ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 263 ผู้ที่มีชีวิตต่อคือมู่หรงเหยียน
เสียงฝีเท้าดังขึ้น หนิงอวี้มิได้หันกลับ เพียงแต่ยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ”
ความกังวลบนใบหน้ามู่หรงเหยียนพลันเลือนหายไป กลับกลายเป็นสีหน้าอันสงบนิ่ง เขานิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ มองไปยังแผ่นหลังของหนิงอวี้แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “วันนี้หาใช่ข้าเป็นคนเลือกเองไม่”
หนิงอวี้ไม่ตอบแต่กลับหัวเราะออกมา “ช่างเจรจาค้าขายได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจริงๆ ไยพระองค์จึงทรงรับสั่งเช่นนั้น”
มู่หรงเหยียนเดินมายังด้านหน้าหนิงอวี้ ชุดลายมังกรสีม่วงทั้งตัวนั้นดูแสดตายิ่งนัก
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าฟังข้านะ…”
“ทางนี้คือหนิงเปียน”
หนิงอวี้พูดแทรกตัดบทเขา นางลุกขึ้นช้าๆ มู่หรงเหยียนขมวดคิ้วแล้วยื่นมือออกไปหมายจะแตะนาง แต่ก็ยั้งมือกลางอากาศ
“เจ้าว่า วันไว้อาลัยเจ็ดวันแรกที่ท่านพ่อกลับมา ท่านจะรู้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นองค์รัชทายาทของราชวงศ์เหนือไปเสียแล้ว ฮ่าๆๆ น่าขันเสียจริง”
สิ้นคำ หนิงอวี้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา น้ำตาเล็ดออกจากหางตาหยดลงกลางพุ่มหญ้า
“ศีรษะคนผู้หนึ่ง แลกกับตำแหน่งรัชทายาท เป็นวิธีการที่ดี เป็นการแลกเปลี่ยนที่ดี”
“แล้วข้าเล่า”
หนิงอวี้หันกายกลับ สายตาจ้องตรงไปยังตาทั้งคู่ของเขา
มู่หรงเหยียนส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล หนิงอวี้เหยียดมุมปากแล้วพูดพลางหัวเราะอย่างเย้ยหยันว่า “นอกจากนี้ ข้าก็ไม่มีค่าอะไรแม้แต่น้อย เดิมทีคิดว่าองค์รัชทายาทจะทรงปราดเปรื่องปรีชา คิดไม่ถึงว่าจะโง่ทึ่มเช่นนี้”
สายลมพัดผ่าน บนแก้มหนิงอวี้เลอะไปด้วยคราบน้ำตา มู่หรงเหยียนมองนางนิ่งไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ จึงเห็นว่านางสวมใส่ชุดสีแดงสด หนิงอวี้สังเกตเห็นสีหน้าประหลาดใจของเขาก็โคลงศีรษะเล็กน้อยพร้อมกระพริบตา “เตรียมเพื่อข้าโดยเฉพาะมิใช่หรือ”
“หามิได้…ข้า…เพียงแค่คิดว่าเจ้าเคยใส่ชุดกระโปรงแดง…ก็เลย”
“ก็เลย เตรียมชุดกระโปรงแดงให้ข้า ในวันไว้อาลัยโดยเฉพาะ เพื่อให้ข้าต้องเสียเกียรติใช่หรือไม่”
หนิงอวี้พูดต่อคำพูดเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน น้ำตาไหลพรูออกจากหางตา
