ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 291 หนิงอวี้ได้รับความอับอาย / ตอนที่ 292 เสด็จออกรบด้วยพระองค์เอง
- Home
- ยอดรักชายาอัปลักษณ์
- ตอนที่ 291 หนิงอวี้ได้รับความอับอาย / ตอนที่ 292 เสด็จออกรบด้วยพระองค์เอง
ตอนที่ 291 หนิงอวี้ได้รับความอับอาย
ของประดับที่จัดวางรายเรียงนับไม่ถ้วนภายในห้อง ในเวลานี้ท้ายที่สุดก็ถูกขว้างปาจนสิ้น ในห้องที่กว้างขวางตอนแรกนั้น กลับถูกอีกฝ่ายยึดไปกว่าครึ่ง หนิงอวี้เคลื่อนไหวไปมาบนพื้นที่ได้เพียงครึ่งเดียว ท้ายที่สุดก็ถูกองครักษ์จับตัวเอาไว้ได้ แล้วนำตัวมายังเบื้องหน้าพระชายารอง
“เพี๊ยะ” เสียงตบกลางหน้าดังขึ้นกังวานหนึ่งที หนิงอวี้รู้สึกบนใบหน้าร้อนผ่าวไปทั้งแถบ โสตประสาทดูเหมือนจะเลือนลางลง เห็นเพียงริมฝีปากแดงๆ ของพระชายารองที่กำลังขยับขึ้นลง
“…วันนี้ข้าจะสั่งสอนวินัยกับเจ้าให้ดี ในเมื่อเข้าตำหนักองค์รัชทายาทแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบประเพณี”
“มีครรภ์แล้วอย่างไรกัน หากไม่เช่นนั้น เจ้าคงถูกลากออกไปเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนแต่นานแล้ว ข้าเตือนเจ้าให้สำเหนียกฐานะตน อย่าคิดทำการอาจหาญนัก”
เสียงพูดเล็กใส หนิงอวี้เหยียดมุมปากแต่กระทบเข้ากับแก้มจนรู้สึกปวดแสบอย่างรุนแรง
“นายหญิงได้โปรดระงับอารมณ์เพคะ มาเสียอารมณ์เพราะนางไม่คุ้มค่ากันนะเพคะ”
ซวงหวาพูดจาฉอเลาะแล้วหันหน้ามาตะคอกใส่องครักษ์ “ยังไม่รีบให้คุกเข่าลงอีก!”
ไม่ นางจะไม่คุกเข่าเป็นอันขาด สำหรับนางแล้วราชวงศ์เหนือไม่มีความอบอุ่นแม้เพียงน้อยนิด เท่าที่นางคิด มารดาเองก็คงไม่ชอบราชวงศ์เหนือนี้เช่นกัน
“ได้! ไม่คุกเข่าใช่ไหม ข้าอยากดูนัก ว่าหัวเข่าเจ้าล้ำค่าเพียงใดกัน! กดนางคุกเข่า!”
หนิงอวี้ขบฟัน องครักษ์ข้างกายนางทั้งสองกดแขนนางบังคับให้คุกเข่าลง บาดแผลบนแขนที่ถูกเชิงเทียนแทงทะลุนั้นยังไม่หายดี เพราะองครักษ์ใช้แรงทำให้บาดแผลปริแตกอีกครั้ง เลือดสดไหลจึงซึมออกมา
หนิงอวี้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด ราวกับแขนถูกฉีกขาด อารมณ์จึงพลุ่งพล่านถึงขีดสุด หน้าผากเริ่มร้อนขึ้นผ่าวๆ
ในขณะที่ถูกจับตัวเอาไว้นิ่ง ไม่รู้ว่าใครถีบเข่านางจากด้านหลัง หนิงอวี้ย่นคิ้วด้วยความรู้สึกเจ็บจากน้ำแรงอันรุนแรงนั้น ขณะที่ขางอลงเล็กน้อย องครักษ์ทั้งสองข้างก็กดตัวลงอย่างแรง
ชั่วพริบตา หัวเข่าก็กระแทกเข้ากับพื้นอิฐอันเย็นยะเยือก เกิดเสียงดังหนึ่งที ปวดจนถึงขั้วหัวใจ หนิงอวี้น้ำตาเล็ดออกมาช้าๆ เห็นพระชายารองกำลังกระหยิ่มยิ้มอย่างสะใจ
“หยุดนะ!”
