ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 270
ตอนที่ 270 ท่านอ๋องจอมหึงออกโรง
“ท่านอ๋อง คนที่หน้าด่านราชวงศ์เหนือมีข้อมูลลับส่งมากราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยหยวนพยักหน้า พลางมองไปยังดอกทานตะวันที่เบ่งบาน เขาพูดขึ้นเสียงเบาว่า “อ่านมา”
มั่วหลีกลืนน้ำลายดังอึก แล้วกางจดหมายออก
“ไม่กี่วันก่อน องค์ชายรองมู่หรงเหยียนสังหารข้าศึกมีความชอบ ได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท”
ประโยคต่อจากนี้ เขาไม่กล้าอ่าน เว่ยหยวนย่นคิ้ว ชำเลืองขึ้นมองเขาปราดหนึ่ง มั่วหลีพยักหน้า แล้วอ่านต่ออย่างตะกุกตะกัก
“มู่หรงเหยียนพำนักอยู่ที่ตำหนักบนเขาแห่งหนึ่ง ในที่แห่งนั้น…มีสตรีนางหนึ่งถูกซ่อนเอาไว้
“ราชวงศ์เหนือต่างลือกันให้ทั่ว ว่านั้นคือคนที่…เขาหมายตา”
มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเว่ยหยวนกำหมัดแน่น แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ออกมา
“มู่หรงเหยียนส่งทหารชั้นดีหนึ่งพันนายเฝ้าอารักขา ถึงตอนนี้ยังคงมิอาจได้ข่าวคราวรายละเอียดแม้แต่น้อย”
มั่วหลีพับจดหมายแล้วชูขึ้นเหนือหัวส่งให้ เว่ยหยวนแค่นเสียงออกจมูกหนึ่งที ริมฝีปากบางเม้มแน่น เขายกมือขึ้นหยิบจดหมายนั้นขึ้นแล้วกวาดสายตาดูปราดหนึ่งอย่างใจเย็น ครั้นแล้วก็ฉีกจดหมายนั้นเป็นเสี่ยงๆ
“ท่านอ๋อง จดหมายนี้ต้องเก็บเข้าเล่มนะพ่ะย่ะค่ะ”
“มีกฎเกณฑ์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”
เว่ยหยวนตอบกลับอย่างเยือกเย็น มั่วหลีสงบปากลงอย่างว่าง่าย ท่านเป็นคนตั้งกฎเองนี่ แล้วไย…
“แม้แต่คำล่ำลือ คำพูดไร้สาระเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ยังบันทึกลงบนจดหมายลับ คนที่หน้าด่าน ไร้ความสามารถสิ้นดี ไม่ได้ไปสืบหารายละเอียดให้ถ่องแท้ กลับเอาคำพูดเหลวไหลเหล่านี้มาเขียน”
เว่ยหยวนขมวดคิ้วแน่น การพูดจาเสียความระวังและกระชับไม่เหมือนดั่งที่ผ่านมา มั่วหลีโค้งคำนับแล้วพยักหน้า เว่ยหยวนแค่นเสียงออกจมูกหนึ่งทีแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
“คำพูดเหลวไหลไร้สาระ! เหลวไหลทั้งสิ้น!”
เว่ยหยวนโกรธจัด จนผลักโต๊ะเอกสารราชการล้มคว่ำกับพื้น ประตูไม้เปิดออก แสงสว่างแถบหนึ่งส่องลอดเข้ามาในห้องหนังสืออันมืดสลัว
เว่ยหยวนมุ่นหัวคิ้ว ชำเลืองมองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “เปลี่ยนประตูซะ!! เสียงดังเช่นนี้ รบกวนข้าจัดการงานราชการ”
มั่วหลีสองตาเบิกโพลง เมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดเสียงดังอันใดแม้แต่น้อย
เขาอ้าปากกำลังจะเอ่ยคำ ท้ายที่สุดก็หุบปากลงสงบคำอย่างว่าง่าย เขาแอบกลอกตาเย้ย พูดไม่ได้ หากพูดไป เกรงว่าแม้แต่เขาก็ต้องถูกเปลี่ยนไปด้วย
“เจ้าสิบหก ออกมา!”
