A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2416 ร่างแท้ของเซียน (2)
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2416 ร่างแท้ของเซียน (2)
เสียงดัง “ตู้ม” ดังขึ้น
ทันใดนั้นเองร่างของหม่าเหลียงก็มีอักษรรูนที่ดูน่าอันตรายพวยพุ่งออกมาสองสาย นั่นคืออักษรรูนสีทองและสีฟ้า หลังจากนั้นม่านสีทองก็ขยายออกมาหนึ่งชั้น แต่เมื่อแสงสีฟ้าส่องประกายออกมา ก็มีเปลวไฟสีน้ำเงินพวยพุ่งออกมาจากแสงสีทองทันที ด้านในเปลวไฟสีน้ำเงินก็ยังเห็นสะเก็ดไฟสีทองบางๆ…
ชั้นหนึ่งอีกม่านสีทอง อีกชั้นคือเปลวไฟสีน้ำเงิน แสงทั้งสองผสมรวมกันอย่างบ้าคลั่ง เพียงครู่เดียวก็ไม่รู้ว่าบนตัวของหม่าเหลียง มีม่านเหล่านั้นซ้อนกันไปมากี่ทบแล้ว
การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก
หลังจากอิ๋นกังจือที่ยืนอยู่ไม่ไกลจ้องมันแล้วก็ยังรู้สึกมึนหัวอย่างมาก
มหาเมธีเหล่านั้นรู้สึกตกใจอย่างมาก และทุกคนก็เพิ่มความระมัดระวังเพิ่มขึ้นอีกด้วย
สีหน้าของหมิงจุนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แววตามีความเย็นชาแผ่ออกมา
ในตอนนั้นเองหม่าเหลียงกลับหัวเราะออกมาเสียงดัง ทันใดนั้นม่านสีทองของเขาก็หยุดนิ่ง พร้อมส่องแสงประกายแวววาว จากนั้นเขาก็ก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างกะทันหัน พร้อมเสียงดัง “ตู้ม” คล้อยหลังมา พริบตาเดียวร่างกายของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นไม่รู้กี่เท่าตัว กลายเป็นคนยักษ์ร่างสีทองขนาดสูงมากกว่าพันจั้ง ในเวลาเดียวกันเคล็ดวิชาที่อยู่กลางฝ่ามือของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน อักขระวิญญาณสีทองปรากฏอยู่บนผิวหนังของเขาเต็มไปหมด ในเวลาเดียวกันแสงสีทองก็ออกมาจากชายชราร่างผอมที่อยู่ด้านข้าง กลายเป็นปราณอีกขุมพลังหนึ่งที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า
พลังของค่ายกลเม็ดฝุ่นสองลักษณ์กำลังสับสนอย่างมาก มันดูยุ่งเหยิงและวุ่นวาย และอ่อนแรงลงไปมากกว่าครึ่ง ทำให้มันยังคงรูปลักษณ์เอาไว้ได้เท่านั้น
“แดนวิญญาณ! คาดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถใช้พลังของแดนวิญญาณแห่งนี้ได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้ ด้วยการควบคุมของโลกใบนี้ เขาจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?” ฮูหยินอูหลิงพูดโพล่งออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
อิ๋๋นกังจือและคนอื่นก็เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับมหาเมธี จึงสามารถมองออกที่มาของพลังของ
หม่าเหลียงหลังกลายร่างได้ทันที ทุกคนจึงมีสีหน้าตกใจอย่างมาก และมีความหวาดกลัวเล็กน้อย
