ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 267
อันตราย
หนิงอวี้ข้ามกำแพงหนีออกไปท่ามกลางสายตาอันประหลาดใจของเหล่าสาวใช้กลุ่มหนึ่ง นางยืนอยู่บนกำแพงเห็นทหารชุดเกราะสีเงินนับไม่ถ้วน อีกด้านคือกลิ่นหอมแป้งชาด อีกด้านคือชุดเกราะสีเงิน หนิงอวี้บนกำแพง ซ้ายมิอาจหลีก ขวาก็มิอาจหลบ
“ลงมานะ!”
ไม่ไกลจากที่นั่น มู่หรงเหยียนกระทืบเท้าเดินเข้ามา เขาเม้มริมฝีปากอันบาง ในสายตาเยือกเย็นราวกับเร้นด้วยเกล็ดหิมะ หนิงอวี้ขบฟัน ก็แค่ย่ำไปบนกระเบื้องแค่นั้น ใครกำหนดเล่า ว่ากำแพงจะใช้เป็นทางเดินไม่ได้
หนิงอวี้ยกมือขึ้นลูบท้องน้อยๆ ครั้นแล้วก็กางสองมือออก สาวเท้าออกเดินไปด้วยความเร็ว มู่หรงเหยียนขมวดคิ้วแน่น เขาจิกเท้าไปบนดินแล้วโผทะยานขึ้นไปทันที
หนิงอวี้เห็นเขาเข้ามาก็รีบเร่งฝีเท้า แต่นางกลับก้าวไถล ร่างกายแกว่งไปมากลางอากาศ ครั้นแล้วก็เอนไปทางฝั่งข้างในลานแล้วค่อยๆ ร่วงลงไป
มู่หรงเหยียนนิ่งชะงักกับที่ หากตกลงมาเช่นนี้ อาจทำให้แท้งลูกเป็นแน่ คิดถึงจุดนี้ เขาที่ยืนนิ่งกับที่ก็สะดุ้งโหยงทันที
หนิงอวี้ยกมือขึ้นกุมท้องน้อย วินาทีก่อนร่วงสู่พื้นดินกลับถูกคนผู้หนึ่งรวบตัวเอาไว้ในอ้อมกอด กลิ่นหอมดูล้ำค่า เจือด้วยกลิ่นอายอันเยือกเย็นจางๆ จนแทบไม่รู้สึก
มู่หรงเหยียนโอบคนในอ้อมกอดเอาไว้แน่นแล้วทิ้งกายล้มลงกับพื้นสนามหญ้า ลูกของนางกับเว่ยหยวนอาจแท้งออกมาได้ แต่เขาจะไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้น
ยามนี้ความคิดทุกอย่างของนางสลายสิ้น แล้วเขาจะแย่งชิงความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือของนางได้อย่างไร หนำซ้ำนางยังบาดเจ็บไม่ทันหายดี ร่างกายจะทนลำบากได้ถึงไหนกันเชียว
ทั้งสองคนร่วงลงบนพื้นหญ้าพร้อมกัน มือทั้งคู่หนิงอวี้ป้องท้องน้อยเอาไว้แน่น แต่ยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง คงเป็นเพราะเหล็กหมาดนั่น แทงทะลุแขนเข้า
เลือดสดข้นหนืดไหลออกมา มู่หรงเหยียนได้กลิ่นคาวเลือดก็รีบลุกขึ้นนั่งอย่างร้อนรนแล้วสำรวจจนทั่ว เลือดนั้นกลับไหลย้อมชายเสื้อ เมื่อนึกถึงเชิงเทียนที่ถูกดึงเหล็กหมาดขึ้นได้ มู่หรงเหยียนก็ยื่นมือออกไปหมายจะสำรวจ
หนิงอวี้ยกมือข้างที่ปกติสมบูรณ์ดีข้างนั้น เตรียมพร้อมปัดป้องเขา มู่หรงเหยียนกำลังคิดจะอธิบายก็ถูกความเยือกเย็นในแววตานางนั้นทำให้ไหวหวั่นขึ้นมา
“ให้ข้าดู ว่าบาดเจ็บหรือไม่” ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงเหยียนจึงกล่าวขึ้น
