ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 261 ข้าแทบจะบ้าแล้ว
“ท่านอ๋องช่างอายุน้อยแต่มีความสามารถเสียจริง จัดการกองทัพมีระเบียบนักแล สังหารกองทัพราชวงศ์เหนือจนตั้งรับไม่ทัน ช่วงชิงเอาหยวนอีและเหิงโส่วกลับมาได้ กระหม่อมนับถือยิ่งนัก ทว่าเสียดาย ท่านแม่ทัพหนิง เฮ้อ”
“ได้ยินว่าเมื่อท่านอยู่สนามรบ เป็นเพราะท่านจิตใจห่วงหาพระชายา สวรรค์อยู่ๆ ก็ประทานพร ให้ขาทั้งสองเกิดหายดีขึ้นมา ความรักอันลึกซึ้ง พวกกระหม่อมมิอาจเทียบได้จริงๆ”
“เฮ้อ เสียดายที่พระชายาหายสาบสูญ เช่นนั้นก็เถอะ พระชายาเป็นผู้มีบุญสวรรค์คุ้มครอง ย่อมกลับคืนมาได้โดยสวัสดิภาพแน่นอน”
บนหน้าเว่ยหยวนปรากฏรอยยิ้มดูประหลาดน่ากลัวขึ้นบนใบหน้าทันใด เขาพูดกับเหล่าขุนนางที่เข้ามาประจบเอาใจเหล่านั้นว่า “แม่ทัพหนิงต่างหาก มิใช่พระชายาในจิ่นอ๋อง”
“อ๊ะ ใช่ๆๆ กระหม่อมเลอะเลือนเสียจริง”
เว่ยหยวนพยักหน้ายิ้มตอบ แล้วหันกายเดินจากไป มั่วหลียืนอยู่ข้างประตูกำลังก้มหน้าลงไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดจึงไม่ทันได้สังเกตถึงการปรากฏตัวของเขา
“มั่วหลี กลับตำหนัก”
“อ๊ะ ท่านอ๋อง ท่านมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเข้าไปนั่งในรถม้า รอยยิ้มอันสุภาพบนใบหน้าเว่ยหยวนพลันหายไปกลับกลายเป็นความเฉยชา วันนี้เขากลับเมืองหลวง เว่ยหลิงสีหน้าดูไม่ดีนัก
ผู้คนต่างประหลาดใจกับขาทั้งคู่ของเขาที่หายดี ต่างยอมรับว่าข่าวลือนั้นเป็นจริง
ที่จริงแล้ว ข่าวลือแพร่จากหยวนอีมาถึงเมืองหลวงแต่แรก ขาทั้งคู่ที่เจ็บป่วยมาหลายปีของจิ๋นอ๋อง เป็นเพราะหัวใจรักผูกพันกับพระชายา จนสวรรค์เห็นใจ ด้วยเหตุนั้นขาทั้งสองจึงหายดีเหมือนคนทั่วไป
ไหนเลยที่ฟ้าดินจะรักษาขาทั้งคู่ของเขา เป็นเพราะสิ่งที่อวี้เอ๋อร์ได้ทำต่างหาก เว่ยหยวนคิดมาถึงจุดนี้ก็ยิ้มน้อยๆ ทันใดนั้นก็นึกถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน รอยโค้งยิ้มน้อยๆ นั้นก็พลันเลือนหายไป
รถม้าออกเดินไปตามทาง ในที่สุดก็หยุดลงช้าๆ เว่ยหยวนเดินลงจากรถม้า คนผู้หนึ่งโผเข้ามาด้านหน้า หงหลิงสองตาแดงก่ำ ร้องไห้จนสะอื้น
“ท่าน…อ๋อง…พระชายา…เล่าเพคะ”
เว่ยหยวนส่ายหน้าช้าๆ แล้วเดินหลบนางเข้าตำหนักไป หงหลิงน้ำตาพรั่งพรู นางตามไปหมายจะสอบถาม แต่ก็ถูกมั่วหลีคว้าเอาไว้
