ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 257 ค้นหากลางกองศพ
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยต่ำลง แสงอาทิตย์อันร้อนระอุกลับกลายเป็นอบอุ่น เว่ยหยวนเลอะไปด้วยคราบเลือดทั่วกาย เขาพลิกกองศพค้นหาอยู่สองชั่วยาม
มือทั้งคู่ของเขาเต็มไปด้วยลิ่มเลือดที่จับตัวจนดำ ใบหน้าขาวผ่องราวกับเนื้อหยกเต็มไปด้วยรอยเลือดเป็นจุดๆ มั่วหลีค้นหาอยู่เป็นชั่วยาม เหน็ดเหนื่อยจนเหงื่อไหลพลั่กจึงต้องนั่งลงกับพื้นเพื่อพักเหนื่อย
เว่ยหยวนกลับไม่ใส่ใจ เขาเม้มปากค้นหาจนถึงที่สุด เขานับไม่ถ้วนว่าเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดไปแล้วกี่ศพ อาจนับร้อยหรืออาจจะนับพัน ใบหน้าดวงหนึ่งถูกเช็ดจนสะอาด แต่นั่นก็มิใช่คนผู้นั้นที่ใจเขาเฝ้าคิดถึง
ทุกครั้งที่พลิกร่างกาย ใจของเขาล้วนจมลงสู่ห้วงเหวไร้ซึ่งที่สิ้นสุดจนกระทั่งถึงร่างสุดท้าย ไม่ใช่ เว่ยหยวนยกมือขึ้นกุมหน้า หยดน้ำเปื้อนเลือดไหลผ่านซอกนิ้วเขาออกมาหยดหนึ่ง
มั่วหลียืนนิ่งกับที่ไม่กล้าออกเสียง เขาไม่แน่ใจว่าท่านอ๋องกำลังร้องไห้อยู่หรือไม่ เพราะน้ำตาที่ไหลพรั่งพรู สุดท้ายแล้วกลับดูเหมือนเป็นน้ำเลือด
ทันใดนั้น ขอบฟ้าก็มีสายฟ้าฟาดผ่านแถบหนึ่ง เมฆดำครึ้มแผ่กระจาย มั่วหลีโค้งคำนับ “ท่านอ๋อง ตอนนี้พายุฝนกำลังจะมาแล้ว พวกเรากลับกันก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ปล่อยให้ข้าอยู่เงียบๆคนเดียว”
มั่วหลีจนปัญญาจึงได้แต่คำนับแล้วจากไป
ท่ามกลางซากศพนับพันนับหมื่นที่กระจัดกระจาย คนผู้หนึ่งนั่งคุกเข่ากับพื้น มือทั้งสองปิดหน้า ฝนห่าใหญ่เทลงมา ราวกับร่ำไห้ให้กับความเศร้าโศกในใจเขา เมื่อเลือดถูกสายฝนชะ ก็ค่อยๆ กลายเป็นสีแดงอ่อน
เว่ยหยวนปล่อยเสียงร่ำไห้อย่างเศร้าโศกท่ามกลางพายุฝนใหญ่ ราวกับสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เมื่อฝนหยุดลง สายลมโชยผ่าน เว่ยหยวนปล่อยมือลงเผยให้เห็นใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์
ในเมื่อหาศพนางไม่พบ นั่นแสดงว่านางอาจถูกพาตัวไป ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์เหนือหรือราชวงศ์ใต้ นางล้วนแต่อยู่ในสถานะที่ถูกใช้ การที่หาตัวไม่พบ ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้
เว่ยหยวนมองฝ่ามือตัวเอง เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ จากนี้ไป คงต้องเพิ่มค่าตัวหนิงอวี้ขึ้นอีกหน่อยแล้วกัน ให้ศัตรูจำต้องดูแลนางให้ดี เพื่อจะขายนางในราคาดีๆ เมื่อถึงตอนนั้น
ทำเช่นนี้ ร้อนรนเกินไป แต่เขาจำเป็นต้องทำ หากไม่เช่นนั้น เวลาที่เขาจะได้พบกับหนิงอวี้คงถูกยืดยาวออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด
——
ทันทีที่ความคิดผุดขึ้น ก็ยากที่จะเลือนหายไป หนิงอวี้ก้มหน้าลงมองไปยังฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผล นางคาดหวังว่าจะได้ถามซึ่งๆ หน้า แต่มู่หรงเหยียนกลับไม่ปรากฏตัวมาสองวันแล้ว
“แม่นาง เชิญกินอาหารเถิด”
“ออกไป ไปเรียกมู่หรงเหยียนมาพบข้า”
สาวใช้สีหน้าคงเดิม นางพูดอธิบายด้วยเสียงอันเบาว่า “สองสามวันนี้ฝ่าบาททรงยุ่ง แม่นางท่านกินอาหารก่อนเถิด ให้ข้าน้อยได้ไปรายงานพระองค์สักคำ”
หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว นางช้อนตาขึ้นจ้องนางแล้วพูดอย่างชัดคำว่า “ข้าอยากพบเขา”
สาวใช้พยักหน้าแล้วหันกายเดินจากไป
หากเป็นพี่ชายจริง นางควรทำอย่างไรดี หนิงอวี้กำหมัดแน่น ทันใดนั้นหน้าอกก็เกิดเจ็บขึ้นมาอย่างรุนแรง ก่อนไปท่านหมอได้กำชับว่าต้องรักษาจิตใจให้สงบ หากอารมณ์พุ่งพ่าน จะไม่เป็นผลดีต่อบาดแผล
นางยังไม่ตาย จึงควรมีชีวิตอยู่ต่อให้ดี เก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ ถึงจะสามารถฟันคอล้างแค้นศัตรูของบิดาได้ ทว่า หากศัตรูแค้นผู้นี้คือญาติสนิทชิดเชื้อเล่า
หนิงอวี้ไม่อยากคิดหาคำตอบและไม่กล้าที่จะตอบด้วย หากเป็นหนิงเฝ่ยจริง นางควรทำอย่างไร สังหารเขาให้ตายในกระบี่เดียว หรือปล่อยเขาไปดี คงมีเพียงสองตัวเลือกนี้เท่านั้น แต่วิทยายุทธ์นางด้อยกว่าหนิงเฝ่ย หากปล่อยเขาไป ใครจะชดใช้ให้กับการตายของบิดาเล่า
สาวใช้จากไปได้ไม่เพียงหนึ่งเค่อ หนิงอวี้กลับรู้สึกอยู่ไม่สุขราวกับเวลาผ่านไปนานแสนนาน ในที่สุดเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น เสียงเดินก้องกังวานดั่งทองและหยกที่เป็นเสียงจังหวะเท้าเฉพาะของเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เหนือ
ประตูถูกเปิดออกช้าๆ ภาพหน้ากากเขียวเขี้ยวโง้งปรากฏสู่สายตา คนผู้นั้นวันนี้สวมชุดสีดำ ปักดิ้นทองลายงู เครื่องประดับตกแต่งสวยงาม ทุกท่วงท่าย่างก้าวเห็นถึงความสง่างามเฉกเช่นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง
นางถึงกับไม่อาจหาจุดเชื่อมโยงระหว่างเขากับพี่ชายได้ พี่ชายสมถะเรียบง่ายไม่ชอบความหรูหรา มักเลือกแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอันเรียบง่ายที่สุดเพื่อเป็นการฝึกฝนปณิธานตน
“ตามหาข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”
“องค์ชายรองทรงรู้จักหนิงเฝ่ยหรือไม่เพคะ”