ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 309 เว่ยหยวนแกล้งโกรธ / ตอนที่ 310 เว่ยหยวนยังโกรธต่อไป
ตอนที่ 309 เว่ยหยวนแกล้งโกรธ
“ท่านนายพลหนิง เชิญรับอาหารเถิด”
หนิงอวี้ยื่นมาไปหยิบตะเกียบ ข้อมือกลับสั่นเทิ้มเบาๆ อยู่กลางอากาศ แม้เพียงคว้าตะเกียบก็ยังสั่นเบาๆ
หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว ยื่นมือไปหยิบช้อนแกงที่อยู่ด้านข้างขึ้น แล้วตักน้ำแกงที่อยู่ด้านข้างมาถ้วยหนึ่ง กินอาหารอย่างไร้รสอยู่ชั่วครู่ นางก็วางช้อนลงแล้วถอนหายใจยาว
เวลาเดียวกันนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น เว่ยหยวนแหวกม่านแล้วเดินเข้ามาในกระโจม เห็นนางกินข้าวที่วางอยู่ด้านหน้าไปเพียงครึ่ง ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างห้ามมิได้
หนิงอวี้เผยสีหน้าประหลาดใจ ครั้นแล้วก็มองตามสายตาเขาไปยังถ้วยของตน กระแอมเบาๆ หนึ่งที หนิงอวี้หยิบช้อนตักข้าวขึ้นมาเข้าปาก มือสั่นเบาๆ หนิงอวี้ก้มหน้าไปรับช้อน ไม่อยากให้เว่ยหยวนเห็นว่าตนไม่สบาย
“ท่านหมอบอกว่า เจ้าจำเป็นต้องบำรุงรักษา ต้องกินเนื้อให้มาก”
หนิงอวี้พยักหน้า ยื่นมือไปหยิบตะเกียบขึ้น วินาทีถัดจากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าบนมือตนบาดเจ็บ ตะเกียบที่ถือในมือ ราวกับหนักถึงพันชั่ง
ตะเกียบสั่นเล็กน้อย หนิงอวี้ยื่นมืออีกข้างออกไปหมายจะจับข้อมือเอาไว้ให้มั่น แต่ถูกเว่ยหยวนรั้งเอาไว้ เว่ยหยวนสีหน้าบึ้งตึง ยื่นมือไปหยิบตะเกียบของนางมาแล้วคีบเนื้อชิ้นหนึ่งยื่นไปกลางถ้วยนาง
หนิงอวี้ยกยิ้มบาง เว่ยหยวนสีหน้ายังคงไม่ยินดี ทำเพียงมองสายตาหนิงอวี้แล้วคีบผักขึ้น สาวใช้ได้ยินมาว่าฮ่องเต้ทรงรักพระชายาอย่างไร้ที่สิ้นสุด เมื่อรู้สถานการณ์ก็ถอยไปยังมุมผนัง
“หม่อมฉันอยากกินปลาเพคะ”
เว่ยหยวนชำเลืองมองนางปราดหนึ่ง เขาคีบเนื้อปลาหนึ่งชิ้นวางลงกลางถ้วยด้านข้างแล้วไซ้ก้างออกจนหมดเกลี้ยง
หนิงอวี้ก้มหน้าแล้วยิ้มอย่างพอใจ เว่ยหยวนจัดการก้างปลาแล้วก็คีบเนื้อปลางวางลงกลางถ้วยนาง เมื่อเห็นว่านางก้มหน้านิ่งไม่พูดจา เขาขมวดคิ้วมองจึงพบว่าบนมุมปากนางประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น
หนิงอวี้จับสังเกตสายตาเขาได้ ก็เงยหน้าขึ้นยักคิ้วส่งยิ้มอ่อนหวานไปยังเขา เว่ยหยวนยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นรอยแผลบนหน้าผากนางก็กลับมามีใบหน้าเย็นชา
หนิงอวี้รู้ว่าเขากำลังโกรธ นางวางช้อนลงแล้วดึงแขนเสื้อเขาอย่างระวัง
