ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 277-278
ตอนที่ 277 เดินหนึ่งก้าวคิดหนึ่งก้าว
หนิงอวี้นั่งลงบนเก้าอี้โยกที่โคลงเคลงตัวหนึ่ง กวาดมองไปรอบห้องอันวังเวง แม้บิดาจะเป็นขุนพลราชวงศ์ใต้ ภรรยากลับเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เหนือ บุตรบุญธรรมเป็นถึงรัชทายาทราชวงศ์เหนือ
โทษกบฏนั้น มิใช่การใส่ร้ายจริงๆ แต่จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงเฝ้าปกปักรักษาชายแดนราชวงศ์ใต้ ถึงขั้นยอมสละชีวิตเลือดเนื้อเพื่อสิ่งนี้ ทว่า ท่านอ๋องจะคิดเช่นไร
หัวใจนางจมดิ่งอย่างไร้ที่สิ้นสุด นางเองนับได้ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เหนือผู้หนึ่ง ราชวงศ์เหนือใต้เป็นอริต่อกัน หากวันหนึ่งท่านอ๋องรู้เรื่องนี้เข้า จะไม่ถือสาเลยจริงหรือ หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้วแล้วสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป
เดิมที มือนางก็เลอะไปด้วยเลือดของเพื่อนร่วมชาตินับไม่ถ้วน หนิงอวี้ลุกขึ้นยืนแล้วเลิกม่านลูกปัดที่ขาดรุ่งริ่งขึ้น ลูกปัดหลายเม็ดแตกร่วงกับพื้นเกิดเสียงดังกังวานใส
โครงไม้ปักผ้าหลังหนึ่ง แคร่สนมตัวหนึ่ง ด้านข้างยังมีภาพวาดอยู่ผืนหนึ่ง คือภาพเจาจวิน[1]ออกนอกด่านกำลังเหลียวมองกลับ เคยได้ยินเพียงว่ามารดาเป็นคนโผงผางรักคุณธรรม แต่กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนว่านางจะชอบปักผ้าด้วย
บนโครงไม้ปักผ้า มีลายปักนกเป็ดแมนดารินคู่หนึ่งที่ปักค้างไว้ มีฝุ่นจับเขลอะ คิดไปแล้ว คงเพราะนางต้องทนใช้ชีวิตที่ถูกจำกัดแบบนี้มาสิบกว่าปี หลังจากหลบหนีจึงได้เลือกหนทางชีวิตที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกระมัง
ณ ดินแดนข้าศึกนี้ แตกต่างจากหนิงเปียนอันอบอุ่นเป็นมิตร ทำให้นางรู้สึกอึดอัดไม่เป็นอิสระ
หนิงอวี้ถอนหายใจยาวหนึ่งทีแล้วเดินออกประตูตำหนักช้าๆ จังหวะที่เหยียบลงธรณีประตู นางชำเลืองขึ้นมอง หญิงสาวแววตาเต็มไปด้วยความเศร้าในภาพวาดนั้นกำลังนั่งปักลายอยู่หน้าโครงปักผ้า นางกำลังก้มหน้า ใบหน้าคร่ำเคร่ง
องรักษ์ที่เฝ้าประตูใหญ่ของตำหนักเดินเข้ามา เชื้อเชิญนางขึ้นเกี้ยว หนิงอวี้นั่งอยู่ในเกี้ยว ไม่จำเป็นต้องแหวกม่านขึ้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินติดตามจำนวนนับไม่ถ้วนได้
มู่หรงเหยียน สำหรับนางแล้วไม่เคยคิดละความระวังแม้แต่น้อย ต่อให้วันนั้นนางปีนกำแพงหนีสำเร็จ เกรงว่าคงถูกตามตัวกลับมาได้อยู่ดี
หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว แต่หากไม่หนี มู่หรงเหยียนก็คงไม่ยอมปล่อยนางไป หากนางมิอาจหาทางรอดให้ตัวเองได้ เกรงว่าคงต้องอยู่ยังตำหนักกลางเขาลึกชั่วชีวิต
นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อย เจ้าเด็กบ้าเอ๋ย คงไม่ได้พบท่านพ่อเจ้าแล้ว
ไม่ได้ ต้องหนี แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ นางหลบหนีสองครั้ง มู่หรงเหยียนย่อมระวังขึ้นอย่างมาก แต่หากรอต่อไป อายุครรภ์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน นางยิ่งเดินเหินลำบากมากยิ่งขึ้น…
อย่างน้อยตอนนี้ ต้องบำรุงร่างกายให้ดี หนิงอวี้คลึงหน้าผาก ความลำบากในช่วงที่ผ่านมาทำให้ร่างกายอ่อนเพลียไปไม่น้อย
——
