ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 266
ใจละเอียดอ่อนดั่งเส้นผม
“ข้าอยากเห็นหนิงเปียน หากต้องการไต่ขึ้นที่สูงแล้วมองออกไปไกลๆ ข้าควรไปที่ใดดี”
สาวใช้เดินนำทาง หนิงอวี้เดินตามหลังนาง ทุกที่ที่ผ่านไม่มีบ่าวไพร่คนใดไม่คุกเข่าลงกับพื้น
เมื่อเดินผ่านต้นไม้ในตอนนั้น ใต้ต้นไม้ถูกเปลี่ยนเป็นสาวใช้คนใหม่สองคนไปแล้ว หนิงอวี้สีหน้านิ่งเฉย มือที่ซุกซ่อนไว้ในแขนเสื้อ กุมเหล็กหมาดของแท่นเทียนนั้นไว้แน่น
เมื่อคืน ตอนที่แสงเทียนดับลงแล้ว นางอาศัยแสงจันทร์ดึงเอาเทียนออกแล้วค่อยๆ บิดเหล็กหมาดแหลมที่เสียบเทียนด้ามนั้นออกทีละนิด
ขณะที่เดินขึ้นหอสูง เหล่าสาวใช้ต่างรายล้อมรอบรั้วอ้างว่าเพื่อบังลม แท้จริงแล้วคือกังวลว่าหนิงอวี้จะกระโดดลงมา
หอสูงตั้งตระหง่าน สามารถทอดสายตามองทุกอย่างเบื้องล่าง เพื่อเฝ้าดูนาง มู่หรงเหยียนถึงกับสร้างตำหนักแห่งนี้ขึ้นบนยอดเขาสูงลูกหนึ่ง
“หนิงเปียนคือทิศใด”
สาวใช้ชี้ไปยังทิศหนึ่ง หนิงอวี้หันกายมองตามไปยังที่แห่งนั้น ในสมองกลับกำลังหวนนึกถึงเส้นทางที่เพิ่งเดินผ่านมาเมื่อครู่
กลางป่าเขา แม้จะเดินทางได้ง่าย แต่ไม่ง่ายที่จะหลบหนี เหล่าทหารที่คอยเฝ้าอารักขามีนับร้อยนาย นอกลานยังมีสิ่งก่อสร้างอีกมากมาย ที่ประตูตำหนักยังมีทหารในชุดเกราะสีเงินอีกนับไม่ถ้วน
หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว เช่นนี้แล้ว…การจะหลบหนีคงยากยิ่งกว่าบินขึ้นฟ้าเสียอีก ไม่สิ…ยังมีวิธีอื่นอีก มุมกำแพงที่อยู่ใกล้หนิงเปียนที่สุดตรงนั้นไง! เพียงปีนข้ามกำแพงก็สามารถหลบเข้าป่าทึบได้โดยตรง
มิหนำซ้ำ นางยังไปมาสถานที่นั้นเป็นประจำไม่มีใครสงสัยอยู่แล้ว หนิงอวี้รู้สึกว่าปลายนิ้วตนเย็นยะเยือก นางค่อยๆ หันตัวกลับ แม้นิ้วมือจะเย็นเฉียบแต่ใจนางกลับเต้นรัวไม่หยุด นางย่างทีละก้าวไปบนขั้นบันได สอดประสานไปกับจังหวะหัวใจที่เต้น
นางเดินไปยังมุมกำแพงของเมื่อวานโดยอาศัยความทรงจำแล้วนั่งลงบนก้อนหินทอดสายตามองท้องฟ้า สาวใช้ยืนอยู่ไกลๆ หนึ่งในนั้นก็ถามขึ้นเสียงเบาว่า “ที่นี่ที่ไหนกัน ทำไมแม่นางจึงสีหน้าเศร้าโศกเช่นนี้”
“หุบปากเสีย มิใช่กงการอะไรของเจ้า”
สาวใช้ถูกตะคอกตำหนิหนึ่งที ก็สงบคำลงแต่โดยดีแล้วถอยออกไปสองสามก้าว
