ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 258 หนิงอวี้ ข้าโกรธแล้วนะ
“แน่นอน เขาเคยรักษาการณ์ที่หนิงเปียนอยู่นาน ชาวชายแดนราชวงศ์เหนือล้วนแต่รู้จักทั้งนั้น”
หนิงอวี้จ้องไปยังดวงตาเขา ตั้งใจค้นหาพิรุธในนั้น
มู่หรงเหยียนจับสังเกตความตั้งใจนั้นได้ เขาเคลื่อนสายตาลงรับสายตานาง แววตาเต็มไปด้วยความสงบไร้กังวล หนิงอวี้ขบริมฝีปากครุ่นคิดอยู่นานล้วนแต่หาไม่พบร่องรอยใดๆ
ขณะที่มู่หรงเหยียนหันกายจากไป หนิงอวี้ถอนหายใจยาวหนึ่งที นางหลุบสายตากลับต้องตกตะลึงเมื่อเห็นรอยเลือดบนพื้น รอยเลือดยาวคดเคี้ยว ทอดยาวตามชายชุดดำที่กำลังหายไปจากปากประตู
หนิงอวี้ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมาจากไหน นางวิ่งไปยังประตูอย่างรวดเร็ว องครักษ์สองข้างประตูยื่นมือออกมาขวางนางไว้
“แม่นาง ท่านออกไปไม่ได้”
หนิงอวี้ขมวดคิ้ว มองดูเขาเดินจากไปช้าๆ นางอ้าปากอย่างรีบร้อนหมายจะร้องเรียก แต่ก็ปิดปากลงอย่างเงียบๆ
นางไม่กล้า หนิงอวี้ยกมุมปากยิ้มอย่างเยาะเย้ยแล้วผินกายเดินจากไป ชายกระโปรงแดงที่ลากยาวทำให้รู้สึกถึงความอ้างว้างไม่น้อย
——
เว่ยหยวนผลักประตูไม้ที่เลอะเทอะออก เขานิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ ครั้นแล้วจึงได้สติกลับมา
“ออกไปก่อน”
เขาสะบัดมือ สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างก็ถอยออกไป
เว่ยหยวนเดินไปยังด้านหน้าเตียงช้าๆ แล้วเอนกายลง กลิ่นหอมจางๆ ของดอกกล้วยไม้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น หน้าต่างถูกเปิดออกกว้าง สายลมเย็นพัดเข้ามา
กระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะหนังสือปลิวไหว แต่เพราะถูกแท่นฝนหมึกแท่นหนึ่งวางทับเอาไว้ จึงไม่ได้ปลิวหล่นลงพื้น เว่ยหยวนลุกขึ้นนั่งแล้วรีบเดินเข้าไปหยิบจดหมายนั้นมา
“ท่านอ๋อง ข้าคือหนิงอวี้”
“ตอนที่ท่านพบสารฉบับนี้ หม่อมฉันคงตายกลางสนามรบแล้ว”
“หม่อมฉันรู้ดี ว่าหม่อมฉันออกไปเสี่ยงภัยโดยพลการ ท่านอย่าได้โกรธข้าเลย ได้ไหมเพคะ”
เว่ยหยวนกุมจดหมายนั้นแน่น เขาขบฟันเค้นคำพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “ฮึ รู้ว่าเสี่ยงภัยยังจะทำอีกหรือ หนิงอวี้ เจ้าให้ข้าอยู่ที่ไหนกันหรือ”
“ท่านพ่อตายแล้ว หม่อมฉันต้องล้างแค้นให้ท่าน ต้องหาตัวฆาตกรให้ได้”
เว่ยหยวนกำหมัดข้างหนึ่ง คิ้วขมวดแน่น
“ข้าฝังศพท่านพ่อไว้ที่บนเขากู๋ซานน้อย ท่านช่วยหม่อมฉันย้ายสุสานของท่านด้วยนะเพคะ พาท่านไปฝังร่วมกับท่านแม่ที่ชานเมืองด้วย”