เดินเข้าตำหนักชิงอวี้ซวน ต้นความหวังกลางลานกำลังเป่งดอกตูม กลีบดอกสีเหลืองแต่ละกลีบเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ หันไปยังพระอาทิตย์ ดูสว่างสดใส เว่ยหยวนหยุดฝีเท้าลงแล้วยืนอยู่หน้าดอกไม้นั้นอย่างเงียบๆ
‘ความหวัง’ เจ้าเป็นดอกทานตะวันเองหรอกหรือ
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าผิดคำสัญญาแล้ว”
เว่ยหยวนทอดถอนใจเบาๆ เขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญาแล้วเดินเข้าห้องหนังสือไป
ประตูหน้าต่างปิดสนิท มืดสลัวไปทั่ว เจ้าดำพันไปรอบเอวเขา มันคายลิ้นสองแฉกแดงสดออกมา ดวงตารียาวสีทองคู่หนึ่งดูน่าสยองอย่างมาก
เจ้าดำพันขดอยู่สองสามรอบบนช่วงเอว แล้วเลื้อยไต่ขึ้นไปบนบ่าเขา ใช้หัวที่เต็มไปด้วยเกล็ดงูละเอียดเงาวับถูไปบนเสื้อเขา เว่ยหยวนไม่ใส่ใจมัน เขาถือม้วนหนังสือสีขาวซีดม้วนนั้นเอาไว้ในมือ
“นางบอกว่า นางคิดถึงข้ามาก แต่ตอนที่นางออกไปเสี่ยงภัย ไยจึงตัดสินใจโดยไม่คิดถึงข้าบ้างเล่า”
เจ้าดำชูตัวขึ้นแล้วสีใบหน้าเขา ท่าทางดูร้อนรนราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง เว่ยหยวนหลุบสายตาลง ประสานตากับดวงตารียาวสีทองคู่นั้นแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ไม่ต้องหาแล้ว นางไม่คิดถึงเจ้าหรอก นางทิ้งเจ้าไป โดยไม่พูดอะไรสักคำ”
เจ้าดำส่ายหางไปมาอย่างไม่เข้าใจ ครั้นแล้วก็เรื่อยผ่านลำคอ เลื้อยลงไป แล้วเข้าไปอยู่ใต้เตียง
เว่ยหยวนนั่งเหม่อสีหน้านิ่งเฉยอยู่นาน ในที่สุดก็ม้วนเก็บม้วนกระดาษนั้นแล้วซุกเก็บไว้ในลิ้นชัก เขาพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ออกมา” คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากความมืดแล้วคุกเข่าลงกับพื้น
“ลอบเข้าไปในห้องหนังสือหลิงอ๋อง แล้วหาจดหมายหลักฐานสมคบคิดร่วมกับข้าศึกทรยศแผ่นดินมา”
คนในชุดดำพยักหน้าแล้วเร้นกายเข้าไปในความมืด
ในห้องกลับคืนสู่ความเงียบงัน เว่ยหยวนก้มหน้า กวาดสายตาไปบนลายอักษรที่หวัดโย้เย้ไปมา เขายิ้มออกมาพลางส่ายหน้า ช่างเถอะ ไม่โกรธแล้ว ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเขาเองที่หาเรื่องใส่ตัว
“ถ้าจับมัดไว้เสียคงจะว่าง่ายขึ้น จะได้ไม่หนี”
เว่ยหยวนพูดเสียงเบาอย่างเลื่อนลอย ครั้นรู้สึกตัวว่าพูดสิ่งใดไปก็ยกมุมปากยิ้ม พลางยกมือขึ้นลูบบนหน้า
“ข้าจะวิปลาสอยู่แล้ว หนิงอวี้ เจ้าต้องรีบกลับมานะ กลับมาข้างกายข้า”