มู่หรงเหยียนก้มหน้า ไม่พูดแม้แต่คำเดียว หนิงอวี้ชำเลืองเขาปราดหนึ่งแล้วหันกายเข้าหาผนังฟากนั้น นอกผนังห้องสีเทานั้นคืออิสรภาพ แต่นางกลับมิอาจเอื้อมถึง
สายลมพัดเฉียดใบหน้า พัดเส้นผมดำขลับของหนิงอวี้พลิ้วไหว เส้นผมสีดำไหวไปตามลมแล้วทิ้งตัวลงบนชุดกระโปรงสีแดงสดดั่งเลือดนั้น ดูงดงามเย้ายวนยิ่งนัก บนแก้มนางมีรอยแผลยาวรอยหนึ่งและคราบน้ำตาสองสามจุด แต่มันกลับทำให้ดูงดงามแฝงด้วยความโศกเศร้าสิ้นหวัง
หนิงอวี้ยกมุมปากขึ้นยิ้ม ท่ามกลางน้ำตาที่พลั่งพรู ปรากฏภาพของคนแปลกหน้าในชุดมังกรซ้อนทับกับภาพของพี่ชายในเครื่องแบบที่เรียบง่าย
เมื่อยังเล็ก นางฝึกกระบี่ภายใต้การควบคุมของพี่ชาย หนึ่งวันต้องฝึกสามชั่วยาม มือของนางถูกกระบี่ไม้เสียดสีจนห้อเลือด นางร้องไห้ไปพลางฝึกร่ายรำเพลงกระบี่ในมือไปพลาง ทั้งน้ำตา ทั้งหยดเลือด หยดลงสู่พื้นดิน
พี่ชายที่อยู่ด้านข้างขบฟันแน่น ดูราวกับจะเจ็บเสียยิ่งกว่านางอีก หนิงเฝ่ยลุกขึ้นยืนข้างธูปที่ลุกไหม้แล้วเป่าลมใส่ หมายจะเร่งเวลาให้หดสั้นลง วินาทีถัดจากนั้น แม่ทัพหนิงก็เอามือไขว้หลังเดินเข้ามาอย่างเคร่งขรึม
เรื่องราวในอดีตยังคงติดตา ความเจ็บปวดที่นางได้รับ สำหรับพี่ชายนั้นมากกว่าทบเท่าทวีคูณ แต่ด้วยเหตุใด วันนี้นางเจ็บปวดจนแทบสิ้นใจ แต่พี่ชายกลับไปรับตำแหน่งรัชทายาท เดินสู่เส้นทางอันรุ่งโรจน์งดงาม ไร้ซึ่งความโศกเศร้าแม้แต่น้อย
ท่านพ่อเคยบอกว่าไม่จำเป็นต้องตามหาหนิงเฝ่ยอีก ท่านอ๋องเคยบอกว่าหนิงเฝ่ยตายไปแล้ว ใช่แล้ว หนิงเฝ่ยตายไปแล้วจริงๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเพียงมู่หรงเหยียนเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเรื่องราวแต่แรกเป็นเช่นไร แต่เขากลับกลายเป็นมู่หรงเหยียนไปเสียแล้ว เขาย่อมมีสายเลือดราชสกุลราชวงศ์เหนืออย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้ว ที่บิดาในชาติก่อน ต้องตายด้วยโทษกบฏนั้นก็คง…
“รีบกลับเสียเถอะ ที่นี่ลมแรง ระวังจะต้องไอเย็นล้มป่วยเอา”
“มิบังอาจให้พระองค์ต้องทรงกังวลพระทัยหรอกเพคะ ในเมื่อทรงยุ่ง ไม่สู้เสด็จกลับแต่โดยเร็ว คิดว่าวันนี้คงมีขุนนางใหญ่มากหน้าหลายตามาแสดงความยินดีไม่น้อยเลย ไยทรงลำบากเสียเวลากับคนไร้ประโยชน์เช่นข้านี้เล่าเพคะ”
มู่หรงเหยียนไม่มีคำพูดที่จะตอบ ได้แต่ปั้นหน้ายิ้มเจื่อนแล้วหันกายจากไป เสียงฝีเท้าดังออกไปไกล หนิงอวี้กลับนั่งลงบนก้อนหินอย่างสิ้นหวังน้ำตาหลั่งพรั่งพรูออกมา