ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 271-272
ตอนที่ 271 แผนแตก
“นี่มันอะไรกัน! เจ้าอธิบายให้เราฟังเสียดีๆ!”
ฮ่องเต้ทรงพิโรธ ปาฎีกาลงพื้นอย่างแรง
จดหมายฉบับหนึ่งที่สอดแนบอยู่ในฎีการ่วงออกมา เว่ยหลิงคุกเข่าลงกับพื้น กระเถิบร่างเข้าไป มือทั้งคู่ของเขาสั่นเทา เขาเปิดจดหมายออก ครั้นแล้วสีหน้าก็ซีดเผือดขึ้นมา
ให้ตายเถอะ ส่งองรักษ์ลับไปทำลายหลักฐานให้หมดแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีหลงเหลืออยู่ เว่ยหลิงพับจดหมายในมือ แล้วโค้งคำนับพร้อมเอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อ นี่เป็นการใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงแค่นเสียงออกพระนาสิกหนึ่งที แล้วสะบัดพระหัตถ์ ผู้เฒ่าในชุดขุนนางหนวดขาวดอกเลา เดินเข้ามาช้าๆ แล้วคุกเข่าลงกับพื้น
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ กระหม่อมกับนายพลหนิงเป็นสหายรักกัน”
“นับแต่เขาทรยศแผ่นดิน กระหม่อมก็ตัดสัมพันธ์ด้วย วันก่อน คนในสกุลพวกเขามาพบกระหม่อม แจ้งว่าเขาหาได้ทรยศแผ่นดินด้วยเต็มใจไม่ แต่มีความลำบากใจที่ไม่อาจพูดออกมาได้”
“กระหม่อมขอบังอาจ ถวายหนังสือฉบับนี้ หนึ่งด้วย เพราะคำขอของพี่สะใภ้ใหญ่ ที่รู้จักรักใคร่กันมานาน สองเพื่อบ้านเมืองและแผ่นดิน ให้ราชวงศ์เรารุ่งโรจน์เกรียงไกรไปหลายร้อยปี”
“หุบปาก!” เว่ยหลิงตะคอกด้วยความโกรธ “ช่างกล้ามาใส่ความข้า มีโทษประการใดรู้หรือไม่”
ทันทีที่จบความ เขาก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น แล้วโขกหัวลงกับพื้นติดกันจนเกิดเสียงดังสามครั้ง ในท้องพระโรงอันใหญ่โตโอ่อ่า เสียงดังก้องกังวาน
“เสด็จพ่อขอทรงโปรดให้ลูกเป็นผู้ตัดสินด้วย เรื่องนี้คือการให้ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงกวาดพระเนตรมองคนทั้งสองปราดหนึ่ง แล้วทรงประทับกลับพระบัลลังก์อย่างอ่อนพระทัย เรื่องนี้ หลิงเอ๋อร์คงเกี่ยวข้องด้วยอย่างไม่มีทางหลุดพ้น สำหรับเจ้าเฒ่าผู้นี้ ช่างกล้าฟ้องร้อง เบื้องหลังคงมีคนคอยบงการอยู่แน่นอน ไม่ต้องทรงคิดให้มากก็รู้ได้ว่าเป็นเจ้าคนเลวผู้นั้น
นอกท้องพระโรง จู่ๆ ก็มีเสียงดันผลักแว่วเข้ามา
“ข้ามีเรื่องกราบทูลฮ่องเต้”
“พระสนมกุ้ยเฟย พระองค์ทรงเข้าไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทตอนนี้ทรงกำลังว่าราชการกับเหล่าขุนนางอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ชั่วอึดใจเดียว พระสนมกุ้ยเฟยผู้งามสง่าชดช้อยหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมแป้งชาด กำลังเดินนวยนาฏเข้ามา นางคุกเข่าลงกับพื้น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ไม่ละทิ้งความเย้ายวน
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีความผิด มิบังควรถือวิสาสะบุกเข้ามากลางท้องพระโรง”
“ลุกขึ้นเถิด”
ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรแผ่นป้ายท้องพระโรงที่แขวนอยู่สูงเหนือพระเศียร ครั้นแล้วก็ทรงหันมาทอดพระเนตรนางปราดหนึ่ง
“เจ้าก็แค่รักลูกจากใจเท่านั้น”
มุมปากพระสนมกุ้ยเฟยโค้งขึ้นเล็กน้อย นางเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มอันงามชดช้อนพร้อมด้วยความสง่าภูมิฐานทีหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรนิ่ง วินาทีถัดมาก็ขยับพระวรกาย ปรับท่าประทับนั่ง
“หม่อมฉันได้ยินว่า มีคนใส่ความหลิงเอ๋อร์ ฝ่าบาท นิสัยใจคอหลิงเอ๋อร์ พระองค์ทรงแจ้งที่สุด”
ฮ่องเต้ทรงพยักพระพักตร์ ครั้นแล้วทรงอ้าพระโอษฐ์หมายจะตรัสถ้อยคำ ก็ทรงเห็นหัวหน้าขันทีกำลังวิ่งเข้ามา
แส้บนมือเขาพริ้วไหวแม้จะไม่มีลม มือข้างหนึ่งกุมม้วนกระดาษม้วนหนึ่งแน่น มืออีกข้างกดลงไปบนหมวกบนศีรษะ เขาคุกเข่าลงกับพื้น หายใจหอบเพียงชั่วครู่ แล้วชูม้วนกระดาษขึ้นถวาย
“ฝ่าบาท ตอนนี้ในเมืองหลวงเกิดเรื่องวุ่นวาย ท่ามกลางผู้คนปรากฏชายชุดขาว อ้างว่าในมือมี…หลักฐานเอาผิดหลิงอ๋อง คนผู้นั้นถูกจับได้แล้ว หลักฐานอยู่ที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มมุมปากพระสนมกุ้ยเฟยพลันเหือดไป ฮ่องเต้ทรงเม้มพระโอษฐ์ แล้วยกพระหัตถ์ไปรับม้วนกระดาษนั้น
“ฝ่าบาท ก็แค่ของเล่นไร้สาระของพวกชาวบ้านไร้ความคิดเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ…”
ม้วนกระดาษถูกกางออก ด้านบนเขียนไว้ว่าบันทึกค่าเสบียงทหาร ด้านล่างมีรายการร้านค้าฉบับหนึ่งติดอยู่ เมื่อเทียบทั้งสองด้วยกัน เสบียงทหารถูกยักยอกไปเสียตั้งแปดหมื่นตำลึง
เมื่อกางออกอีกฉบับ รายงานลับฉบับหนึ่งถูกเปิดออก บนนั้นเขียนว่า ‘นายพลฉู่ เมืองหลวงรู้ข่าวเรื่องหยวนอีก่อกบฏแล้ว รีบจัดการหนิงจื้อหย่วนโดยเร็วที่สุด’ ด้านล่างรายงานคือตราประทับส่วนตัว
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮ่องเต้ก็ทรงประทับยืน
“คุมตัวหลิงอ๋องไปขังยังตำหนักชิงอัน ให้สำนึกผิดสามเดือน ส่งคนไปล้อมตำหนักหลิงอ๋อง หาดูว่าอะไรน่าสงสัย”
“ฝ่าบาท! หลิงเอ๋อร์บริสุทธิ์นะเพคะ”
ฮ่องเต้หันพระวรกาย ฉลองพระองค์สีเหลืองทองโฉบผ่านไป เห็นลายมังกรพ่นเมฆอยู่บนนั้น
เว่ยหลิงลุกขึ้นยืน เขาคว้าสาบเสื้อขุนนางเฒ่าผู้นั้นแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “เจ้าเฒ่า มันให้สิ่งใดกับเจ้า”
ขุนนางเฒ่าหวาดกลัว ตะโกนร้องไม่ขาดปากว่า “ช่วยด้วย! หลิงอ๋องลงมือกับข้า!”
พระสนมกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว นางเดินสองสามก้าวเข้าไปด้านหน้าเว่ยหลิงแล้วฟาดฝ่ามือลงกลางหน้าเขาอย่างแรงหนึ่งฉาด
“เจ้าคนไร้ประโยชน์ นี่เจ้าคิดทำอะไรอยู่กันแน่”
เว่ยหลิงคลายมือทั้งคู่ออก พยายามสะกดตนให้นิ่งสงบ ไม่เป็นอะไร เขาได้ทำลายสิ่งของพวกนั้นไปจนหมด หาได้มีใครพบไม่
ตอนที่ 272 แพร่ข่าวลือ
เช้าตรู่วันเหมายัน[1] ต้นไม้ใบหญ้าสาดย้อมสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วง น้ำค้างแข็งสีขาวแข็งตัวจับเป็นจุด ดอกกุ้ยฮวากลางเมืองหลวงต่างร่วงโรย เหลือเพียงกิ่งแห้งสีเหลือง
ช่วงเวลายามเช้า นักเดินทางผู้หนึ่งถือชะลอมใส่ไข่ไก่สองใบ กำลังเดินอย่างระมัดระวังไปยังประตูหน้าตำหนักหลิงอ๋อง ไม่มีใครอื่น ไข่ไก่เศษผักต่างกระจัดกระจายไปทั่วพื้น ยามเดินจึงต้องระวังให้มาก
“แปลกจัง ตำหนักหลิงอ๋องแห่งนี้ ทำมาถึงเป็นสภาพนี้ไปได้”
เขาพูดพึมพำหนึ่งที สาวใหญ่เดินขากะเผลกนางหนึ่งทำสีหน้าเข้าใจ
“ไม่ใช่ชาวเมืองหลวงสินะเจ้า”
“ใช่ๆๆ ผู้น้อยมาเมืองหลวงเพื่อเยี่ยมญาติ”
สาวใหญ่ได้ยินแววตาทั้งคู่เกิดประกาย แล้วรีบยื่นมือไปยื้อเขาไว้ นางพูดขึ้นเสียงเบา “เจ้าไม่รู้สินะ”
คนเดินทางป้องชะลอมไข่ไก่บ้านทั้งสองไว้ แล้วฟังอย่างตั้งใจ สาวใหญ่เลิกคิ้วสูง แล้วกดเสียงต่ำพูดราวกับกำลังพูดเรื่องราวใหญ่โตในราชสำนัก “หลิงอ๋องทรยศแผ่นดิน ต้องโทษตัดคอประหาร!”
ยังไม่ทันครบความ นางก็ใช้มือข้างหนึ่งขึ้นสีคอทำท่าทางเปรียบเทียบ
“นี่มัน?” คนเดินทางสีหน้าประหลาดใจ “หลิงอ๋องเป็นพระราชโอรสมิใช่หรือ ไยจึงต้องทรยศต่อแผ่นดิน”
“เบาเสียงหน่อยสิ อย่าให้ใครได้ยินเชียว สองสามวันก่อน มีจอมยุทธ์ชุดขาวถือหลักฐานเรื่องเขาขายชาติออกมา! ในจดหมายนั้น เขาสั่งให้คนสังหารแม่ทัพหนิง! แม่ทัพหนิงเลยนะ เจ้ารู้ไหม”
“รู้ๆ ขุนพลใหญ่อันดับหนึ่งของบ้านเมืองเรา สู้รบตัวตายกลางสมรภูมิ สละชีพเพื่อแผ่นดิน”
“ใช่นะสิ” ใบหน้าสาวใหญ่เริ่มแดงขึ้นระเรื่อ ครั้นแล้วก็ทอดถอนใจ “ในวันเดียวกันที่จอมยุทธ์ชุดขาวปรากฏตัว คืนนั้นก็มีเหล่าทหารมาค้นตำหนักอ๋อง จนถึงตอนนี้ หลิงอ๋องผู้นั้นก็ยังไม่กลับมาเลย”
“ช่างน่าเสียดายท่านแม่ทัพหนิงนัก”
สาวใหญ่พูดเสริมอีกคำ แล้วถอนหายใจยาวออกมา นางหันกายเดินจากไปอย่างคล่องแคล่ว นักเดินทางหน้านิ่ว หันกายหมายจะสอบถาม ก็เหยียบไปบนผักเน่าเข้า จนลื่นล้มกองกับพื้น
ไข่ไก่สดใหม่ที่เปรอะไปด้วยมูลไก่ แตกละเอียดในชะลอม นักเดินทางโอดครวญขึ้นมาหนึ่งครั้ง แล้วหอบชะลอมที่ใส่เปลือกไข่และเศษไข่ขึ้นมา