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว เว่ยหยวน”
เว่ยหยวนวางตะเกียบลง ทำท่าตั้งใจฟัง วันนี้เขาสวมชุดเช่นปกติ ชุดขาวอันสง่างามหรู แม้ว่าใบหน้าแฝงด้วยความเยือกเย็น แต่กลับดูดั่งคุณชายตระกูลสูงนิสัยขี้เล่น หน้าตาคมขำ คิ้วเข้มดั่งแกะสลัก ริมฝีปากบางเม้มแน่น
หนิงอวี้มองเหม่อไปชั่วขณะ เมื่อได้สติกลับมาก็หน้าแดงไปถึงใบหู เว่ยหยวนนั่งอยู่นานครั้นไม่ได้ยินคำพูดใด ก็กระแอมเบาๆ หนึ่งที หนิงอวี้ถูกเสียงกระแอมไอนั้นรบกวนความคิด ก็รีบปล่อยมือลงแล้วนั่งกลับที่อย่างรีบร้อน ท่าทางดูราวกับนักเรียนประจำสำนักความรู้อย่างไรอย่างนั้น
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันควรปรึกษาพระองค์ก่อนที่จะออกไปกลางสนามรบโดยลำพัง”
“อืม แล้วอะไรอีก”
“หม่อมฉันไม่ควรผิดสัญญาจนกลับมาช้า ต้นความหวังคงเ**่ยวไปนานแล้วสินะเพคะ”
“อืม ว่าต่อ”
“หม่อมฉัน…หม่อมฉันไม่ควร…” หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้วครุ่นคิดชั่วครู่ “ทำการบุ่มบ่าม ควรจัดการอย่างระวังรอบคอบเพคะ”
“อืม” เว่ยหยวนพยักหน้าเลิกคิ้วสูงมองนาง หนิงอวี้คิดว่าตนไม่ได้มีความผิดใหญ่โต เห็นเขาเลิกคิ้วก็ได้แต่ขยิบตาให้ เว่ยหยวนไม่แสดงท่าทีต่อการแสดงความออดอ้อนเอาใจอย่างว่าง่ายของนาง เขาพูดขึ้นเสียงเบา “ว่าต่อ”
“หม่อม…หม่อมฉันไม่รู้แล้วเพคะ”
หนิงอวี้ก้มหน้าลง ไม่กล้าสู้หน้าเขา บนศีรษะรู้สึกอุ่นผ่าว น่าจะเป็นความอุ่นจากฝ่ามือของเว่ยหยวน
“เจ้าไม่ควรกลับมาพร้อมบาดแผลทั่วกายเช่นนี้”
หนิงอวี้เงยหน้าขึ้น แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “หากมิใช่เช่นนี้ เมืองทั้งหกแห่งจะไม่เป็นการยกให้ผู้อื่นโดยเปล่าหรอกหรือเพคะ”
เว่ยหยวนเหยียดปากยิ้มบางหนึ่งทีราวกับกำลังฟังเรื่องตลกแล้วตอบน้ำเสียงเรียบว่า “เจ้าคิดว่า ในสายตาข้าเจ้ามีค่าน้อยกว่าแผ่นดินนี้หรือ”
หนิงอวี้อึ้งงัน หัวใจเต็มล้นด้วยความอบอุ่นอย่างไร้ที่สิ้นสุด จนทำให้นางรู้สึกว่ามือที่ขยี้เรือนผมนางอยู่นั้นออกจะร้อนผ่าวเล็กน้อย
“เจ้าไม่ควรเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ เจ้าควรรอข้า”
หนิงอวี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดให้สัตย์ยืนยัน “เพคะ หม่อมฉันรับรอง จากนี้ไปจะไม่เสี่ยงอันตราย จะรอพระองค์มาหาหม่อมฉันเพคะ”
เว่ยหยวนพยักหน้าแต่ยังคงความสุขุมภูมิฐานราวกับยังสอบสวนไม่เสร็จ หนิงอวี้รู้สึกประหลาดใจขึ้นเล็กน้อย แต่เขากลับพูดขึ้นน้ำเสียงเรียบ “พูดต่อ ความผิดของเจ้า ไม่ได้มีเพียงแค่นี้”
ตอนที่ 310 เว่ยหยวนยังโกรธต่อไป