“หงหลิงและมั่วหลีทั้งสองรักใคร่ยินดีกันนานแล้ว ขอท่านเป็นประธานจัดงานมงคลใหญ่ ส่งตัวหงหลิงออกเรือนพร้อมกับมั่วหลีอย่างสมเกียรติด้วยนะเพคะ”
มุมปากอันซีดเซียวของเว่ยหยวนค่อยๆ โค้งขึ้น ข้าเล่า หนิงอวี้ เจ้าเอาข้าไว้ที่ไหนกัน รู้ว่าอาจต้องตาย ยังดึงดันจะออกไปอีก ตอนที่เจ้าได้รับบาดเจ็บหนักนั้น เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า ชีวิตที่เหลือของข้าจะเป็นเช่นไร
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เว่ยหยวนก็เบ้าตาบวมแดงแต่ยังคงฝืนทำเป็นเข้มแข็งสงบนิ่งแล้วอ่านจดหมายต่อ
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันรู้ว่า ตอนนี้ท่านคงกำลังโมโห คงจะเอาแต่ถาม ว่าหม่อมฉันเคยฟังคำทัดทานของท่านหรือเปล่า”
“ความฝันอันงดงามที่สุดในชีวิตหม่อมฉันนี้ น่าจะเป็นการได้อยู่ร่วมกันท่านจนแก่ชราผมหงอกไปด้วยกัน ไม่ทอดทิ้งห่างเหิน เมื่อถึงยามแก่เฒ่าท่านจะจูงมือเดินเล่นไปในสวนหย่อม”
“เคยบอกว่าจะดู ‘ความหวัง’ ออกดอกไปพร้อมกับท่าน เคยบอกว่าจะปั้นตุ๊กตาหิมะเป็นเพื่อนท่าน โปรดให้อภัยที่หม่อมฉันต้องผิดคำมั่น ขออภัยด้วยนะเพคะ”
“ถ้าหากชาติหน้ามีจริง ขอเป็นหม่อมฉันที่เป็นฝ่ายคอยเฝ้าคิดถึงท่าน รอคอยท่าน ดีไหมเพคะ”
เว่ยหยวนขมวดคิ้วอย่างกระวนกระวายใจ เขาอยากจะขยำจดหมายเสียแต่ก็ลังเลตัดใจทำไม่ลงจึงได้แต่ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะหนึ่งที โต๊ะที่ไม่ได้แข็งแรงแต่แรกอยู่แล้วก็แตกร้าวไปสี่ห้าส่วน เศษไม้ปลิวกระเด็นออกไป
เว่ยหยวนหดมือที่มีเลือดหยดกลับคืนด้วยสีหน้านิ่งเฉย เขาพับจดหมายในมืออย่างประณีตแล้วเก็บซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ
“ข้าโกรธแล้ว หนิงอวี้”
ทำผิดไม่ควรซ้ำเกินสามครั้ง เจ้าทำราวกับคำพูดข้าเป็นเพียงลมปากครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าดึงดันที่จะออกไปเสี่ยงภัย รอถึงชาติหน้าจะมีประโยชน์อันใด ชาตินี้หากไม่มีเจ้าแล้วก็หามีประโยชน์อันใดไม่
เสียงทอดถอนใจดังขึ้นหนึ่งที เว่ยหยวนหลับตาทั้งคู่ลงช้าๆ เลือดหยดหนึ่งหยดลงบนพื้นแผ่ออกเป็นวงเหมือนดอกไม้ดอกหนึ่ง ข้าจะตามหาเจ้า ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย
เขาผลักประตูเดินออกไป มั่วหลีคอยรอรับใช้อยู่นานแล้ว ครั้นเห็นแผลบนมือเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แต่เขากลับไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากนัก เว่ยหยวนกวาดสายตามองพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าปราดหนึ่ง มันดูส่องสว่างงดงามยิ่งนัก
“ไปเอาโลงศพท่านแม่ทัพหนิง แล้วพวกเรากลับเมืองหลวง”