เซียนท่านนี้สามารถกระตุ้นแดนวิญญาณได้ นั่นหมายความว่าพลังของเขากลับมาในสู่ระดับเดิมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว และเขายังไม่ได้รับแรงต้านจากดินแดนแห่งนี้เลย
แม้ว่าคนเหล่านี้จะมีวรยุทธ์สูงส่งและหยิ่งผยอง แต่เมื่อคู่ต่อสู้ของเขาคือเซียนคนหนึ่งที่ไม่ได้รับแรงต้านอะไรเลย จึงทำให้ทุกคนตระหนักได้อย่างทันทีว่า ต่อให้พวกเขาทุกคนร่วมมือกันก็ไม่มีทางเอาชนะคนผู้นี้ได้เลย
“หึๆ แดนวิญญาณอะไรกัน ข้าต่างหากคือแดนวิญญาณ อีกเดี๋ยวพวกมดปลวกอย่างพวกเจ้าก็จะได้รู้จักกับพลังของมันแล้ว หากพวกเจ้ายังมีพลังอะไรเหลืออยู่ ก็รีบใช้มันออกมาซะสิ หากรอให้ข้าลงมือ เจ้าจะบอกว่าข้าไม่ให้โอกาสไม่ได้นะ” ยักษ์ร่างทองมีแสงประกายวิบวับ ดวงตาข้างหนึ่งเป็นสีทอง อีกข้างเป็นเปลวไฟสีน้ำเงิน เขาพูดขึ้นด้วยเสียงกึกก้อง จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งชี้ไปบนท้องฟ้า
เสียงเสียงหนึ่งดังรอดออกไป ลำแสงสีทองสายหนึ่งลอยออกจากปลายนิ้วของเขาพุ่งขึ้นฟ้า หลังจากนั้นพริบตาเดียว และหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไร้ร่องรอย
ทันใดนั้นเอง พื้นที่ความว่างเปล่าทั้งหมดก็สั่นสะเทือนขึ้นทันที แสงสีทองเหล่านั้นกลายเป็นม่านสีทองแล้วระเบิดออกไป แทบจะในเวลาเดียวกันพื้นที่ความว่างเปล่าทั้งหมดเกือบจะย้อมกลายเป็นสีทองแดง
ภูเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พื้นดินด้านล่างมีรอยแยกสีทองออกมา ภูเขาไฟสีทองก็ปะทุออกมา จากนั้นลาวาสีทองก็ไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ในตอนนั้นเองราวกับว่าโลกทั้งใบถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสีทองแล้ว
เมื่อเห็นฉากที่น่ากลัวแบบนี้ก็ทำให้อิ๋๋นกังจือและคนอื่นๆ รู้สึกดิ่งอย่างมาก
“สหายทุกท่าน ไม่ต้องกลัว แม้ว่าเราจะไม่รู้ทำไมเขาถึงควบคุมแดนวิญญาณได้ แต่เขาไม่ทางควบคุมได้ในระยะเวลานาน ไม่เช่นนั้นเขาคงทำแบบนั้นมานานแล้ว ไม่มาใช้หุ่นเชิดถ่วงเวลาพวกเรามานานขนาดนี้หรอก” เมื่อหมิงจุนเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็ดูน่าเกลียดอย่างมาก แต่เขาก็รีบพูดเตือนสติเสียงดัง
ฮูหยินอูหลิงและคนอื่น ได้ยินดังนั้นก็คิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมีเหตุผลอย่างมาก แต่หลังจากมองหน้ากันไปมาแล้ว เขาก็ยังเห็นความลังเลในสายตาของสหายหลายคนอยู่
ตอนนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับคนยักษ์ร่างทอง แต่เขากลับหลับตายืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ราวกับว่ากำลังปรับลมปราณในร่างกายอยู่
ตอนนั้นเองขอบเขตสีทองแผ่กระจายกว้างขึ้น จนทำให้ตาเนื้อของพวกเขามองไปทางไหนก็มีแต่สีทอง หมินจุนและคนอื่นๆ ต้องรีบถอยตัวออกจากบริเวณใกล้เคียงให้ได้เร็วที่สุด เขาไม่กล้าที่จะไปสัมผัสกับแสงสีทองที่แผ่กระจายทั่วแดนวิญญาณนี้เลย
อิ๋๋นกังจือที่เพิ่งได้สติกลับคืนมา ใบหน้าของเขาก็มืดครึ้มขึ้น เขามองไปรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็ถามหมิงจุนที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาว่า
“ด้วยความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามในตอนนี้ เกรงว่าข้าก็อาจจะไม่สามารถรั้งเอาไว้ได้ หากไม่ระวังแค่นิดเดียวก็อาจจะเกิดอันตรายได้ พี่หมิงนี่ถึงเวลาที่จะท่าไม้ตายอื่นๆ แล้วใช่หรือไม่ ผู้น้อยแซ่อิ๋นไม่เชื่อว่าสหายจะเตรียมมาแค่ค่ายกลเม็ดฝุ่นสองลักษณ์มาแค่อย่างเดียวเท่านั้น”
“หึ สหายอิ๋นได้โปรดวางใจเถอะ ในเมื่อเซียนผู้นี้ตั้งใจจะใช้พลังเซียนอย่างแท้จริง ข้าเองก็ไม่มีทางนั่งดูอยู่เฉยๆ อยู่แล้ว สำหรับแดนวิญญาณ ข้าได้เตรียมวิธีรับมือเอาไว้สองแบบแล้ว ไม่มีทางทำให้สหายทั้งหลายตายเปล่าแน่นอน” หมิงจุนแค่นหัวเราะออกมา แล้วตอบอย่างไม่ต้องครุ่นคิด
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาร่ายคาถา ส่วนอีกข้างก็สะบัดแขนเสื้อไป ทันใดนั้นเอง ผนึกสีดำกลมๆ หลายเม็ดก็ลอยออกมาอยู่ตรงหน้าเขา พร้อมส่องแสงสว่างขึ้น และลอยวนรอบๆ ตัวของเขา ราวกับว่าเป็นดอกไม้ยักษ์สีดำที่กำลังจะเบ่งบาน
“ตู้ม” เสียงหนึ่งดังขึ้น
ดอกไม้สีดำเหล่านั้นหยุดส่องแสงอย่างกะทันหัน พร้อมกลายเป็นม่านแสงสีดำขึ้นมา และแผ่กระจายอย่างบ้าคลั่ง อิ๋๋นกังจือและคนอื่นๆ ก็ได้รับการปกป้องจากดอกไม้เหล่านี้ เมื่ออยู่ภายในม่านแสงนี้ก็สามารถต้านทานลำแสงสีทองจากด้านนอกได้ โดยที่มันจะไม่แผ่ขยายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ในขณะเดียวกันแสงสีดำก็พวยพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมเสียงร่ายคาถาที่ดังออกมาจาค่ายกล หลังจากที่ทุกคนได้ยินเสียงนี้ ในใจก็รู้สึกสงบมากขึ้นทันที
“สุดยอดแดนโพธิสัตว์! นี่ไม่ใช่ของวิเศษปกป้องของพระพุทธศาสนาในแดนนี้ใช่หรือไม่ คาดไม่ถึงว่ามันจะมาอยู่ในมือของสหายได้” เมื่อหญิงสาวที่สวมชุดนางในเห็นเขตอาคมลำแสงสีดำอย่างชัดเจน นางจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจระคนดีใจ
“หึๆ ของวิเศษชิ้นนี้ข้าได้มันมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับแดนวิญญาณของอีกฝ่าย แต่ก็สามารถปกป้องสหายชั่วคราวได้โดยไม่มีปัญหา หากยังใช้ไม่ได้อีกล่ะก็ ข้ายังมีวิธีอื่นอีก” หมิงจุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ดี ในเมื่อสหายมีทางรับมือแล้ว เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปสู้อีกครั้ง ขอเพียงแค่สามารถฆ่าเซียนผู้นั้นได้ มันก็คุ้มค่าที่จะลองเสี่ยง” หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหัวโล้นที่ถูกทำลายใบหน้าก็พูดขึ้น ราวกับเขาตัดสินใจอะไรได้ ดังนั้นใบหน้าที่เหลือแค่ครึ่งซีกของเขาจึงดูน่ากลัวมากขึ้นหลายส่วน