หนิงอวี้เห็นเขาสีหน้าเคร่งขรึม ก็ได้แต่ครุ่นคิดกลับไปกลับมาอีกครั้ง แต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีความผิดใด จึงได้กระซิบขึ้นเบาๆ “หม่อมฉัน… หม่อมฉันไม่รู้เพคะ…”
เว่ยหยวนล้วงผ้าเช็ดหน้าแพรผืนหนึ่งออกมา ในผ้าเช็ดหน้าคือจดหมายฉบับหนึ่ง ลายมือเขียนหวัดราวกับตัวบุ้งเลื้อยไปมา
นั่นคือจดหมายสั่งเสียของนาง นี่คือปัญหาใหญ่ทีเดียว หนิงอวี้สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยอมรับความผิดอย่างกล้าหาญ “หม่อมฉันไม่ควรเขียนลายมือขี้เหร่เช่นนี้…ไม่สิ….”
เว่ยหยวนโน้มตัวลง ใช้ริมฝีปากตนหยุดคำพูดนางเอาไว้ หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลง ยกมือขึ้นโอบเอวเขาเอาไว้ เว่ยหยวนสัมผัสได้ถึงกอดของนาง ก็ยื่นมือไปโอบนางเอาไว้ในอก จดหมายสั่งเสียร่วงสู่พื้น เลอะไปด้วยเศษฝุ่น
ครู่หนึ่ง เว่ยหยวนก็ปล่อยหนิงอวี้ หนิงอวี้หายใจหอบริมฝีปากแดงบวมเป่ง ใบหน้าเองก็แดงปลั่ง
“ไม่ใช่ข้อนี้ พูดต่อ! เมื่อครู่บังอาจยั่วยวนข้า เพิ่มโทษอีกสถาน”
เว่ยหยวนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกนอกกระโจมไปโดยพลัน
หนิงอวี้อวี้ยืนอึ้งพร้อมริมผีปากแดงก่ำ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อเจ้าดุจัง แม่คงเยียวยาเขาไม่หายแล้ว”
นางก้มหน้าลงก็พบจดหมายสั่งเสียฉบับนั้นร่วงหล่นอยู่กลางพื้นอย่างเดียวดาย แม้จะถูกพันห่อด้วยผ้าไหมต่วนอันอ่อนนุ่มงามหรู แต่กระดาษกลับยังดูเหมือนเก่าลงไปบ้าง บนกระดาษเกิดขุยสีขาวขึ้นเล็กน้อย คงจะถูกเสียดสีกับอะไรบางอย่างอยู่เป็นประจำ
ลายมืออันคุ้นตา หนิงอวี้ยกมุมปากขึ้นยิ้มออกมาหนึ่งทีอย่างเศร้าๆ ตนในตอนแรกนั้น สิ้นหวังมากถึงเพียงใด เสียงฝีเท้าดังขึ้น หนิงอวี้เงยหน้าขึ้นก็เห็นเว่ยหยวนเดินกลับมาอีกครั้ง
หนิงอวี้อ้าปากหมายจะเอ่ยคำ ก็เห็นเว่ยหยวนโน้มตัวลง เขายื่นมือไปดึงจดหมายในมือนางมาแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “คิดต่อไป ห้ามหยุด” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็ถือจดหมายเดินออกกระโจมไป
หนิงอวี้นิ้งอึ้งกับที่อยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ใบหูของเว่ยหยวนดูเหมือนจะแดงขึ้นเล็กน้อย ที่แท้ คนที่ขวยอายไม่ใช่แค่นาง หนิงอวี้ลูบติ่งหูที่ร้อนผ่าวเบาๆ พลางยิ้มขึ้นออกมาอย่างอ่อนหวาน
——
ดึกดื่นค่ำคืน หนิงอวี้เขย่งปลายเท้า เดินไปยังด้านนอกกระโจมของเว่ยหยวน มั่วหลีเฝ้าอยู่ปากกระโจม เห็นนางเดินมาก็โค้งกายคำนับเบาๆ
“ท่าน…”
“ชู่ว์!”