หนิงอวี้ได้ยินเสียงดังขึ้นสวบสาบ นางล้วงจดหมายออกมาแล้วดูอย่างพินิจ นางนั่งทอดถอนใจราวครึ่งชั่วยามเช่นนี้ สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มเกียจคร้าน มีสาวใช้สองสามนางเดินออกไปไกลเพื่อหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
สาวใช้บางนางก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกนางเดินออกไปไกลอีกเล็กน้อยอย่างเงียบเชียบ ในใจแอบคิดว่า มัจจุราชหยกที่แท้ก็แค่นี้ การที่องค์รัชทายาทมาดูแลอย่างจริงใจ ดูเหมือนจะไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
หนิงอวี้ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไปไกลก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปร้องไห้ไปข้างกำแพง
“ถวายบังคมองค์รัชทายาท แม่นางออกไปเดินเล่นเพคะ”
มู่หรงเหยียนพยักหน้ารับ สาวใช้นางนั้นเดินออกไปแล้วพูดคุยกับสาวใช้นางอื่น ครู่หนึ่งก็เดินกลับเข้าไปในตำหนัก
“แม่นางอยู่ที่มุมหนึ่งของตำหนักเนี่ยนอันเพคะ เหม่อลอยอยู่เกือบสองชั่วยามแล้ว”
มู่หรงเหยียนเหยียนพยักหน้าตอบแล้วเดินเข้าไปในห้อง ผ้าห่มนวมบนเตียงเว้าลงเล็กน้อย ดูจากสภาพ อวี้เอ๋อร์คงจะนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนนี้
ไม่มีคนตามปรนนิบัติ มู่หรงเหยียนนั่งลงบนเตียงแล้วมองพิจารณาไปรอบๆ เมื่อวานอวี้เอ๋อร์อาละวาด ฉีกภาพเขียนมีชื่อขาดกระจุยไปสองสามผืน
ทันใดนั้น จุดแดงเล็กๆ จุดหนึ่งที่จับตัวแข็งก็ดึงดูดสายตาเขา มันคือน้ำตาเทียนจุดหนึ่งที่เกาะติดอยู่มุมเก้าอี้ มู่หรงเหยียนย่นคิ้วแล้วยื่นมือไปแคะน้ำตาเทียน
แปลกจริง ไยน้ำตาเทียนจึงอยู่บนเก้าอี้ นางกำนัลที่คอยตามปรนนิบัติล้วนแต่คัดสรรมาจากผู้คนนับพันนับหมื่น ไม่มีทางทำงานผิดพลาดเด็ดขาด นี่ไม่ใช้น้ำตาเทียนนี่นา มันคือขี้ผึ้งต่างหาก
มู่หรงเหยียนมุ่นหัวคิ้วแล้วตะโกนออกไปเสียงดังว่า “เข้ามา ตอนที่แม่นางอาละวาดเมื่อวาน ได้ทำเชิงเทียนล้มหรือไม่”
สาวใช้คุกเข่าลงกับพื้น เนื้อตัวสั่นเทา
“ใช่เพคะ”
“หลังจากเก็บกวาดเสร็จแล้ว ได้เปลี่ยนเชิงเทียนใหม่หรือไม่”
“เพคะ”
“เชิงเทียนอันเก่าอยู่ที่ใด”
“โอ องค์รัชทายาทขออภัยด้วยเพคะ…”
“เข้ามา จัดองครักษ์สามร้อยนาย ไปล้อมด้านนอกกำแพงตำหนักเนี่ยนอันไว้ หากมีใครปีนกำแพงออกมา ให้จับเป็นทันที…ห้ามทำร้าย นำทางข้าไป! ข้าจะไปหานางด้วยตัวเอง”