากาศ หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำที่กำลังมองมายังสถานที่ทำงานที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนด้านล่าง
โลกใต้ดินถูกจิตสัมผัสมหาศาลกวาดผ่านไปสองสามครั้ง ไม่ต้องพูดถึงเงาร่างคน แม้แต่แมลงก็ยังไม่พบสักตัว ราวกับสิ่งมีชีวิตที่นี่ระเหยกลายเป็นไอก็ไม่ปาน
ส่วนเขตอาคมต้องห้ามที่วางอยู่โลกใต้ดินก็ถูกคนถอนออกไปจนเกลี้ยง สิ่งปลูกสร้างที่แต่เดิมถูกวางเอาไว้ ก็ไม่เหลือแม้แต่ศิลาวิญญาณสักก้อน
“นายท่าน ดูแล้วคนของพันธมิตรเฮ่อเหลียนซางจะได้รับข่าวนานแล้ว และชิงถอนทัพไป” หยางลู่ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างนอบน้อม ในใจพลันรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
จากชื่อเสียงของพันธมิตรเฮ่อเหลียนซาง คาดไม่ถึงว่าจะไม่สู้แต่ถอย ช่างอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ
“หึๆ พวกเขาไม่โง่เขลา รู้ว่าพลังของตนไม่อาจต่อกรกับข้าได้ จึงหนีไปอย่างรวดเร็ว ช่างเถิด พวกเขาหนีก็หนีไป ไปหาเจ้าสองคนนั้นกันเถิด พวกเขาถูกข้าลงผนึกเอาไว้ ต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวก็ไม่อาจหนีการควบคุมของข้าได้ หึๆ หากไล่ตามพวกเขา ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะได้อันใดดีๆ ก็เป็นได้” หม่าเหลียงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยพร้อมกับแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา
“นายท่านหมายความว่า…” หยางลู่ได้ยิน ก็ถึงบางอ้อเล็กๆ
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอันใด ทว่าครั้งที่แล้วมีคนใช้เจ้าสองคนนั้นเป็นตัวล่อ แต่จุดจบของพวกเขาก็ไม่ได้ดีนัก ดูแล้วคงมีคนคิดจะทำซ้ำสอง” หม่าเหลียงหาววอด ใบหน้าเผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา
“ผู้น้อยเข้าใจแล้ว ทุกอย่างตามประสงค์ของนายท่าน” หยางลู่ประสานมือตอบรับ
“ไปกันเถิด เจ้าสองคนนั้นพลังยุทธ์ไม่เท่าไหร่ แต่เคล็ดวิชาหลีกหนีกลับไม่ธรรมดา จะไล่ตามพวกเขาไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด ทว่าพวกเขาน่าจะสูญเสียปราณแท้ไปไม่น้อย แม้ว่าจะมีสมุนไพรวิญญาณ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็อย่าคิดจะฟื้นฟูได้ ครั้งนี้หากถูกข้าไล่ตามพวกเขาคงหนีไม่รอด” หม่าเลียงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
จากนั้นเขาพลันใช้มือหนึ่งร่ายอาคม เมฆเจ็ดสีด้านล่างรวมตัวกัน แล้วล้อมรอบเขาพลางพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
หยางลู่เห็นเช่นนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งไล่ตามไป
ในเวลาเดียวกันหกปีกและปิงเฟิงอยู่ที่พันธมิตรเฮ่อเหลียนซางที่อยู่ไกลเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ได้ กำลังฟัง
หมิงจวนกำชับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“สหายทั้งสองวางใจ มีสำเภาลี้เทวะประกอบกับยันต์วิเศษเหล่านี้ ต่อให้เทพเซียนมีอิทธิฤทธิ์ขนาดไหน ก็อย่าคิดจะตามพวกเจ้าได้ในระยะเวลาสั้นๆ และเงื่อนไขของพันธมิตรของเราที่มีต่อพวกเจ้าก็ง่ายมาก ขอแค่พาอีกฝ่ายอ้อมเป็นวงกลมได้ จากนั้นพาเขามาที่แดนหมิงซาภายในระยะเวลาสามเดือน พวกเจ้าก็นับว่าทำสำเร็จ” ลี่ว์อิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทำสำเร็จอันใด นี่มีประโยชน์อันใดสำหรับข้า แต่เรื่องที่เจ้าตอบรับข้าอย่าลืมล่ะ” หกปีกตอบกลับอย่างเย็นชา
หลังจากได้รับสมบัติเหล่านั้นจากหมิงจวิน เขาก็มั่นใจว่าจะล่อหม่าเหลียงได้ มิเช่นนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าถูกเป็นตัวล่อ เขาก็ไม่มีทางทำตามอีกฝ่ายง่ายๆ
