ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 260 เจ้าคิดสังหารข้า แต่เจ้ากลับไม่อาจลงมือ
“วันนี้แม่นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“ทูลองค์ชาย แม่นางไข้ลดแล้ว แต่ยังไม่ยอมรับอาหารแต่โดยดี ยังดีที่ช่วงที่นางป่วยได้กินข้าวต้มไปบ้างเพคะ”
หนิงอวี้ได้ยินเสียงคนทั้งสองคุยกันจากด้านหลัง นางก้มหน้ามองลายปักบนชายกระโปรง ดอกโบตั๋นเหลื่อมซ้อน มีผีเสื้อปีกงามหลากสีสันสองตัวโบยบินอยู่ท่ามกลาง
เสียงฝีเท้าดังขึ้น หนิงอวี้ย่นคิ้ว มุมปากโค้งยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างเย้ยหยัน
“เจ้ามาทำไม หรือมาเพื่อเอาศีรษะหัวหน้าฝ่ายข้าศึก”
ภายใต้มวยผมซึ่งปักด้วยปิ่นหยกคือใบหน้าอันงามคมขำ คิ้วเข้มดั่งสลัก ริมฝีปากบางกำลังเม้มเล็กน้อย ในดวงตานั้น เต็มไปด้วยความเยือกเย็น มู่หรงเหยียนส่ายหน้าอย่างนิ่งเฉย สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน
น้ำแกงทัพพีหนึ่งยื่นไปจรดริมฝีปาก หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยื่นมือไปปัดมันจนคว่ำ มู่หรงเหยียนหดมือข้างที่ถือทัพพีกลับ มืออีกข้างยังคงถือถ้วยน้ำแกงข้นคลั่กเอาไว้อย่างมั่นคง
“องค์ชายเพคะ พระองค์ได้รับบาดเจ็บหรือไม่เพคะ”
สาวใช้รีบวิ่งมาจากประตูแล้วคุกเข่าลงกับพื้น มู่หรงเหยียนส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าวต้มเย็นแล้ว ไม่ถูกปากแม่นาง ไปเปลี่ยนข้าวต้มลูกเดือยใส่กุ้งร้อนๆ มาหนึ่งถ้วย”
หนิงอวี้เหยียดมุมปาก จนเห็นโค้งยิ้มได้อย่างชัดเจน นางก้มหน้าแล้วซุกหน้าลงกลางเข่าหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ หนิงเฝ่ย ไม่สิ มู่หรงเหยียน เจ้าอยากสังหารข้า แล้วมัวพิรี้พิไรอยู่ไยกัน”
“ข้าไม่อยากสังหารเจ้า”
“แต่ข้าอยาก” หนิงอวี้โพล่งออกมาสามคำ นางหลับตาทั้งคู่ลง “อย่าให้ข้าได้มีโอกาสเชียว ออกไปซะ!”