“ข้าเองก็จะสู้ต่อ แต่ว่าเรื่องนี้ต้องพูดคุยกันให้รู้เรื่อง หากพวกเรารวมพลังแล้วยังไม่สามารถสู้ได้ ข้าจะไม่อยู่ต่อเพื่อตายอย่างเสียเปล่าหรอกนะ” ฮูหยินอูหลิงพูดขึ้นอย่างเย็นชา
หลังจากที่อิ๋๋นกังจือและคนอื่นๆ ได้ลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว แม้ว่าจะไม่มีการพูดอะไรมาก แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดจะลองทดสอบพลังแดนวิญญาณของอีกตรงข้ามดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจทำเรื่องอื่นต่อไป
แน่นอนว่าหมิงจุนเข้าใจความคิดของมหาเมธีเหล่านี้ดี แต่หลังจากที่เขาหัวเราะออกมาแล้ว และขยับปากส่งเสียงออกมาเล็กน้อย
“ทุกท่านได้โปรดวางใจ หากว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียนผู้นั้นจริงๆ ข้าจะไม่ยอมให้ทุกท่านอยู่ที่นี่ต่อเพื่อตายอย่างเสียเปล่าแน่นอน แต่ทุกท่านอย่าลืมว่าเรายังมีสหายเซวียนจิ่วหลิงตราบใดที่ข้าสามารถสร้างโอกาสที่ดีให้พี่เซวียนได้ ความหวังที่จะฆ่าอีกฝ่ายได้ก็ถือว่ามีไม่น้อยเลย”
เมื่อฮูหยินอูหลิงและมหาเมธีคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เซวียนจิ่วหลิงเคยฆ่าวิญญาณแท้เก้าหัวมาแล้ว คำพูดนี้จึงสร้างความขวัญกำลังใจให้กับพวกเขามากขึ้น
และในตอนนั้นเอง ในที่สุดคนยักษ์ร่างทองที่ยืนอยู่ตรงข้ามก็ลืมตาขึ้นมา พลังภายในของเขากลับไปอยู่ในระดับเซียนแล้ว เขาสามารถแสดงเคล็ดวิชาลับที่แท้จริงของแดนเซียนได้โดยไม่ต้องกังวลแล้ว
ฝ่ายตรงข้ามเป็นแค่มดปลวก หากคิดจะโจมตีพลังแดนวิญญาณของเขาแล้วล่ะก็ ถือว่าพวกมันคิดผิดแล้ว
สำหรับเซียนคนหนึ่งแล้ว ดึงพลังจากแดนจิตวิญญาณสามารถใช้เป็นวิธีโจมตีที่รุนแรงได้ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือใช้มาเป็นพลังเสริม ในครั้งนี้ เขาไม่ได้วางแผนจะใช้พลังเหล่านั้นเป็นการโจมตีโดยตรง
เมื่อหม่าเหลียงคิดมาถึงตรงนี้ เขามองสำรวจม่านลำแสงสีดำของอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็หัวเราะเย็นๆ ขึ้นมา เขายกมือข้างหนึ่งคว้าความว่างเปล่าที่ทะเลโลหิตด้านล่าง
เสียงระเบิดดังตู้ม
หลังจากกระแสน้ำของทะเลโลหิตแหวกเป็นเป็นสองฝั่ง ลำแสงสีเลือดก็กลายเป็นตราประทับสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่
ด้านนอกของตราประทับมีเลือดและเปลวเพลิงวิ่งไหลวนอยู่รอบๆ ทั้งสี่ด้านมีรูปสลักมากมายไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ อสูร