“ฮ่าๆ เรื่องนี้โปรดวางใจ ทางสหายหาน ข้าเองก็ช่วยเจ้าพูดแล้วให้เขาไม่มารบกวนเจ้าภายในพันปีนี้ ข้าคิดว่าสหายหานคงไว้หน้าข้าแน่นอน ส่วนสหายปิงเฟิง สิ่งที่เจ้าต้องการ ยามนี้พันธมิตรของข้ายังไม่มี แต่หลังจากนี้จะต้องช่วยสหายรวบรวมเต็มกำลังแน่” หมิงจวินเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ขอแค่ท่านอาวุโสทำเต็มที่ก็พอแล้ว” ปิงเฟิงกลับหัวเราะขมขื่นขณะตอบกลับ
“หากสหายหมิงจวินไม่มีอันใดแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็จะออกเดินทาง จากระดับความเร็วของอีกฝ่ายภายในหนึ่งถึงสองวันก็คงมาถึงที่นี่” หกปีกเอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลายลง
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นสหายทั้งสองก็ออกเดินทางเถิด จุดนี้พันธมิตรของเราได้ละทิ้งแล้ว” หมิงจวินพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ดังนั้นครึ่งชั่วยามต่อมาด้านนอกพลันมีเสียงฟ้าคำรามดังขึ้น สำเภาเหาะเหินสีเขียว และสีอำพันก็ปรากฏขึ้น และสั่นเทากลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไป
เวลาต่อมาที่นั่นก็มีลำแสงหลีกหนีนับร้อยสายพุ่งออกไปพร้อมกัน หมุนวนแล้วแบ่งออกเป็นสองสามแถวพลางพุ่งไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน
สองวันต่อมาเมฆเจ็ดสีก็ปรากฏขึ้น หลังจากรั้งรออยู่เล็กน้อย ก็แค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา จากนั้นลำแสงสีเงินพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เสาอัสนีหนาๆ พ่นออกมา
เห็นเพียงลำแสงอัสนีส่งเสียงอึกทึก ที่มั่นกลายเป็นเถ้าถ่าน
หลังจากที่เมฆเจ็ดสีเลือนราง ก็จากไปอย่างรวดเร็ว
…
ครึ่งเดือนต่อมาเรื่องอันยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้น
เผ่าที่เลื่องชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งในเรื่องเคล็ดวิชาลวงตาของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน นามว่า ‘เผ่าเมล็ดข้าว’ ก็ถูกคนใช้บ่อโลหิตที่ไร้ขอบเขตสิบกว่าบ่อล้อมเอาไว้ ชาวเผ่าเมล็ดขาวนับพันหมื่นคนด้านในถูกบ่อโลหิตหลอมจนกลายเป็นวารีโลหิต
มีเพียงอาวุโสระดับมหายานสองคนที่รักษาการณ์เมืองได้รับข่าวล่วงหน้า จึงหนีไปถึง เลยรอดพ้นจากหายนะ
เช่นนั้นข่าวลือของมารเหี้ยมบวงสรวงโลหิตถึงได้แพร่งพรายไปตามแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนอย่างเป็นทางการ
เผ่าเล็กๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับเผ่าเมล็ดขาวได้รับข่าวนี้ก็ตกตะลึงและหวาดกลัว ทยอยกันส่งคนไปสืบหาความจริงของข่าวลือ
และในเวลาเดียวกันผู้แข็งแกร่งที่สุดของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนสิบกว่าคนก็อาศัยเขตอาคมส่งตัวของพันธมิตรซางเดินทางทั้งวันทั้งคืน เริ่มมารวมตัวกันที่แดนหมิงซาตามลำดับ
…
“นี่คือแดนหมิงซากลิ่นอายทมิฬคละคลุ้งมาก!” หานลี่มองไปยังแดนสีดำเขียวที่ไร้ขอบเขตตรงหน้า แล้วเอ่ยพึมพำ
จากความรอบรู้ของเขา ความเข้มข้นตรงหน้าแทบจะเป็นไอทมิฬที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ และทำให้เขารู้สึกตกตะลึงไม่น้อย
หากผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ทั่วไปบุกเข้าไป แค่ไอทมิฬก็เพียงพอจะทำให้เขาคลุ้มคลั่งตายแล้ว
และแดนหมิงซา ความจริงแล้วก็เป็นเขตแดนต้องห้ามที่มีชื่อเสียง
หานลี่ครุ่นคิด ยามที่กำลังจะกลายเป็นลำแสงหลีกหนีเข้าไปในนั้น ฉับพลันนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี หันหน้าไปมองทิศทางหนึ่ง
ผลคือหลังจากผ่านไปชั่วครู่ทางนั้นก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น เสียงประชิดเข้ามาเรื่อยๆ ราวกับว่ามีสิ่งมหึมาอันใดสักอย่างกำลังวิ่งมาทางนี้