มู่หรงเหยียนได้ยินเช่นนั้นแต่ยังคงสีหน้าเรียบเฉย แล้วเดินไปสองสามก้าวเพื่อปิดหน้าต่าง
“เจ้าตั้งครรภ์อยู่ ตอนนี้จำเป็นต้องระวังให้มาก ช่วงปลายฤดูสารทต้นเหมันต์แบบนี้ ระวังจะต้องไอเย็นจนป่วย
เจ้ามักลืมใส่เสื้อเพิ่ม จนต้องลมหนาวเดี๋ยวดีเดี๋ยวไข้อยู่ประจำ พอจมูกแดงเป่งก็วิ่งมาหาข้า ร้องไห้โยเยไม่ยอมดื่มยา”
หนิงอวี้ไม่เอ่ยสิ่งใด นางค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ก็เห็นมุมปากเขายกยิ้มน้อยๆ กำลังดื่มด่ำกลับเรื่องราวครั้งอดีตอย่างเต็มที่ นางกำหมัดทั้งสองแน่น ทนไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แต่เรื่องนี้มันจะมีความหมายอะไรกันเล่า
เขาเป็นคนทำลายอดีตทุกอย่างลงด้วยมือตัวเอง ใช้วิธีการเดียวทำลายทุกสิ่งจนพังพินาศ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว จะย้อนคิดถึงอดีตให้มีประโยชน์อย่างใดกัน ดีแต่ทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนเพียงเท่านั้น
“ถวายบังคมองค์ชาย ข้าวต้มมาแล้วเพคะ”
สาวใช้ประคองข้าวต้มเข้ามาข้างหน้า กลิ่นหอมจางๆ จนแทบจะไม่ได้กลิ่นลอยฟุ้ง หนิงอวี้ขบฟัน มู่หรงเหยียนเดินเข้าไปยกถ้วยข้าวต้ม สาวใช้จึงยอบกายคำนับแล้วถอยออกไป
“เจ้าชอบกินข้าวต้มลูกเดือยใส่กุ้งที่สุด ลองชิมหน่อยไหม”
หนิงอวี้กวาดสายตามองเขาปราดหนึ่งอย่างเย็นชา มู่หรงเหยียนทำราวกับไม่เห็น เขาตักข้าวต้มขึ้นมาช้อนหนึ่งแล้วยื่นไปริมฝีปากหนิงอวี้
“คิดจะฆ่าข้า ก็ต้องเก็บแรงเอาไว้ให้พอ เจ้าไม่กินอาหารก็ได้ แต่ลูกในท้องเจ้าต้องการอาหารนะ”
หนิงอวี้ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก็ได้ยินมู่หรงเหยียนอ้าปากเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่า…ความหวังก่อนสิ้นใจของท่านแม่ทัพหนิง คือให้เจ้ามีชีวิตต่ออย่างมีความสุข”
หนิงอวี้ค่อยๆ อ้าปาก กลืนข้าวต้มอุ่นๆ นั้นลงไปแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ข้าไม่เคยพบเคยเห็น คนไร้ซึ่งยางอายเช่นเจ้ามาก่อน”
มู่หรงเหยียนทำราวกับไม่ได้ยิน เขาตักข้าวต้มขึ้นมาหนึ่งช้อน เขาโน้มตัวลงเป่าเบาๆ แล้วจึงยื่นไปจรดริมฝีปากนาง หนิงอวี้ยื่นมือไปแย่งถ้วยมา นางเงยหน้าซดลงจนหมดในรวดเดียว
มู่หรงเหยียนพยักหน้าพลางหันกายกลับ ข้าวต้มนั้นร้อนอยู่บ้าง นางจึงรู้สึกแสบร้อนในลำคอ แต่นี่จะเทียบกับความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงในใจนางได้อย่างไรกัน
“เจ้าอยากฆ่าข้า แต่เจ้ากลับไม่อาจลงมือได้”
เสียงทอดถอนใจแผ่วเบาแว่วมา หนิงอวี้ปาถ้วยข้าวต้มลงกับพื้น ถ้วยข้าวต้มกลิ้งวนไปบนพรมกำมะหยี่ ข้าวต้มที่เหลืออยู่เล็กน้อยกระเด็นร่วงไปบนพรม
เขาพูดไม่ผิด นางไม่อาจลงมือได้ ไม่มีอาวุธแหลมคม ไม่มีแม้กระทั่งผ้าที่จะรัดคอให้เขาสิ้นใจ หนิงอวี้น้ำตาไหลพรั่งพรูไม่หยุด นางถามตัวเองเสียงเบาว่า “เพราะอะไรกัน”
ชายหนุ่มเยาว์วัยในความทรงจำตบกลางอก ใบหน้าประดับยิ้มร่าสดใส ‘พี่จะดูแลคุ้มครองอวี้เอ๋อร์เอง ไม่ยอมให้อวี้เอ๋อร์ถูกรังแกแน่นอน’
แต่เอาเข้าจริง ผู้ที่ทำร้ายข้าอย่างรุนแรงที่สุด ก็คือเจ้า หนิงเฝ่ย