หนิงอวี้ค่อยๆ หลับตาทิ้งกายลงนอนกับพื้น เสียงนี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน แต่นางหน่ายที่จะแยกแยะ เจ็บ เจ็บไปทุกที่ เจ็บเข่า เจ็บหน้า เจ็บแขน เจ็บหัว หนิงอวี้ครางด้วยความเจ็บออกมาหนึ่งทีโดยไม่รู้ตัว นางขดตัวม้วน
“เจ้ากำลังทำอะไร!”
มู่หรงเหยียนตะคอกดังหนึ่งที ยกมือขึ้นคว้าแขนพระชายารอง ใบหน้าอันอ่อนหวานของนางเลือนหายไปสิ้น นางรีบพูดพลางดิ้นกระสนว่า “องค์ชาย พระองค์ทรงทำให้หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ”
มู่หรงเหยียนสะบัดมือ แล้วเดินเข้าไปสองสามก้าว เห็นหนิงอวี้หน้าซีดเผือด แก้มซ้ายนูนแดงออกมา หน้าผากมีเลือดซึมไหลลงถึงหางตา
มู่หรงเหยียนขมวดคิ้วแล้วอุ้มหนิงอวี้ขึ้นมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง จึงพบว่าแผลเก่าบนแขนนางปริแตก เลือดแดงไหลอาบชายเสื้อ
“ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าแน่!” มู่หรงเหยียนทิ้งไว้หนึ่งประโยคแล้วอุ้มหนิงอวี้ไว้มั่นเดินไปยังนอกห้อง “ไปตามหมอหลวง!”
ผ่านไปหนึ่งเค่อ แผลเก่าหนิงอวี้ก็ได้รับการดูแลให้เข้าที่ มู่หรงเหยียนโบกมือไล่ผู้คนถอยออกไปแล้วนั่งเหม่อลอยข้างเตียง หนิงอวี้หน้าซีดขาว แม้ยามหลับฝันก็ยังขมวดคิ้วแน่น
มู่หรงเหยียนค่อยๆ ยื่นมือออกไป ลูบคิ้วนางให้เรียบ ครั้นแล้วก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “ดูเหมือนข้าจะทำผิดไป ไม่ควรเอาเจ้ามาไว้ที่นี่”
“บางที คงผิดตั้งแต่แรก ข้าไม่ควรรักเจ้า หรือบางที เราไม่ควรพบกันเลย”
“ไม่อยากเห็นเจ้าเป็นทุกข์ แต่กลับตัดใจปล่อยเจ้าไปไม่ได้” มู่หรงเหยียนพึมพำพลางกุมมือนางเอาไว้แน่น “เดิมทีข้าคิดจะปกป้องเจ้า สุดท้ายแล้วกลับทำรายเจ้าอย่างร้ายแรงที่สุด”
หน้าผากหนิงอวี้ที่พันด้วยผ้าขาวมีเลือดสดซึมออกมาช้าๆ บนผ้าขาวปรากฏเป็นรอยแดงกลมๆ ดวงหนึ่ง มู่หรงเหยียนก้มหน้า รู้สึกว่ารอยแผลนั้นช่างแสลงตายิ่งนัก
แสงเทียนดับลง มู่หรงเหยียนนั่งลำพังกลางแสงจันทร์อยู่นาน ในที่สุดก็ลุกขึ้นประทับจุมพิตอันร้อนผ่าวลงบนหน้านางหนึ่งที
“หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตอย่างมีความสุข แม้ข้าจะต้องเป็นทุกข์ก็ตาม”
ตอนที่ 292 เสด็จออกรบด้วยพระองค์เอง
“ฝ่าบาท ข่าวคราวล่าสุดพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยหยวนพยักหน้าแล้วรับม้วนหนังแกะนั้นมา มั่วหลีก้มหน้าไม่กล้ามองสีหน้าเขา
วินาทีถัดมานั้นเอง ฎีกาจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกกวาดตกในมือเดียว หัวหน้าขันทีย่นคิ้ว เดินเข้ามาสองสามก้าว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันแหลมด้วยความใส่ใจว่า “ฝ่าบาท ทรงระวังพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยหยวนค้ำศีรษะด้วยมือข้างหนึ่ง พยายามสะกดความโกรธ เมื่อรู้สึกสงบลงเล็กน้อย ครั้นพอนึกถึงคำพูดประโยคนั้นเมื่อครู่ก็พลันเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามมิได้
“น่าเกลียดชังที่สุด”
เว่ยหยวนโกรธจัด พลิกมือปัดสิ่งของที่เหลือทั้งหมดทิ้ง ที่ทับกระดาษ แท่นฝนหมึก ชั้นวางพู่กัน พู่กันขนเพียงพอนต่างร่วงกระจัดกระจายกับพื้น น้ำหมึกสาดเลอะจนดำ เหมือนกับสีหน้าเว่ยหยวนในขณะนี้
ช่างกล้านัก! กล้าดีที่ให้หนิงอวี้ออกเรือนกับมู่หรงเหยียน ซ้ำยังประกาศทั่วหล้าอย่างหน้าชื่นตาบาน ว่านางตั้งครรภ์บุตรของมู่หรงเหยียน? มือเว่ยหยวนเส้นเลือดปูดโปนขึ้น เขากำหมัดเอาไว้แน่น
“เข้ามา เรียกขุนนางมาเข้าเฝ้าหารือ!”
“ฝ่าบาท ตอนนี้กลางดึกยามสองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าขุนนางเงยหน้าขึ้น กลับถูกสีหน้าเว่ยหยวนทำให้กลัวจนตัวหด
“พ่ะย่ะค่ะ”
ท่ามกลางความมืด เหล่าขุนนางที่มาเข้าเฝ้าเดินหาวเข้ามาในท้องพระโรง ถวายบังคมก้มลงคุกเข่ากับพื้น เว่ยหยวนโยนรายงานลับลงกับพื้น ให้เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ดู
“ราชวงศ์เหนือประกาศเป็นปฏิปักษ์กับเราอย่างเป็นทางการ ดูหมิ่นเราเหลือที่จะทน เราตัดสินใจแล้ว อีกหนึ่งวันให้หลังออกทัพ!”
“ฝ่าบาท! มิได้เด็ดขาดเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ การรบสิ้นเปลืองเงินในท้องพระคลังทั้งยังลำบากไพร่ฟ้าราษฎร”
“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่า การศึกครั้งนี้ไม่รบไม่ได้ ราชวงศ์เหนือท้าทายเกียรติภูมิราชวงศ์เราอย่างเป็นทางการ มันช่างเหลือทนยิ่งนัก”
เว่ยหยวนนั่งบนบัลลังก์มังกร ฟังขุนนางสองฝ่ายโต้เถียงกันไม่หยุด ท่ามกลางเสียงอึกทึก เว่ยหยวนเลื่อนสายตาลงต่ำมองไปยังประตู ท้องฟ้าเริ่มสาง แสงอาทิตย์แสงหนึ่งส่องเข้ามาในท้องพระโรง
เว่ยหยวนนึกถึงหนึ่งปีก่อนหน้านี้ขึ้นมาโดยฉับพลัน เมื่อเขาพาหนิงอวี้มารับโอวาทครั้งนั้น นางหลุบสายตาลง ดวงตาเต็มเปี่ยมด้วยความระแวดระวัง เมื่อเขาเข้าใกล้ นางก็แผ่หนามทั่วร่างขู่เขาให้ถอย
“ไม่ต้องถกเถียงกันแล้ว เราจะออกรบด้วยตนเอง เพื่อชิงฮองเฮากลับมา”
แสงแดดส่องเข้ามาเป็นแถบ หนิงอวี้ยืนอยู่บนอิฐที่แสงแดดสว่างสาดส่องกระทบ กำลังมองขึ้นส่งยิ้มให้เขา
เว่ยหยวนยกมุมปากขึ้นยิ้ม ชั่วพริบตาเงาร่างนั้นก็เลือนหายไป เว่ยหยวนย่นคิ้วแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “พรุ่งนี้ออกเดินทาง”
——
“นายหญิง ได้ยินว่าทรงมีพระราชโองการแล้ว โปรดให้นางผู้นั้นเป็นชายารองเพคะ”
ซวงหวาหวีผมให้พระชายารอง นางพูดไปพลางสังเกตสีหน้านายหญิงไปพลางอย่างระวัง
ใบหน้าอันงามประณีตกลางคันฉ่องบิดเบี้ยว พระชายารองปัดคันฉ่องร่วงกับพื้น หนิงลู่คุกเข่าลงกับพื้น แล้วพูดเสียงเบา “นายหญิง อย่าโกรธเลยนะเพคะ”
ซวงหวาหยุดขยับหวีไม้ในมือลง แล้วพูดขึ้น “ยินดีช่วยกำจัดทุกข์ให้นายหญิงเพคะ”
พระชายารองเลิกคิ้ว
“หนิงลู่บอกว่า ซวงหวาเจ้ามักจะบุ่มบ่าม”
ซวงหวาหน้าแดงขึ้นมา นางกระแอมเบาๆ หนึ่งที แล้วหวีผมต่อ
หนิงลู่ก้มหน้าลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ตอนนี้สองฝ่ายรบกันพัลวัน ฮ่องเต้ทรงต้องการใช้หนิงอวี้แลกผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่านี้แน่เพคะ ทว่า หนิงอวี้ตั้งครรภ์ขององค์รัชทายาท จึงจำต้องให้นางอยู่ที่ราชวงศ์เหนือต่อ”
“หากไม่มีเด็กในท้องนางแล้ว ฮ่องเต้ต้องทรงส่งนางกลับราชวงศ์ใต้แน่ ไม่ต้องทำศึกก็ได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ และนายหญิงเองก็กำจัดมารหัวใจได้”
พระชายารองกรีดนิ้วนางขึ้น ทัดปอยผมไปหลังใบหู นางหัวเราะอย่างอ่อนหวานเย้ายวนแล้วพูดขึ้น “ดีมาก หนิงลู่ช่างคิดละเอียดตามคาด”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น หนิงลู่ยืนขึ้นสีหน้าเคร่งขรึม ครู่หนึ่งก็ปิดประตูลงแล้วถือจดหมายฉบับหนึ่งมา พระชายารองเปิดจดหมายนั้นอ่าน รอยยิ้มมุมปากดูอ่อนโยน “จดหมายของท่านปู่ คงคิดถึงข้าเป็นแน่”
หนิงลู่และซวงหวายืนอยู่ด้านข้าง พยักหน้ารับ ชั่วอึดใจเดียว พระชายารองก็ฉีกจดหมายนั้นเป็นเสี่ยงๆ นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ท่านปู่บอกว่า เมื่อวานยามเช้าตรู่ ราชวงศ์ใต้ส่งคนลอบโจมตีทหารฝ่ายเรา”
“สองฝ่ายรบพุ่งพัวพัน ท่านปู่บาดเจ็บจนหมดสติ ราชวงศ์ใต้พิชิตกองทัพเรา ยึดไปได้หนึ่งเมือง”