หนิงอวี้ทำสัญญาณมือ มั่วหลีเอามืออุดปากแล้วพยักหน้ารับ
เดิมทีหนิงอวี้ตั้งใจจะเดินเข้าไป เมื่อเห็นมั่วหลีก็ยั้งฝีเท้าลง
“หงหลิงอยู่ดีหรือไม่”
“หง…” มั่วหลีเห็นหนิงอวี้หน้าตาตื่น ก็รีบกดเสียงต่ำตอบกลับอย่างรีบร้อน “ยังอยู่ดี เพียงแค่เอาแต่ร้องไห้”
“พอได้ยินข่าวว่าท่านขุนพลหนิงสิ้นชีวิตกลางสนามรบ และท่านหายสาบสูญก็เอาแต่ร้องไห้ ร้องจนสลบไป จนต้องเชิญท่านหมอมารักษา ร้องไห้ราวสามวัน ถึงหยุด แล้วเอาแต่เหม่อมองนอกหน้าต่าง บอกว่าท่านจะกลับมา”
หนิงอวี้สองตาแดงก่ำ นางยกมือขึ้นเช็ดหางตา กดเสียงต่ำพูดขึ้นว่า “เจ้าต้องดีกับนางนะ หากนางถูกรังแกแม้แต่น้อย ข้าจะเดินทางทั้งวันทั้งคืนไปเล่นงานเจ้าให้ปล่อยเบาราดเลยคอยดู”
มั่วหลีผู้อาจต้อง ‘ปล่อยเบาราด’ พยักหน้าไม่ขาด เขาและหงหลิงอยู่ร่วมกันไม่ลำบากก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อีกทั้ง หากเขารังแกนาง ตัวเขาคงต้องเป็นผู้รู้สึกผิดเองก่อนอยู่แล้ว ไหนเลยจะต้องรอให้ฮองเฮาลงมือ
หนิงอวี้ได้รับการยืนยันแล้ว จึงแหวกม่านขึ้นเดินเข้าไปในกระโจม ที่นี่ดูเรียบง่ายกว่ากระโจมของนางนัก มีเพียงโต๊ะว่าราชการและกองม้วนตำราพิชัยยุทธ์
กระโจมข้างและกระโจมหลักช้าผ้าแพรขาวกั้น หนิงอวี้มองทะลุผ้าแพรขาวก็เห็นว่า มีโต๊ะเก้าอี้ และเตียงไม้อีกหนึ่งหลัง ฉากบังตาชุดหนึ่งปิดบังช่องว่าง เค้าโครงถังไม้สะท้อนอยู่บนนั้น
ความปวดร้าวปะทุขึ้นกลางใจ นางรู้สึกปวดใจ หนิงอวี้นิ่งอึ้งอยู่นาน เว่ยหยวนที่กำลังหันหลังให้นางกลับไม่สังเกตแม้แต่น้อย
ดูอะไรกันถึงกับต้องหมกมุ่นเช่นนี้ หนิงอวี้เลิกคิ้ว นางแหวกม่านแล้วเดินเข้าไป ย่องเข้าไปแล้วชะโงกหน้ามองก็เห็นลายมืออันบิดเบี้ยวของตน
เว่ยหยวนม้วนเก็บผืนผ้าในมือ แล้วถามขึ้นเสียงเบา “ไยจึงไม่นอน”
หนิอวี้เห็นเขายังคงมีสีหน้าไม่ยินดี ในใจกำลังทอดถอนใจกับตัวเองว่า แย่แล้ว
“กลับไปนอนเสีย ประเดี๋ยวข้าจะกลับ…คนดี”