ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 273-274
ตอนที่ 273 บังคับ ป้อนข้าวต้ม
เช้าตรู่น้ำค้างจับตัวแข็ง แม้เตาไฟจุดอยู่ในห้องแต่บรรยากาศกลับดูเย็นยะเยือก หนิงอวี้ใบหน้าซีดเผือด หดตัวมุดอยู่ในมุมไม่พูดไม่จา
บนผืนพรมหนังสัตว์อันหรูหราเกาะหนึบด้วยคราบข้าวต้ม ถ้วยชามสองสามใบตกกระจัดกระจาย มู่หรงเหยียนสะบัดมือลุกขึ้นยืน ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด
สาวใช้ก้าวสั้นเดินเข้ามา แล้วยื่นน้ำข้าวต้มให้ หนิงอวี้ขบฟันแน่นไม่ยอมอ้าปาก ริมฝีปากซีดขาวเป็นลายพร้อยด้วยรอยฟัน มู่หรงเหยียนอยู่ด้านข้างนิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด จ้องนิ่งไปยังหนิงอวี้สีหน้าเรียบเฉย
หนิงอวี้รู้สึกถึงสายตาของเขา ก็หัวเราะเย้ยหนึ่งทีแล้วยกมือปัดข้าวต้มคว่ำ ถ้วยสีเขียวมรกตกลิ้งไปบนพื้น น้ำข้าวต้มสาดกระจายไปทั้งพื้น
มู่หรงเหยียนสะบัดแขนเสื้อ แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ไปเอามาอีกถ้วย” หนิงอวี้จ้องตรงไปยังดวงตาทั้งคู่ของเขา แล้วแค่นเสียงหัวเราะออกมาเสียงหนึ่งแล้วหันกายกลับ
เพียงครู่เดียว สาวใช้ก็ยกข้าวต้มเข้ามา มู่หรงเหยียนยกมือขึ้นรับข้าวต้ม แล้วโบกมือให้ผู้คนออกไป ห้องที่แน่นแออัดในตอนแรกกลับโล่งขึ้นมาในทันใด หนิงอวี้เห็นความโมโหที่ซ่อนอยู่ในแววตาเขาอย่างชัดเจน จึงถอยกลับมุมเตียงอย่างไม่รู้ตัว
“เจ้าจะกินเอง หรือให้ข้าป้อน”
หนิงอวี้ขบริมฝีปาก นางส่ายหน้าช้าๆ
มู่หรงเหยียนพยักหน้า แล้วหันตัวไปวางน้ำข้าวต้มลง หนิงอวี้รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย กลับเห็นเขาหันกายกลับในวินาทีถัดมา บรรยากาศรอบตัวแตกต่างไปจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
เขาประชิดมาใกล้ หนิงอวี้ผลักเขาโดยสัญชาตญาณ แล้วหดตัวซุกเข้าในมุมเตียง ยกมือขึ้นหมายจะดึงม่านหน้าต่าง แต่นางท้องหิวมาทั้งวันแล้ว ร่างกายบาดเจ็บทั้งยังมีครรภ์ จิตใจฟุ้งซ่านจนไม่ได้หลับมาตลอดคืน มือทั้งคู่ของนางจึงไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่นิด
มู่หรงเหยียนเดินเข้าไป เขายื่นมือไปคว้ามือทั้งคู่ของหนิงอวี้อย่างใจเย็น หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว ความหวาดกลัวและเดือดดาลฉายผ่านแววตาปลาบหนึ่ง นางยกเท้าขึ้นหมายจะถีบเขา
มู่หรงเหยียนหลบลูกถีบที่ไร้เรี่ยวแรงและเชื่องช้านั้น มุมปากยกยิ้มน้อยๆ กลางแววตาเหมือนฉายแววบางอย่างขึ้นมา เขายื่นมือไปตรึงแขนทั้งคู่ของหนิงอวี้ แล้วชูขึ้นเหนือศีรษะนาง มืออีกข้างของเขาดึงทึ้งม่านหน้าต่างนั้นลงมา
หนิงอวี้โกรธจัด ก้มหน้าลงกัดไหล่เขาไว้ มู่หรงเหยียนชะงักนิ่ง ชั่วอึดใจเดียวก็รวบมัดมือทั้งคู่ของนางเอาไว้ เมื่อเสร็จสิ้น ลมหายใจเขายังคงสงบนิ่ง สีหน้าเหมือนกับปกติ
เขาลุกขึ้นยืนแล้วหันกายกลับไปยกข้าวต้ม เขาตักขึ้นมาหนึ่งช้อนแล้วยื่นไปจรดริมฝีปากหนิงอวี้ หนิงอวี้หางตาแดงระเรื่อ แต่ไม่ยอมหลั่งน้ำตา นางได้แต่ขบริมฝีปาก จ้องถมึงทึงไปยังเขาอย่างดุดัน
หางตาหนิงอวี้แดงระเรื่อ แววตาเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เหมือนกับสัตว์ตัวน้อยที่ตกลงกลางกับดักนายพรานโดยไม่ระวัง ฉุนเฉียวทั้งไร้เดียงสา ไม่ได้รู้ถึงความอำมหิตของนายพรานแม้แต่น้อย