ยามเช้าตรู่ เว่ยหยวนยืนอยู่กลางลานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีขาวไปทั้งแถบ ใกล้ฤดูหนาว ดอกทานตะวันดูเ**่ยวเฉาไปไม่น้อย ดูคล้ายกำลังจะแข็งตายด้วยความหนาว ช่างสวนจนปัญญาจึงใช้กระดาษติดล้อมทั่วลาน ตั้งเตาผิงจุดไฟกลางลานขึ้นสองสามเตาเพื่อให้มั่นใจว่ารักษาอุณหภูมิไว้ได้
เว่ยหยวนยืนอยู่กลางลานครู่หนึ่งก็รู้สึกอึดอัด จึงหันกายเดินกลับเข้าห้อง หนิงอวี้จากไปนานแล้ว กลิ่นหอมของเรือนผมนางจากหมอนค่อยจางไป เว่ยหยวนกอดหมอนไว้ในอ้อมอก แล้วเอนกายนอนหงายบนเตียง
ตอนนี้เจ้า กำลังทำอะไรอยู่หรือ กลางคืนยามนอนห่มผ้าดีหรือไม่ เว่ยหยวนหลับตาทั้งคู่ลงสีหน้านิ่งเฉย ในหัวกลับครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด
เขาไม่กล้าหลับ กลัวจะเห็นภาพหนิงอวี้ตายจากไปในความฝัน ภาพดาบโค้งแทงอกนางปรากฏซ้ำนับพันครั้ง ทุกๆ ครั้งนั้น แม้เขารู้ดีว่าเป็นเพียงความฝันแต่กลับอดมิได้ที่จะโผเข้าไป ทว่าในทุกครั้ง เขากลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เขาไม่กล้าตามหาข่าวคราวแม้แต่น้อยว่านางใช้ชีวิตที่สมรภูมิรบอย่างไร คงต้องลำบาก เสบียงขาด รองแม่ทัพทำการกบฏ ข้าศึกบุกโจมตีอย่างหนักหน่วง
ความรู้สึกอับจนหมดหนทางนี้ เขาเคยลิ้มรสมาครั้งหนึ่งเมื่อยังเป็นเด็ก ปวดร้าวถึงขั้วหัวใจ เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว คิดไปว่ามีสิทธิ์มากพอที่จะคอยเฝ้าคุ้มครองนาง คิดไม่ถึงว่า เขายังคงเป็นเด็กชายผู้อ่อนแอไร้ความสามารถผู้นั้นเหมือนเดิม
——
[1] หวังเจาจวิน หนึ่งในสี่ยอดหญิงงามในประวัติศาสตร์จีน
ตอนที่ 278 ยอมแพ้
“ฝ่าบาท เรื่องหลิงอ๋องสบคบกับข้าศึกเป็นเพียงเรื่องไม่มีมูลเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดคิดถึงรากฐานนับร้อยปีของราชวงศ์เราด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมรู้ว่าพระองค์ทรงรักพระโอรสดั่งดวงใจ แต่เรื่องนี้ไม่ควรเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยหยวนโค้งคำนับเล็กน้อย เขายืนท่ามกลางผู้คนโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด คำวิจารณ์อันดุเดือดของประชาราษฎร์นับหมื่น คำทัดทัดทานของขุนนางที่มาเข้าเฝ้านับร้อย คราวนี้ ชายผู้นั้นยืนยันความคิดตนโดยไม่ยอมรับฟัง เลือกยืนตรงข้ามความคิดของผู้คนที่โหมซัดเข้ามา
“เลิกเข้าเฝ้า! เว่ยหยวนอยู่ก่อน”
ชายผู้อยู่ในฐานะฮ่องเต้ในที่สุดก็ตรัสออกมา เสียงแหบพร่าฟังระคายหู เว่ยหยวนเดินออกจากแถว โค้งคำนับแล้วคุกเข่ากับพื้น ขุนนางนับร้อยทยอยตามกันเดินจากไปช้าๆ ขันทีนางกำนัลที่เฝ้าถวายการปรนนิบัติ โค้งคำนับแล้วตามกันถอยออกไป
ไม่นานนัก ท้องพระโรงอันหรูหราโอ่โถง ก็เหลือเพียงพวกเขาสองคน
“เจ้ากำลังคิดทำอะไรอยู่กันแน่”
เว่ยหยวนก้มหน้าคำนับ น้ำเสียงกลับเป็นกลางมินอบน้อมหรือแข็งกร้าว
“กระหม่อมหาทราบไม่ว่าฝ่าบาททรงรับสั่งเรื่องใดพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงสรวลอันแหบพร่าไม่น่าฟังนั้นดังขึ้น ฮ่องเต้ทรงเอนไปบนบัลลังก์มังกร พระเนตรทั้งคู่สิ้นแววดั่งที่เคยเป็นมา เว่ยหยวนชำเลืองขึ้นอย่างสงบนิ่ง เห็นรอยย่นบนหางตาเขา ก็ยิ้มน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว
ลูกรักทรยศต่อตน สมคบกับข้าศึกที่จงเกลียดจงชัง สตรีที่ทรงโปรดปราน กลับมิได้บริสุทธิ์…เสียเกียรติถึงที่สุด ต่อให้คิดจะกลั้นเอาไว้ แต่ทั้งราชสำนักและไพร่ฟ้าต่างก็รู้กันทั่วอยู่ดี แต่ถ้าจะแสดงความพิโรธเกรี้ยวกราด นั่นก็เท่ากับยอมรับตนโดนสวมเขาจริงๆ
ฮ่องเต้ทรงจ้องไปยังเว่ยหยวนอย่างดุดัน แล้วรับสั่งขึ้นด้วยสุรเสียงอันทุ้ม “เจ้าหมายจะได้ราชบัลลังก์หรือ แต่เจ้าหาได้เหมาะสมไม่ เจ้ามันแค่เจ้าคนชั้นต่ำ แค่บุตรนางชีนางหนึ่งเท่านั้น”
“สายเลือดของเจ้าเช่นนี้ หากครองตำแหน่งฮ่องเต้ จะมิเป็นความอัปยศอดสูของบ้านเมืองทั้งปวงหรือ”
“ต่อให้เว่ยหลิงทำไม่ถูกเพียงใด ตำแหน่งนี้ ก็มิอาจไปถึงเจ้า พุทโธ่ แม่เป็นเช่นไรบุตรย่อมเป็นเช่นนั้น เ**้ยมโหด อำมหิต สอพลอ”
หัวใจเว่ยหยวนเย็นเฉียบขึ้นมาทีละน้อย เขารู้ดีว่าในสายตาของฮ่องเต้ เขาเป็นเพียงคนชั้นต่ำ แต่พอมาได้ยินเข้าจริงๆ ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกเสียใจ
เขาดูหมิ่นตนได้ แต่จะมาดูหมิ่นมารดามิได้ หญิงสาวผู้ใสซื่อไร้เดียงสาในตอนแรกนั้น อยู่กลางป่าเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสันต์ไร้ทุกข์กังวลชั่วชีวิต ไม่ต้องพัวพันกับเรื่องทางโลกให้เดือดร้อนใจ
นางผิดอะไรจึงต้องจองจำนางไว้ยังมุมหนึ่งในวังหลวง บีบคั้นให้กระโดดบ่อน้ำปลิดชีพตน เว่ยหยวนคิดกลับไปมา นางผิดเพียงเรื่องเดียว นั่นคือการไม่รู้ซึ้งใจคน แต่กลับไปหลงรักเขาผู้นั้น
แผ่นหลังที่โค้งอยู่เล็กน้อยของเว่ยหยวนเหยียดตรงขึ้น เขาชำเลืองขึ้นมองไปยังชายผู้นั้นอย่างเย็นชา แล้วพูดเสียงเบา “เสด็จแม่ทำผิดอันใดกัน ในเมื่อพระองค์ไม่รักนาง ไยต้องพานางเข้าวังด้วย”
ฮ่องเต้ขมวดพระขนง ทรงสะบัดพระหัตถ์แล้วรับสั่งด้วยความหงุดหงิด “ก็แค่หาสิ่งแปลกใหม่ นางทำผิดอะไรนั่นหรือ นางกล้าดีคิดฆ่าตัวตาย นี่ไม่เท่ากลับหักหน้าเราหรอกหรือ”
“ทุกสิ่งใต้หล้านี่ แต่ไหนแต่ไรก็ล้วนแต่เป็นของเรา เราอยากรักสตรีนางใด มันก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว แม่เจ้า ช่างโง่เขลา คิดเล่นละครเบื่อชีวิตเสาะหาที่ตาย รังแต่ทำให้เรารู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งนัก!”
เว่ยหยวนชะงักอึ้ง ครั้นได้ฟังคำตอบเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง น้ำตาเอ่อซึมหางตา ที่แท้ ที่แท้เหตุผลที่เขาค้นหามาหลายต่อหลายปีมานี้ แต่กลับไม่กล้าสัมผัสนั้น แท้จริงแล้วกลับเป็นเช่นนี้เองหรือ
ง่ายดายเสียเหลือเกิน ช่างผิวเผินเสียจริง ฮ่าๆๆ ท่านแม่ ช่างมาหลงรักคนต่ำทรามเช่นนี้ได้
เขาหัวเราะเสียงดัง จนทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัย พระองค์ขมวดพระขนง ทอดพระเนตรไปยังเว่ยหยวนที่กำลังหัวเราะจนลืมตัว ทันใดนั้นก็สังเกตได้ว่าหน้าตาของเขาดูละม้ายหญิงสาวผู้นั้นอยู่บ้าง ช่างน่าอัปมงคลยิ่งนัก
“โอหัง เจ้าหัวเราะเยาะเราหรือ”
“มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหยวนยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนหางตา ใบหน้าที่แดงระเรื่อพลันกลับมาเยือกเย็นในทันใด “กระหม่อมเพียงอยากทูลถามคำถามสุดท้าย ฝ่าบาททรงจำได้หรือไม่ว่านางมีนามว่าอะไร”
ความเงียบเกิดขึ้นอยู่นาน เว่ยหยวนโค้งคำนับ มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
“กระหม่อมขอทูลลา”
เขาเดินออกไปยังประตูท้องพระโรง ลมหนาวพัดปะทะใบหน้าเขา เว่ยหยวนชำเลืองมองออกไปไกล ท่านแม่ ท่านเสียใจหรือเปล่า