คนผู้หนึ่งในเงามืดเดินออกมาคุกเข่ากับพื้น มั่วหลีเดินเข้าไปเก็บเศษกระดาษขึ้นทีละชิ้น เว่ยหยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วยื่นมือไปขัดหยกประดับบนเอว คลายโทสะลงเล็กน้อย
คนที่หมายตาอะไรกัน ฮึ ต่อให้เจ้าหนิงเฝ่ยเป็นคางคกคิดอยากกินเนื้อหงส์ ก็ต้องข้ามเขาไปก่อน ยิ่งกว่านั้น หงส์เองก็ไม่ยินยอมหรอก
หยกประดับผิวเนียนลื่น เว่ยหยวนสีมือไปมาบนลวดลายของพื้นผิว แล้วออกคำสั่งเสียงทุ้ม “เฝ้าจับตามองหลิงอ๋องไว้ แล้วจับตามองจวนสกุลฉู่ไปพร้อมกัน”
“ไปหาห้องหนังสือนายพลฉู่ เรื่องมันสมคบคิดกับข้าศึกล้วนแต่เป็นที่รู้กันถ้วนหน้า เจ้าแค่ค้นหาหนังสือที่มันรับคำสั่งหลิงอ๋องมาก็พอ”
เจ้าสิบหกพยักหน้ารับพลางเดินสองสามก้าวไปยังประตู เขาเปิดประตูไม้ออก ลอดผ่านช่องที่แง้มออกไป แล้วหายไปท่ามกลางเงามืดในเพียงชั่วพริบตา
มั่วหลีเก็บหนังสือราชการขึ้น แล้วจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ เว่ยหยวนจ้องไปยังข้าวของที่กองอยู่นานก็หลับตาลงเพื่อพักสายตา ผ่านไปชั่วครู่ มั่วหลีเข้าใจว่าเขาคงพักหลับไปแล้ว ในขณะที่กำลังผินกายเตรียมจากไปก็ได้ยินเสียงเขาอ้าปากเอ่ยขึ้น
“ปลูกต้นความ…ต้นดอกทานตะวัน ปลูกให้ทั่วเรือนพระชายา”
มั่วหลีนิ่งอึ้ง ครั้นแล้วสีหน้าก็กลับมาสงบนิ่ง เขาตอบเสียงเบาว่า “แต่ตอนนี้จะเข้าช่วงเหมันต์ ไม่เหมาะกับการเติบโตของดอกทานตะวันนะพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้ปลูก…”
มั่วหลีเห็นสีหน้าเว่ยหยวนดูบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดบทพูดที่ยังไม่จบของตนทิ้ง แล้วโค้งคำนับพลางกล่าว “พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงฝีเท้าดังไกลออกไป เว่ยหยวนลืมตาทั้งคู่ขึ้นช้าๆ ในห้องเงียบวังเวง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความระทมเศร้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ใกล้ฤดูหนาวแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้ายังอยู่ดีหรือไม่ คงเศร้าโศกอยู่สินะ คนที่เจ้าตามหาด้วยความยากลำบาก ท้ายที่สุดกลับเป็นรัชทายาทของฝ่ายศัตรู
“ฮึ ไม่ลำบากบ้างเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าดีต่อเจ้า…แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ข้าก็ตัดใจให้เจ้าต้องทนลำบากไม่ได้”
ทันใดนั้น เสียงดังกรอบแกรบเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามา เว่ยหยวนมุ่นหัวคิ้ว เหลียวตามไปมองก็เห็นเจ้าดำกำลังเลื้อยมาตามทาง
“เจ้าขยะไร้ประโยชน์ ปกตินางกอดเจ้าจูบเจ้า สุดท้ายก็ทิ้งเจ้าไปราวกับรองเท้าที่เก่าขาด ข้าเก็บเจ้าไว้มีประโยชน์อันใด แม้คนเพียงคนเดียวเจ้ายังรั้งเอาไว้ไม่ได้” เว่ยหยวนพล่ามตำหนิ สีหน้าคลายลงเล็กน้อย
ทันทีที่พูดจบ เขาก็พบว่าตนเสียกิริยา จึงรู้สึกโมโหอยู่ในใจ เขาทั้งโกรธทั้งละอาย ครั้นแล้วก็ยกมือขึ้นพลิกหนังสือราชการ