มู่หรงเหยียนเห็นสีหน้ารังเกียจของนางอย่างชัดเจนก็ยกมุมปากเย้ยหยันแล้วโยนช้อนลงกับพื้น เขาใช้มือข้างหนึ่งยกถ้วย มืออีกข้างบีบกรามหนิงอวี้เอาไว้
หนิงอวี้ถูกบังคับให้อ้าปาก น้ำข้าวต้มถ้วยนั้นถูกกรอกเข้ามา นางสำลักจนอดไม่ได้ที่จะย่นคิ้ว หลังจากน้ำข้าวต้มที่ถูกบังคับให้ดื่มหมดถ้วยแล้ว มู่หรงเหยียนก็คลายมือออก
หนิงอวี้ก้มหน้า กดมือไปบนหน้าอกแล้วสำลักไอ มู่หรงเหยียนไม่กล่าวสิ่งใด เขาวางถ้วยลงแล้วยื่นมือไปตบหลังนางเบาๆ ทันใดนั้น มือของเขาก็ถูกหนิงอวี้ปัดออก
“หากเจ้าไม่กินอาหาร ข้าก็คงได้แต่ใช้วิธีนี้ป้อนเจ้า”
หนิงอวี้อาเจียนน้ำข้าวต้มออกมาเล็กน้อย หางตาชื้นไปด้วยน้ำตา มู่หรงเหยียนเห็นนางน้ำตารื้น ก็ยกมือขึ้นมาหมายจะซับนางตาให้นางโดยไม่รู้ตัว มือที่ยื่นไปกลางอากาศกลับถูกหนิงอวี้กัดเข้าอย่างแรง
เนื้อปริแตกในปาก เลือดไหลออกมาไม่หยุด หนิงอวี้อาศัยความโกรธกัดลงไป ไม่เหลือความคิดผูกพันแม้แต่น้อย
มู่หรงเหยียนเห็นสภาพจนตรอกของนางเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ครู่หนึ่งก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอดมิได้ เป็นเช่นนี้ซ้ำๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นมือออกไปแล้วลูบไปบนเรือนผมนาง ราวกับนั่นคือครั้งแรก
หนิงอวี้รู้สึกถึงความอุ่นบนศีรษะก็คลายฟันออก นางปิดปากลง รสชาติเลือดเหมือนสนิมเหล็กกลบไปทั่วปาก ผสมเข้ากับรสหวานจางๆ ของน้ำข้าวต้มเมื่อครู่ รู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง
นางทำปากเป็นคำว่า “ไสหัวไป” ครั้นแล้วก็หลับตาลงอย่างเบื่อหน่าย เอนกายลงพิงกับผนัง ช่วยไม่ได้ คงได้แต่คิดหาวิธีหนี มู่หรงเหยียนเป็นบ้าไปแล้ว…อยู่ต่อไป นางเองก็คงบ้าไปด้วย
ตอนที่ 274 ข้าจะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง
ดึกดื่นค่ำคืน หนิงอวี้ลืมตาทั้งคู่ขึ้นช้าๆ รู้สึกตาสว่าง นางบิดเหล็กแผ่นเหล็กบนมือนางแน่น มันคือเหล็กที่นางดึงออกมาจากสลักกลอนของลิ้นชัก
บนหัวเตียงมีตะเกียงอยู่ดวงหนึ่งส่องแสงสลัวอ่อนโยนออกมา หนิงอวี้เหลือบตาขึ้นมอง แววตาเยือกเย็นอย่างมาก มู่หรงเหยียนสั่งคนให้ทำตะเกียงเทียนแสงไฟดวงนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ บอกว่านางกลัวความมืด
หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว ก็เพียงแค่เมื่อนางยังเล็กในตอนที่ตื่นขึ้นมากลางดึกตกใจกับความมืดจนร้องไห้ วิ่งไปหาเขาก็เท่านั้น ในเมื่อไม่ใช่พี่ชายแล้ว จะพูดถึงเรื่องอดีตไปไย…
ทว่าตะเกียงดวงนี้สะดวกต่อนางเช่นกัน หนิงอวี้ยื่นมือไป แผ่นเหล็กโผล่ออกนอกผ้าห่มนวม สะท้อนแสงเทียนเป็นแสงเงินปลาบหนึ่ง
นับแต่นางคิดหลบหนี มู่หรงเหยียนก็ห้ามนางก้าวออกนอกประตูแม้เพียงครึ่งก้าว แต่หากนางรีรอต่อไป ลูกในครรภ์ก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้เดินเหินไม่สะดวก
หนิงอวี้ลุกขึ้นนั่ง ใช้แผ่นเหล็กกรีดผ้าม่านหน้าต่างขาดทีละน้อย แล้วเอาผ้าม่านนั้นมาตัดเป็นริ้วยาวทีละแถบ แผ่นเหล็กอย่างไรก็มิใช่มีด จึงไม่นับว่าคมนัก เพียงครู่เดียว มือทั้งคู่ของหนิงอวี้ก็เริ่มล้า นิ้วถูกบาดเป็นแผล คราบเลือดเลอะเป็นรอย
เมื่อฟ้าเริ่มสาง หนิงอวี้ก็เอาริ้วผ้ายาวนั้นผูกเป็นเงื่อนตายติดกันทีละแถบ นางหันไปกวาดสายตามองยังประตูห้องปราดหนึ่ง แล้วค่อยๆ ผลักหน้าต่างเปิด
