ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 253 หนิงอวี้ได้รับบาดเจ็บที่หน้าอก
ลูกธนูไฟแล่นแหวกอากาศ เหิงโส่วกลายเป็นป้อมปราการกลางเปลวไฟที่ลุกไหม้ท่ามกลางห่าธนู ทั้งเมืองกลายเป็นสีแดงเพลิงและสีดำไหม้สลับกัน
“ท่านนายพลหนิง ยุ้งเสบียงถูกไฟไหม้! หลังจากดับไฟเหลือเสบียงเพียงห้ากระสอบเท่านั้นขอรับ”
พู่กันขนเพียงพอนในมือหนิงอวี้หยุดลง ปลายพู่กันที่สัมผัสกับกระดาษทำให้น้ำหมึกหยดลงเป็นจุดใหญ่สีดำดวงหนึ่ง
“อืม รู้แล้ว ไปเถิด”
หนิงอวี้ยกพู่กันแล้วจุ่มน้ำหมึกอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย นางเขียนประโยคที่หยุดกลางครันเมื่อครู่ต่อ
ไม่เป็นอะไร ม้าศึกเกราะเหล็กราชวงศ์เหนือคงจะบุกเข้ามาในไม่ช้า เสบียงอาหารที่โชคดีรอดมาได้ห้ากระสอบอาจจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ด้วยซ้ำ หนิงอวี้มุมปากยกยิ้มเศร้า นางส่ายหน้าเบาๆ
เรื่องของลูก ไม่เขียนดีกว่า หนิงอวี้น้ำตาซึมอยู่หางตา หากเว่ยหยวนรู้เรื่องนี้ คงจะทุกข์ใจยิ่งขึ้น
ผ่านไปราวครึ่งเค่อ พู่กันขนเพียงพอนในมือหนิงอวี้ก็หยุดขยับแล้ววางมันลงบนชั้นรองพู่กัน นางล้วงกริชสั้นออกจากแขนเสื้อมาตัดเส้นผมกระจุกหนึ่งออกมาแล้ววางลงบนกระดาษจดหมาย
นางจำได้ดี ในคืนแต่งงานนางเมาสุราจนหลับไป วันรุ่งขึ้นบนเตียงก็มีปมผูกเข้าด้วยกันปมหนึ่งปรากฏอยู่ คิดๆไปแล้วน่าจะเป็นท่านอ๋องที่แอบดึงผมนางมา
จนกระทั่งตอนนี้ นางอยากเหลือสิ่งเตือนความจำไว้สักหน่อยแต่ก็นึกไม่ออกว่าจะหาสิ่งใดมาดี จึงได้แต่ตัดเส้นผมกระจุกหนึ่งแล้วผูกเป็นปม
นางลุกขึ้นยืนแล้วลูบไปบนสาบเสื้อ ครั้นแน่ใจว่าพกจดหมายติดตัวอย่างดีแล้ว จึงเหลียวมองไปรอบห้อง จากนั้นก็ผินกายเดินจากไป
นางกุมกระบี่ยาวในมือแน่น แล้วยกมือขึ้นผิวปากออกมาหนึ่งเสียง ม้าเหงื่อโลหิตร้องเสียงแหลมวิ่งตะบึงมา หนิงอวี้ตีลังกาขึ้นหลังม้า ชุดคลุมสีแดงเพลิงปลิวไสวไปตามสายลม
เกือกเหล็กย่ำลงไปบนพื้นดินที่ถูกสาดย้อมด้วยเลือด วิ่งพุ่งออกนอกประตูเมืองมุ่งสู่กลางฝูงชน นางมองดวงตะวันที่ขอบฟ้า ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า ‘ความหวัง’ บางทีมันอาจจะเป็นต้นทานตะวันก็ได้ ทานตะวันจะเติบโตโดยหันหน้าไปยังดวงอาทิตย์ นั่นไม่ใช่คำอธิบายของสิ่งที่เรียกว่าความหวังอยู่แล้วหรือ
ม้าเหงื่อโลหิตหวีดร้องเสียงแหลม ทะยานขึ้นกลางอากาศเตะพลทหารล้มกองกับพื้น หนิงอวี้แกว่งกระบี่ ฟันสังหารทหารผู้นั้น กระบี่ในมือดื่มเลือดไปมากมาย ท่ามกลางแสงเงินปลาบดูเหมือนมันอาบไปด้วยสีแดงแห่งเลือด
