ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 269 ตายใจ
มู่หรงเหยียนสีหน้าสงบนิ่ง ไม่เผยให้เห็นความตื่นกลัวแม้แต่น้อย ชั่วอึดใจเดียว ประตูห้องก็ถูกเตะเปิด ทหารในชุดเกราะสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนดาหน้ากันเข้ามา
หัวหน้านางกำนัลขมวดคิ้ว เดินเข้ามาสองสามก้าว หนิงอวี้ทำเสียงหัวเราะเย้ย แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ถอยไป”
สาวใช้ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นมู่หรงเหยียนขยับนิ้วจึงถอยหลังไป ผ้าแพรบางรัดแน่น มู่หรงเหยียนใบหน้าแดงก่ำ แม้อยู่ท่ามกลางความเป็นความตาย แววตาเขากลับยังนิ่งเฉยสุขุมนิ่งอย่างที่สุด
“ข้าจะรัดเจ้าให้ตาย เจ้าบอกเอง ว่าเจ้าไม่ใช่หนิงเฝ่ย เจ้าเป็นเพียงมู่หรงเหยียน”
“ไม่ว่าข้าจะเป็นผู้ใด ตอนนี้เจ้าจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ ตอนนี้ราชวงศ์ใต้…เว่ยหยวนเองบางที อาจจะห่วงแต่ตนเองจนไม่มีเวลาที่จะ….”
หนิงอวี้ได้ยินคำพูดอันหนักแน่นนั้น ก็พูดแทรกคำพูดเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “หุบปาก!”
“ฟังนะ อวี้เอ๋อร์ ข้า…”
หนิงอวี้จิตใจว้าวุ่น นางดึงรัดผ้าแพรบางนั้นเอาไว้แน่น “พอแล้ว อย่าพูดเรื่องโกหกแบบนี้อีก”
มู่หรงเหยียนใบหน้าแดงก่ำ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววความตื่นกังวลเล็กน้อยปลาบหนึ่ง
“ข้า มีสติอยู่”
หนิงอวี้ยกมุมปากยิ้ม เผยให้เห็นรอยยิ้มอันเย็นชาออกมาหนึ่งที ใบหน้าอันสงบของมู่หรงเหยียนเริ่มแตกสลายกลับกลายเป็นสีหน้าลนลานทำตัวไม่ถูก
“อย่าเสแสร้งอีกเลย หากไม่อยากให้มีคนรู้ ก็อย่าทำแต่แรกสิ”
ท่ามกลางความเงียบอันยาวนาน ทันใดนั้นมู่หรงเหยียนก็หัวเราะออกมาเบาๆ จนผ้าแพรบางที่รัดบริเวณลำคอสั่นไหว เขาเลิกคิ้ว มุมปากยกยิ้มบาง ใบหน้าที่สุขุมองอาจในตอนแรก บัดนี้กลับเจือด้วยความชั่วร้าย
เขาขยับตัวเข้าไป หนิงอวี้ขบฟัน มือดึงรัดผ้าแพรบางในมือนั้น แล้วพูดข่มขู่ว่า “ถอยออกไป”
มู่หรงเหยียนหัวเราะเบาๆ เขาไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว แต่กลับขยับเข้าประชิดใกล้หนิงอวี้
“ใช่สิ เจ้ารู้แล้ว ดีจริง ในที่สุดข้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป”
สาวใช้สังเกตเห็นความผิดปกติ ก็โบกมือให้ทุกคนถอยออกไป นางเองก็เดินจากไป พลางผลักประตูห้องปิดลง
หนิงอวี้เบื่อที่จะตอแย ได้แต่ออกแรงมือ คราวนี้ สองแก้มมู่หรงเหยียนแดงขึ้นมา สายตาเริ่มเลื่อนลอย พอตั้งสติได้ก็จ้องนิ่งมายังนาง ดูราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจ้องเขม็งไปยังเหยื่อ
“ปล่อยข้าไป ไม่เช่นนั้น”
หนิงอวี้ดึงผ้าแพรบางแน่น พูดข่มขู่เสียงเบา มู่หรงเหยียนหัวเราะร่าเสียงดัง แต่เพราะด้วยผ้าแพรบางตรึงรัด เสียงหัวเราะจึงขาดหายเป็นช่วง ฟังแหบพร่าน่าหวาดกลัว
“ฆ่า…ข้า…สิ”
หนิงอวี้ขมวดคิ้วพลางขบริมฝีปาก มู่หรงเหยียนยกมุมปากยิ้มน้อยๆ เขายกมือขึ้นลูบหน้านาง หนิงอวี้แค่นเสียงเยาะหนึ่งที นางดึงผ้าแพรบางรัดจนแน่น
มู่หรงเหยียนหน้าแดงก่ำ ลมหายใจเริ่มขาดหาย มุมปากกระตุกไม่หยุด หนิงอวี้ออกแรงมือ ดวงตากลับแดงขึ้นอย่างห้ามมิได้ ขอร้องสิ ขอร้องมา บอกว่าเจ้าจะปล่อยข้าไป บอกว่าเราสองคนขาดกัน
“ข้า…ชนะแล้ว”
ผ้าแพรบางปลิวร่วง ปลายทั้งสองหล่นบนดอกโบตั๋น หนิงอวี้หางตาแดงก่ำ มือทั้งคู่โอบกอดตัวเอง แล้วถามขึ้นว่า “ทำไมกัน”
“ข้ารักเจ้า”
มู่หรงเหยียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งประโยคพูดออกมาอย่างหนักแน่นลื่นไหล คำพูดนี้ เขาเก็บซ่อนไว้ในใจมานานแล้ว ในที่สุดก็ได้โอกาสเปิดเผยมันออกมาเสียที
หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลง น้ำไหลรินออกจากหางตา ไหลผ่านรอยแผลยาว มู่หรงเหยียนยกมือขึ้น ลูบไปบนแก้มนาง เช็ดคราบน้ำตานางออกไปเบาๆ
“หนิงเฝ่ย เจ้าตายไปแต่แรกแล้ว เจ้า…ไม่ใช่พี่ชายข้าอีกแล้ว”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น”
มู่หรงเหยียนฝืนยกมุมปากยิ้ม ทั้งๆ ที่นี่คือสิ่งเขาคอยเฝ้าปรารถนา แต่ด้วยเหตุใด เมื่อได้ฟังคำพูดนั้น เขากลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ
เด็กสาวในความทรงจำนั่งยองกับพื้น ยื่นมือทั้งคู่มายังเขา นางร้องไห้จนตาแดงก่ำ เมื่อเห็นเขาเข้ามาก็ห้ามน้ำตาเอาไว้ เผยอปากอย่างน้อยใจ “ท่านพี่ อุ้มข้าที”
วินาทีนั้น ความคิดต่างๆก็พลันสลายไป เขาอุ้มนางขึ้น รู้สึกราวกับโอบกอดโลกทั้งใบเอาไว้
แต่ทว่า ตอนนี้โลกใบนั้นพังทลายลงไปแล้ว มู่หรงเหยียนลุกขึ้นยืน กวาดสายตามองนางปราดหนึ่งอย่างสงบนิ่ง ต่อให้ไม่มีคำพูดนั้น มันก็พังลงมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ย้อนกลับไปเมื่ออดีต ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน