ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 297 แต่งงานกับมู่หรงเหยียน / ตอนที่ 298 ไม่ถึงกับเสียหน้า
ตอนที่ 297 แต่งงานกับมู่หรงเหยียน
“แย่ที่สุด! ปล่อยให้เด็กนั้นรอดมาได้!”
ปี้อวี้ใบหน้าบูดเบี้ยวยกเท้าถีบสาวใช้ทั้งสองที่อยู่บนพื้น หนิงลู่กล่อมด้วยเสียงอันเบาว่า “นายหญิง อย่าโกรธไปเลยเพคะ ยังมีอีกวิธีเพคะ”
ปี้อวี้ชำเลืองขึ้น จ้องอย่างดุดันไปยังหนิงลู่ หนิงลู่พยักหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อเด็กรอดชีวิตมาได้ ก็ปล่อยให้มันมีชีวิตต่อไปเพคะ”
“หนิงลู่ นี่เจ้าพูดอะไรกัน”
ซวงหวามุ่นหัวคิ้ว ใช้น้ำเสียงเหมือนตำหนิสั่งสอนพูดขึ้นด้วยความโกรธ หนิงลู่สีหน้าคงเดิมแล้วเอ่ยต่อว่า “ขอเพียงยืนยัน ว่าเด็กนั่นไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขขององค์รัชทายาท ต่อให้มีชีวิตต่อไป ก็หามีความหมายไม่เพคะ”
สาวใช้ที่อยู่บนพื้นเห็นว่ากำลังจะถูกดึงเข้าสู่บทสนทนาลับอันน่าหวาดกลัว ก็รีบโขกหัวรัวๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยขอทูลลาเพคะ”
ปี้อวี้ยิ้มเหยียดมองไปยังสาวใช้ปราดหนึ่ง ซวงหวารู้ใจนาง จึงลากตัวสาวใช้เดินออกประตูไป
“ว่าต่อสิ”
“เพคะ หนิงอวี้มีครรภ์เกือบสองเดินแล้ว แต่ร่างกายผ่ายผอม หมอจึงอาจวินิจฉัยผิดได้ ได้ยินว่าหนิงอวี้รักใคร่ลึกซึ้งกับฮ่องเต้ราชวงศ์ใต้ จะยินยอมลดตัวมาอยู่กับองค์รัชทายาทได้อย่างไร”
ประกายแวววับฉายผ่านดวงตาปี้อวี้ปลาบหนึ่ง แต่ปากนางกลับพล่ามคำพูดอันดูดีมีคุณธรรม “หากเจ้ากล่าวเท็จ จะไม่ต้องโทษหนักฐานให้ร้ายพระราชโอรสหรือ”
“นายหญิงโปรดคิดดูเพคะ หากนางตั้งครรภ์พระโอรสขององค์รัชทายาท องค์รัชทายาทจะมิทรงปลาบปลื้มจนแทบคลั่งหรอกหรือ อีกทั้ง นางตั้งครรภ์มาก็นานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินองค์รัชทายาทรับสั่งยอมรับสักครั้ง แต่เพราะด้วยฮ่องเต้หมายพระทัยใช้นางเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน องค์รัชทายาทจึงได้ยอมรับว่าในครรภ์คือพระราชโอรส”
ปี้อวี้พยักหน้าอย่างสมใจ นางหลุบสายตาลงมองเล็บแดงเย้ายวนทั้งสิบของตน มุมปากนางยกขึ้นยิ้มออกมาอย่างงดงามเย้ายวน
“นายหญิงอาจลองเขียนหนังสือถึงท่านขุนพล ขอท่านหาทหารหนีทัพที่เป็นเชลยศึกสักคน มายืนยันว่าหนิงอวี้ท้องตั้งแต่อยู่กลางสนามรบ แล้วเชิญหมออีกคนมา ระบุวันเวลาอีกที”
__
แสงไฟโคมสีแดงฉูดฉาดถูกแขวนขึ้น ส่องสะท้อนแสงไปทั่ว ผ้าไหมต่วนหรูหราผูกเป็นดอก มัดติดอยู่บนชายคา ผู้คนต่างรีบเร่งกับหน้าที่ในมือ บรรยากาศดูวุ่นวายอย่างยิ่ง
หนิงอวี้นั่งอยู่หน้าคันฉ่อง มองโฉมหน้าหญิงสาวในคันฉ่องอย่างพินิจ ผิวขาวราวหิมะ ปากแดงดั่งเลือด ภายใต้เครื่องประดับผมสีทองเหลืองอร่าม คือเรือนผมสลวยดำขลับ
งามยิ่งนัก นางยังจำวันมงคลวันนั้นได้ บิดายืนด้านหลังนางสองตาแดงก่ำ ที่สุดก็ห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ หนิงอวี้ระคายปลายจมูกเหมือนจะร้องไห้ ฝืนยกมุมปากยิ้ม หญิงสาวในคันฉ่องยิ้มบาง รอยยิ้มกลับดูโศกเศร้า
ทันใดนั้นหนิงอวี้ก็นึกได้ วันที่มารดาจากไปนั้น สวมชุดมงคลสีแดงสดใสทั้งตัว นางได้สวมชุดมงคลสีแดงสมดั่งใจ แต่กลับเดินไปบนหนทางแห่งผู้วายชนม์
“ได้ฤกษ์แล้ว”
หมัวมัวตะโกนขึ้นดัง เสียงประทัดดังขึ้น หนิงอวี้ช้อนสายตาขึ้นแล้วลุกยืนช้าๆ วันนี้นางสวมชุดมงคลทั้งตัวและไปจากที่นี่ เพียงแต่ หนทางที่นางจะไปนั้นมิใช่หนทางที่ไม่อาจรับรู้ แต่เป็นทางกลับคืนสู่บ้าน
ผ้าคลุมหน้าแดงชาดผืนใหญ่ปิดบังวิสัยทัศน์ หนิงอวี้กุมปิ่นดอกไม้ไหวในมือแน่นซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ เมื่อครู่นางอาศัยว่าเครื่องประดับนั้นมีมากมาย จึงจงใจแอบขโมยมา จะเชื่อมู่หรงเหยียนทั้งหมดไม่ได้ หนิงอวี้ก้มหน้าลง ปล่อยให้หมัวมัวจูงนางเดินออกประตูไป
ครู่เดียว มือนางก็ถูกอีกคนหนึ่งจูงไว้ มือข้างนั้นห่อหุ้มมือนางไว้อย่างอ่อนโยน บนมือมีรอยหยาบกร้านอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะใช้กระบี่อยู่เนื่องนิจจึงเป็นเช่นนี้
ย่างทีละก้าวๆ ทั้งสองเดินผ่านพรมแดง เมื่อเดินไปถึงขั้นบันได หมัวมัวก็เตือนเสียงเบา “ระวังขั้นบันไดเพคะ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง มู่หรงเหยียนก็อุ้มนางขึ้นทันที
ปี้อวี้ที่อยู่ข้างๆ กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางเหลือบหางตามองก็เห็นหนิงลู่ยืนอยู่ที่ประตูกำลังพยักหน้าเบาๆ มายังตน ปี้อวี้เลิกคิ้วน้อยๆ มุมปากยกยิ้ม
ดีมาก ข้าจะดู ว่าเจ้าจะยิ้มได้ถึงเมื่อใด
ตอนที่ 298 ไม่ถึงกับเสียหน้า
“หนึ่งคำนับฟ้าดิน”
“หยุดก่อน! ฝ่าบาทเพคะ ปี้อวี้มีเรื่องจะกราบทูล”
หนิงอวี้มือพลันชุ่มด้วยเหงื่อ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงฝ่ามืออันใหญ่กำลังกุมมือนางอย่างอ่อนโยน
หนิงอวี้ย่นคิ้วสะบัดมือข้างนั้นออกก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น ผ้าคลุมหน้าสีแดงบังสายตา เห็นเพียงรองเท้าปักลายผีเสื้อตอมดอกไม้คู่หนึ่งเดินเข้ามา
“ปี้อวี้มีหมอจะมาขอกราบทูลเพคะ”
“ปี้อวี้ เพลานี้เป็นเวลาที่องค์รัชทายาทแต่งพระสนม อย่าทำตัวเหลวไหล”
ปี้อวี้ยิ้มน้อยๆ หนึ่งที ครั้นแล้วก็สะบัดมือ สาวใช้นางหนึ่งเดินออกมาจากมุม ด้านหลังสาวใช้มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินตามมา ใบหน้าเ**่ยวย่น เส้นผมพันเกาะรุงรัง เครื่องแบบทหารบนกายสกปรกอย่างเห็นได้ชัด
ฮ่องเต้ทรงเลิกพระขนง พลางลูบพระมัสสุแล้วมองไปยังมู่หรงเหยียน มู่หรงเหยียนใบหน้าถอดสีเล็กน้อย แล้วตะคอกตำหนิเสียงเบาว่า “เหลวไหล ใครก็ได้ พาพระชายารองออกไปที”
ปี้อวี้ถูกมู่หรงเหยียนต่อว่าต่อหน้าผู้คน สีหน้าเปลี่ยนจากขาวซีดเป็นแดง ได้ ข้าให้ท่านปู่ช่วยเหลือเสียหลายเรื่อง เพื่อออกเรือนกับเจ้าโดยไม่ใส่ใจสิ่งอื่นใด คิดไม่ถึง ว่าเจ้าจะกลับมาตำหนิข้าต่อหน้าผู้คนเพื่อนางชั่วผู้นี้
“ปี้อวี้มีเรื่องกราบทูลเพคะ”
ปี้อวี้อายจนโกรธ ใบหน้าบิดเบี้ยว ในเมื่อเช่นนี้ข้าก็จะฉีกหน้าเจ้าต่อหน้าธารกำนัล ให้ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ได้รู้ ว่าองค์รัชทายาทมากชู้เพียงใด เพื่อคนที่รักแล้วกลับกล้าสวมเขาให้ข้าอย่างไม่ลังเล
เสียงประทัดและคำพูดอวยพรเงียบลงโดยพลัน เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงต่างมองหน้ากันไปมา มู่หรงเหยียนสีหน้าเขียวปัด คุกเข่าลงกับพื้น
“เสด็จพ่อ ขอทรงอภัยที่ดูแลเรื่องภายในตำหนักไม่ดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งห้องเงียบงัน ฮ่องเต้ทรงสรวลขึ้นมาทันใด เขาชำเลืองขึ้นมองสายตาผู้คนปราดหนึ่งแล้วพูดขึ้นเสียงดังว่า “แค่เรื่องน้อยนิดในครอบครัวของข้าเท่านั้น”
“ในเมื่อเช่นนั้น กระหม่อมก็ขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าขอลาก่อนเช่นกัน”
“กระหม่อมร่างกายอ่อนแอ ขอตัวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
เพียงชั่วครู่เดียว ในห้องที่แออัดในตอนแรกก็โล่งขึ้นมา หนิงอวี้ยื่นมือขึ้นเปิดผ้าคลุมหน้า เมื่อหันหลังกลับก็พบพลทหารสภาพสะบักสะบอมนายหนึ่ง ดูคุ้นตานางยิ่งนัก
นายทหารผู้นั้นเห็นนางหันกลับ ก็ล้มตัวคุกเข่ากับพื้นเสียงดัง โครม หนึ่งที
“ผู้น้อยคารวะท่านนายพลหนิงขอรับ”
หนิงอวี้พยักหน้า ผ้าไหมต่วนหรูหราบนศีรษะร่วงสู่พื้น มู่หรงเหยียนสีหน้าไม่พอใจ หมุนตัวกลับไปมองยังนางปราดหนึ่ง
“เสด็จพ่อ ลูกคิดว่า แค่ลากขอทานจากที่ไหนก็ได้มาแต่งตัวเป็นทหาร คำพูดคนผู้นี้เชื่อถือมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
“คนผู้นี้คือเชลยศึกที่ท่านตาจับกุมมา เขาบอกว่าหนิงอวี้ตั้งครรภ์ตั้งแต่ก่อนรบแพ้แล้ว” ปี้อวี้คุกเข่าลงกับพื้น ชายกระโปรงสีเขียวกางออกราวกับดอกไม้เบ่งบาน “องค์รัชทายาทรักใคร่ผูกพัน จนยอมรับสายเลือดราชวงศ์ใต้เป็นพระโอรสอย่างไม่ลังเล ปี้อวี้รู้สึกชื่นชมและประทับใจนักแลเพคะ”
ฮ่องเต้ทรงลูบพระมัสสุสีพระพักตร์วุ่นวาย แนวหน้ารายงานด่วนมาว่า เว่ยหยวนบุกรุกรานไม่หยุด หากส่งหนิงอวี้กลับไป แล้วบังคับให้เขายอมสวามิภักดิ์ได้ ก็นับว่าไม่เลว
พระองค์ทรงเคยวางแผนเช่นนี้มาก่อน แต่สุดด้วยในครรภ์หนิงอวี้มีพระโอรส ทั้งยังได้รับความรักจากเหยียนเอ๋อร์ หากปี้อวี้มิได้กล่าวเท็จ ทั้งยังมีผู้อื่นมายืนยันได้ ก็นับว่าเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
“ปากเสียพูดจาใส่ร้าย” มู่หรงเหยียนโค้งคำนับ “เสด็จพ่อ หมัวมัวบอกแล้วว่าหนิงอวี้อายุครรภ์ยังไม่ถึงสองเดือน สำหรับเรื่องพลทหาร ลูกจะออกไปยังสนามรบด้วยตนเอง เพื่อหาตัวมายืนยันเองพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงอวี้ยืนอยู่กลางคนทั้งสองที่คุกเข่าลง ฟังทั้งสองโต้เถียงกันด้วยสีหน้านิ่งเฉย หากไม่เกิดเรื่องครั้งนี้ นางคงกำลังรออยู่ยังห้องหออย่างร้อนใจแล้ว
“แม่ทัพหนิง เจ้าจะว่าเช่นใด”
มุมปากหนิงอวี้ยกยิ้มอย่างฝืนๆ แล้วพูดออกมาเสียงเบาว่า “ลูก เป็นของเว่ยหยวน”
ยังไม่สิ้นคำ นางก็ล้วงปิ่นดอกไม้ไหวด้ามนั้นออกจากแขนเสื้อแล้วแทงไปยังเขา มู่หรงเหยียนลุกขึ้นยืน แล้วใช้มือข้างหนึ่งขวางลำตัวด้านหน้าของหนิงอวี้ มืออีกข้างคว้าแขนนางเอาไว้
ปิ่นดอกไม้ไหวแทงทะลุเนื้อ กลางฝ่ามือมู่หรงเหยียนมีเลือดไหลซึมออกมา หนิงอวี้นิ่งอึ้ง แต่นางกลับเห็นมู่หรงเหยียนยิ้มขึ้นอย่างจนใจ นางคลายมือออกแล้วก้าวถอยสองสามก้าว เสียงปิ่นดอกไม้ไหวร่วงกระทบพื้นถูกกลบด้วยเสียงร้องด้วยความโกรธ
“จับนางไว้!”
“ชุดมงคลนี้คือชุดที่เหล่าช่างทอรีบทำหามรุ่งหามค่ำ ปักดิ้นเงินดิ้นทอง เลี่ยมด้วยไข่มุกแผ่นหยก หากสวมในวันแต่งงาน ก็ไม่นับว่าเป็นการทำให้ราชวงศ์เหนือต้องเสียหน้าหรอก”