ลมเย็นยามเช้าพัดปะทะเข้ามาโดยพลัน หนิงอวี้ขมวดคิ้วขบฟัน ยื่นมือไปงัดตะปูที่ตอกติดกับหน้าต่างไม้เหล่านั้น นิ้วติดแน่นกับตะปูเหล็ก เลือดไหลหยดเลอะแผ่นไม้ ไหลเป็นทางยาวตามลายฉลุดูน่ากลัว
เมื่อมู่หรงเหยียนผลักประตูเข้ามา ก็เห็นหนิงอวี้ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง หนิงอวี้ได้ยินเสียงผลักประตูจึงเร่งลงมือให้เร็วยิ่งขึ้น นิ้วมือที่บาดเป็นแผลเพราะใช้แรงมาก เลือดไหลซึมออกมาไม่ขาด
มู่หรงเหยียนเดินเข้าไปก็เห็นแผ่นไม้สีเหลืองลายพร้อยไปด้วยรอยเลือด เขาพยายามสะกดความโกรธยกมือขึ้นรั้งหนิงอวี้ หนิงอวี้เห็นแผนการใกล้สัมฤทธิ์แล้วจึงไม่ยอมละทิ้งความตั้งใจ
นางใช้ทั้งมือและเท้า พยายามดิ้นให้หลุดจากการพันธนาการ มู่หรงเหยียนขมวดคิ้ว รวบตัวนางเข้ามากอดแน่นในอ้อมอกอย่างแรง หนิงอวี้ยกเท้าขึ้น ฉวยจังหวะที่เขาไม่ทันระวัง ถีบไปยังเขา มู่หรงเหยียนรู้สึกเจ็บ ทำให้เรี่ยวแรงในมืออ่อนลงเล็กน้อย
หนิงอวี้เห็นเสาสลักลายมังกรคู่หงส์นั้น จึงตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง่ท ในเมื่อมีชีวิตต่อก็ถูกกักขัง ไม่สู้ไปพบบิดามารดาเร็วหน่อยจะได้ไม่เป็นภาระให้กับท่านอ๋อง
วินาทีถัดมา นางก็ถูกรั้งเอาไว้ มู่หรงเหยียนคว้าแขนนาง แล้วพูดขึ้นสีหน้าเรียบว่า “อยู่ข้างกายข้าแต่โดยดี ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”
“ฮึ” หนิงอวี้หัวเราะออกมาด้วยความโกรธจัด “เจ้าวิปลาสแล้ว”
มู่หรงเหยียนไม่ตอบ มือข้างหนึ่งตรึงหนิงอวี้เอาไว้ อีกข้างก็หยิบแถบผ้าที่นางใช้เหลือเมื่อครู่ขึ้นมา แล้วมัดมือทั้งคู่ของนางจนแน่น ครั้นแล้วก็ผลักนางไปบนเตียง
“ไปตามหมอมา”
มู่หรงเหยียนตะโกนเสียงดัง ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก สาวใช้คุกเข่าลงกับพื้น ครั้นแล้วก็วิ่งก้าวสั้นออกไป
มือทั้งคู่ของหนิงอวี้ดิ้นกระเสือกกระสน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกี้ยว
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ข้าอยากตายยังไม่ได้หรือ! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาห้ามข้า มู่หรงเหยียน!”
มู่หรงเหยียนสีหน้าเรียบเฉย ยกมือขึ้นรินน้ำชาให้ตนเองแล้วดื่มลงไปช้าๆ จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันเบา “ข้าคิดทำอะไรนั้นหรือ ข้าต้องการเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าก็รู้ดีมิใช่หรือ”
“ทำไมกัน…”
“ข้าไม่รู้ ว่านั่นด้วยเหตุผลอันใด ข้าเพียงทำตามหัวใจเท่านั้น”
“องค์รัชทายาทเพคะ หมอมาแล้วเพคะ!”
คนทั้งสองคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว มู่หรงเหยียนพยักหน้าอย่างเฉยชาแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “มือแม่นางมีแผล เมื่อครู่โดนแผ่นเหล็กและตะปูเหล็กเข้า ท่านหมอได้โปรดสั่งยาให้ด้วย”
ผ่านไปครึ่งเค่อ มู่หรงเหยียนก็ก้มหน้าลงทาขี้ผึ้งยาลงไปทีละนิดอย่างใส่ใจ หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลง ไม่ยอมเห็นฉากเช่นนี้ แต่กลับสัมผัสได้ถึงความแสบร้อนบนมือที่ถูกทาทับด้วยความเย็นทีละน้อยอย่างชัดเจน
“อย่าทำร้ายตัวเองเลย ประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”