ในจังหวะเดียวกันนั้น รถม้าคันหนึ่งก็ขับเข้ามาช้าๆ เว่ยหยวนแง้มม่านบนรถม้าออก แล้วทอดสายตาออกไปปราดหนึ่ง ประตูไม้บานใหญ่สีแดงชาด เลอะเป็นคราบด้วยเศษสิ่งสกปรก
มั่วหลีนั่งอยู่ด้านข้างกำลังชูหนังสือขึ้นหมายจะมอบให้ เขาพูดเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง การลงมือครั้งนี้ของท่านจะบุ่มบ่ามไปหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยหยวนส่ายหน้าเบาๆ ปล่อยม่านลง แล้วพูดตอบ “ข้าย่อมรู้อะไรควรมิควร”
ครั้งนี้ เผยไต๋ออกมาไม่น้อยจริงๆ แต่คนผู้นั้น ตอนนี้จะมีกำลังอะไรมาเล่นงานเขาได้อีกเล่า คาดว่าเพียงแค่เรื่องบุตรชายคนเก่งของตนขายชาติ ก็คงเหน็ดเหนื่อยจนสิ้นแรงทั้งกายใจไปแล้ว
ไม่เป็นอะไร เขาไม่ได้ชอบตนมาแต่แรกแล้ว คราวนี้ได้ดำเนินการเรื่องราวอย่างลับๆ แล้ว แม้ว่าจะมีการส่งหลักฐานออกไปอย่างเปิดเผยก็เถอะ เช่นนั้นแล้วจะอย่างไรต่อเล่า
แม้ไม่ได้รับการสืบทอดตามอย่างราชประเพณี เขาก็ไม่ได้สนใจ จะแย่งชิงหรือปิดล้อมวัง ล้วนแต่ทำได้ เว่ยหยวนเลิกคิ้ว รอยยิ้มมุมปากดูสุขุมเยือกเย็น มั่วหลีสัมผัสได้ถึงความยะเยือกอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาก็หดคอลงโดยไม่รู้ตัว
“ไม่พอ”
มั่วหลีชำเลืองขึ้น มองไปยังท่านอ๋องอย่างแปลกใจ
“อะไรไม่พอหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ยินพระสนมกุ้ยเฟย เมื่อครั้งยังเยาว์เคยต้องไปยังราชวงศ์เหนือ จากไปอยู่นาน ด้วยเหตุผลบางอย่าง เอาเรื่องนี้ไปกระจายบอกต่อให้ทั่วทุกถนนซอกซอย คิดว่าต้องเกิดเรื่องสนุกขึ้นแน่”
กลางตำหนักอ๋อง ค้นเจอตราประทับอันหนึ่ง ทำการตรวจสอบแน่ชัดว่าไม่ผิดอัน เขาได้ส่งเจ้าสิบหก ออกไปสร้างจดหมายเท็จแจ้งข่าวไปยังข้าศึกสองสามฉบับ ล้วนแต่ถูกตรวจพบทั้งหมด แต่แม้เป็นเช่นนี้ คนผู้นั้นยังคงเลือกที่จะปกป้องเว่ยหลิง
กักบริเวณสามเดือน ตัดเงินเดือนสามปี เว่ยหยวนหัวเราะเบาๆ การลงโทษเช่นนี้ เหมือนกับการเกาคัน โทษทรยศบ้านเมือง ตามกฎหมายต้องโดนบั่นเศียร ประหารเก้าชั่วโคตรต่างหาก
ความจริงเขาผู้นั้นรู้แจ้งแก่ใจ เขาไม่ต้องการให้ตนสืบทอดราชบัลลังก์ จึงได้ปล่อยเว่ยหลิงไป เว่ยหยวนเลิกคิ้ว ดีเหมือนกัน เช่นนั้นก็ให้เขาแบกรับฉายางดงามว่า ‘คนสารเลว’ ไป
เขาอยากรู้เสียจริง ว่าในสายตาคนผู้นั้น ‘สารเลว’ หรือ ‘ชั่วช้า’ คำไหนจะดีกว่ากัน
——
[1] วันเหมายัน วันที่กลางคืนยาวที่สุดในรอบปี