แสงที่ไหลเวียนจากผนึกก็ไหลไปเรื่อยๆ รูปเหล่านั้นล้วนดีดดิ้นไปมา ราวกับว่ามีชีวิตอยู่จริงๆ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกขนลุกชูชัน
สมบัติชิ้นนี้ต้องมีระดับการทำลายล้างที่สุดมากแน่นอน ไม่รู้ว่าต้องใช้เลือดของสัตว์ที่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ถึงจะได้เป็นผนึกเลือดหมื่นวิญญาณชิ้นนี้มา
ตอนนี้เขามีพลังเซียนแล้ว จึงมีพลังเพียงพอที่จะใช้ของวิเศษชิ้นนี้ ด้วยการโจมตีระดับนี้ จะให้ฆ่าเซียนที่มีพลังธรรมดาก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่หากมาใช้ฆ่ามดปลวกที่อยู่ตรงหน้านี้ก็เหมือนใช้มีดฆ่าวัวมาฆ่าไก่นั่นแหละ มันต้องสิ้นเปลืองพลังงานไม่น้อยเลย แต่เพื่อจะได้ปิดฉากการต่อสู้อย่างทันที มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะยิงปืนใหญ่ต่อหน้ามดปลวก
เมื่อหม่าเหลียงคิดเช่นนั้น เขาจึงถ่ายเทพลังพลังเข้าไปที่ตราประทับนั้นอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นเขาก็สะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง แล้วโยนมันไปฝั่งตรงข้าม
เสียงระเบิดดังขึ้น
ตราประทับสีเลือดกลิ้งหล่นลงจากท้องฟ้าแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
วินาทีต่อมา ด้านบนของม่านลำแสงสีดำก็เกิดระลอกคลื่นที่สั่นไหวอย่างรุนแรงขึ้น หลังจากหมอกสีเลือดแพร่กระจายออกมา ทันใดนั้นสัตว์ประหลาดร่างสีแดงตัวใหญ่ยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ผิวหนังของมันเต็มไปด้วยแสงสีเลือด เงาของคน สัตว์ และอสูรทุกชนิดค่อยๆ ปรากฏตัวออกมา พร้อมกับส่งเสียงคำรามไปทั่วท้องฟ้า
ตราประทับสีเลือดค่อยๆ หล่นลงไปอย่างช้าๆ จนในที่สุดที่มันก็พร่ามัว
ม่านแสงสีดำที่กำลังเผชิญหน้ากับตราประทับนั้น ก็ค่อยๆ บิดเบี้ยวแล้วส่งเสียงดังตู้ม ผนึกทรงกลมสีดำทั้งแปดสิบเอ็ดเม็ดก็ระเบิดต่อเนื่องราวกับเป็นประทัด
ม่านแสงสีดำหายไปในอากาศพร้อมเสียงคำรามเป็นครั้งสุดท้าย นั่นทำให้หมิงจุน อิ๋นกังจือและคนอื่นๆ ที่กำลังเตรียมแผนโจมตีตกใจจนอ้าปากค้าง
“ไป”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนขึ้นมา ตอนนั้นฮูหยินอูหลิงและพวกก็ขยับตัวทันที แต่พริบตาเดียว เขาก็กลายเป็นลำแสงแล้วหลบหนีออกไป แต่ไม่ทันที่จะหนีออกไปได้ ก็เสียงคำรามดังลั่นสนั่นฟ้าดินดังขึ้น
ทันใดนั้นเองก็มีพลังที่น่าสะพรึงกลัวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาในระยะร้อยลี้ อากาศรอบข้างมีแรงกดดันที่มากขึ้น
หลังจากลำแสงเหล่านั้นหลบหนีจากพลังกดทับได้แล้ว พวกเขาก็ทรุดลงที่พื้นอย่างไร้ทางป้องกัน
ฮูหยินอูหลิงและคนอื่นๆ ที่ลอยอยู่กลางอากาศก็มีใบหน้าซีดเผือดและตื่นตระหนก