หนิงอวี้ใช้มือข้างที่ปกติกดไปบนบาดแผลนั้นแล้วส่ายหน้าอย่างใจเย็น มู่หรงเหยียนมุ่นหัวคิ้ว เห็นเลือดไหลออกมาไม่หยุดก็โผเข้าไป
สองสามวันนี้ได้ปะทะฝีมือ นางไม่อาจทัดเทียมเขาได้ หนำซ้ำตอนนี้มือข้างหนึ่งก็มาบาดเจ็บเสีย มู่หรงเหยียนตรึงมือนางทั้งคู่เอาไว้ได้อย่างง่ายดายแล้วล้วงเอาเหล็กหมาดอาบเลือดออกมาจากแขนเสื้อ
เขาโยนเหล็กหมาดไปบนพื้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “อย่าทำเช่นนี้อีก” เขาพยายามสะกดความเจ็บบนแผ่นหลังเอาไว้ แล้วหันกายเดินจากไป
“ทำไม เจ้าเป็นห่วงหรือ”
หนิงอวี้อ้าปาก สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ราวกับได้ยินเรื่องตลกที่สุดบนโลกนี้
เงากายมู่หรงเหยียนที่กำลังจากไปหยุดลง ราวกับจะยอมรับคำพูดนั้นเงียบๆ หนิงอวี้หัวเราะออกมาดัง “ฮ่าๆ” น้ำตาไหลซึมออกจากหางตา
“ฮ่าๆๆ เจ้าสังหารท่านพ่อ จองจำข้าไว้ที่นี่ ตอนนี้ เจ้ากลับบอกกับข้า ว่าเจ้าเป็นห่วงข้าหรือ”
“หนิงเฝ่ย…ไม่สิ…มู่หรงเหยียน คำพูดเจ้าช่างน่าขันนัก มันมากพอที่จะทำให้ข้าขบขันไปชั่วชีวิตเลย”
มู่หรงเหยียนหันกลับมองไปยังหญิงสาวที่กำลังนั่งบนพื้นหญ้า หัวเราะออกมาจนหน้าแหงนขึ้นแล้วอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา “สถานการณ์กำลังวุ่นวาย เจ้าควรอยู่ที่นี่ไปก่อน”
เมื่อจบประโยคนั้น ก็เห็นหนิงอวี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ เขาจึงพูดเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “นี่ล้วนแต่ดีต่อเจ้า” ยังไม่ทันขาดคำ เขาก็หันกายเดินจากไปอย่างรีบร้อน
หนิงอวี้นิ่งอึ้ง นางมองไปยังชายเสื้อที่ถูกย้อมด้วยเลือดจนเป็นสีแดงคล้ำแล้วโคลงศีรษะพลางหัวเราะออกมา
“ดีกับข้าอย่างนั้นหรือ”
ดีกับข้า ในวันไว้อาลัยเจ็ดวันกลับส่งชุดกระโปรงแดงมาให้หรือ
ดีกับข้า แล้วเจ้าก็ทำร้ายชีวิตคนรักข้าหรือ
ดีกับข้า เจ้าจึงพาข้ามาคุมขังไว้ยังที่แห่งนี้ กักกันอิสรภาพของข้า หมายจะเอาไปขายในราคาสูงหรือ
“หนิงเฝ่ย ข้ากลัวแล้ว ที่เจ้าดีกับข้า มันช่างทารุณเหลือเกิน”
หนิงอวี้พูดเสียงอ่อย ทันใดนั้นก็นึกถึงเมื่อครั้งยังเด็กที่นางหลบอยู่หลังม่านในโถงพิธีดูหนิงเฝ่ยที่เนื้อตัวฟกช้ำกำลังคุกเข่าอยู่หน้าป้ายวิญญาณบรรพชน
เด็กชายเยาว์วัยในความทรงจำจับสังเกตสายตานางได้ ก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วฝืนปั้นหน้ายิ้ม แต่กลับกระเทือนเข้ากับบาดแผลโดยไม่ทันคิดจึงร้องออกมาด้วยความเจ็บ
ราวกับบางสิ่งแตกร้าวลง หนิงอวี้ยกมือขึ้นกุมแก้ม หมายจะปิดบังน้ำตาของตน