หนิงอวี้ออกกระบี่สีหน้านิ่งเฉย ไม่ใส่ใจกฎระเบียบใดๆ นางคิดเพียงสังหารศัตรูเท่านั้น ผ่านไปราวครึ่งเค่อก็ไม่มีใครกล้ารุกเข้ามา หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นก็เห็นว่าที่ไกลออกไปจากที่นั่น นายพลหน้ากากผีกำลังขี่บนหลังม้ายืนตระหง่านอยู่กลางฝูงชน
วินาทีถัดจากนั้น นัยน์ตาหนิงอวี้ก็หดเล็กลง ข้างกายนายพลหน้ากากผียังมีอีกคนยืนอยู่ บนเอวเขามีดาบโค้งเหน็บไว้ ภายใต้แสงแดดแสงเงินวาวสาดสะท้อนออกมา
หนิงอวี้บังคับม้าเข้าไป นางควบผ่านเหล่าพลทหารนับหมื่นนับพัน นางเห็นเลือดสาดกระเซ็น ซากศพเกลื่อนกลาดไปทั่ว เมื่อประชิดเป้าหมายขึ้นเรื่อยๆ หนิงอวี้ตวัดแส้ ม้าวิ่งห้อด้วยความเร็ว
ทั้งสองเผชิญหน้ากัน หนิงอวี้แกว่งดาบเข้าหา นายพลหน้ากากผีก้มตัวหลบได้ คนชุดดำดาบโค้งที่อยู่ด้านข้างกระโดดขึ้น หนิงอวี้ปลายเท้าแตะลงบนบังโกลนแล้วกระโดดขึ้นกลางอากาศ
คนชุดดำมือถือดาบโง้งตั้งขึ้น หนิงอวี้พลิกตัวถีบเท้าข้างหนึ่งไปยังเขา กระบี่ยาวในมือแทงพุ่งตรงไปยังนายพลหน้ากากผี นายพลหน้ากากผียังคงหลบได้ ตาทั้งคู่ที่มองไปยังนางเต็มไปด้วยความเศร้าระทม
หนิงอวี้มือยันบนหลังม้าแล้วลงสู่พื้นอย่างมั่นคง ดาบโค้งจู่โจมเข้ามาแต่ก็หยุดลงกะทันหัน หนิงอวี้เห็นสีหน้าเกรงกลัวของคนชุดดำก็ควงกระบี่ยาวเข้าหา
ชั่วอึดใจเดียว เสียงเท้าม้าก็ดังขึ้น คนชุดดำพาดดาบยาวอยู่กลางอก หนิงอวี้ก้าวถอยสองสามก้าวรอรับมือ จดจ้องอยู่นาน ทันใดนั้นแสงสีขาววาววับก็สว่างวาบขึ้นมาทันใด นางเผลอใจลอยไปชั่วขณะ
หน้าอกรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง กลิ่นคาวเลือดรสดั่งสนิมปะทุขึ้นในปากหนิงอวี้ แสงสีขาวที่วาววับแล้วเลือนหายไป คือแสงที่แดดที่สะท้อนจากดาบโค้ง คิดไม่ถึงว่าจะถูกใช้เป็นอาวุธได้
หนิงอวี้ก้มหน้าเห็นรอยแผลมีเลือดกลบอยู่บนสาบเสื้อ นางยกมุมปากยิ้มช้าๆ หนิงอวี้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าปราดหนึ่งแล้วค่อยๆ หลับตาลง
ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามาแล้ว รอข้าด้วยนะ
เว่ยหยวน หม่อมฉันผิดต่อท่านนัก
เจ้าเด็กบ้า มารดาเจ้าช่างเป็นคนไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ทั้งที่เคยบอกว่าจะพาเจ้าเชยชมโลกมนุษย์อันหลากหลายนี้ น่าเสียดาย แม้แต่แสงตะวันเจ้าก็คงไม่อาจได้เห็นเสียแล้ว