ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 321 ยังไม่หายโกรธ / ตอนที่ 322 ธารกำนัล
ตอนที่ 321 ยังไม่หายโกรธ
หนิงอวี้เทน้ำขิงลงในกระถางต้นสนด้านข้าง แล้วคลุมหนังจิ้งจอกเดินออกกระโจมไป
“ท่านนายพลหนิง”
สาวใช้ค้อมกายคำนับ หนิงอวี้พยักหน้าตอบ
ลมหนาวโชยผ่าน พัดเส้นผมนางพลิ้วไหว “ลมมาแล้ว” หนิงอวี้พึมพำ บนท้องฟ้าไกลจากที่นั่นแดงไปด้วยแสงไฟลุกไหม้ที่สะท้อนขึ้นไป
เสียงฝีเท้าม้าขบวนหนึ่งแว่วเข้ามา ไกลจากที่นั่้นก็เห็นม้าดำหลายตัวปรากฏขึ้น หนิงอวี้ดึงพับเก็บหนังจิ้งจอก แล้วเขย่งเท้าดูคนเหล่านั้น ตั้งใจมองหาม้าขาวของเว่ยหยวน
สอดส่องสายตาอยู่ครู่หนึ่ง ม้าดำวิ่งมาถึงด้านหน้า แต่ม้าขาวกลับยังไม่ปรากฏให้เห็นสักที หนิงอวี้ได้ยินเสียงหัวใจตนเต้นรัว รู้สึกเย็นสันหลังวาบอย่างไม่อาจห้ามได้
เป็นไปได้อย่างไร ไม่มีเว่ยหยวน! หนิงอวี้ขบริมฝีปาก รีบวิ่งออกไปยังพวกเขา มั่วหลีขี่ม้าสีแดงพุทราตัวหนึ่งวิ่งมา รีบลงจากม้าคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว
“ท่านนายพลหนิง ฮ่องเต้ทรงได้รับบาดเจ็บขอรับ”
หนิงอวี้ดวงตาเบิกโพลง สาวใช้รีบเข้าไปประคองอย่างรวดเร็ว
“ท่านนายพลหนิง ระวังร่างกายด้วย”
หนิงอวี้จิกชายเสื้อไว้นิ่ง ก็พบว่านิ้วตัวเองนั้นเย็นเฉียบดั่งเลือด
“เขาอยู่ที่ใด”
หนิงอวี้ย่นคิ้ว ยกมือขึ้นดึงสายบังเ**ยนม้าไว้
“ฝ่าทรงอยู่ท้ายทัพ ท่านนายพลหนิง ท่าน…”
ยังไม่ทันจบความ หนิงอวี้ก็พลิกกายขึ้นม้า มือนางข้างหนึ่งกุมท้องน้อย มืออีกข้างรั้งสายบังเ**ยน ขาทั้งสองหนีบท้องม้าไว้แน่น หนิงอวี้ตะโกนขึ้นดัง “ไป!” ม้าออกวิ่งควบไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ม้าออกวิ่ง ฝุ่นก็ตลบฟุ้ง
มือมั่วหลีค้างอยู่กลางอากาศ ครั้นแล้วก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาหนึ่งทีดัง “พรืด”
งานนี้สนุกแน่ จะรอดูว่าถึงเวลานั้นจริงฮ่องเต้จะทรงจัดการอย่างไร นายพลหนิงออกวิ่งอย่างคลุ้มคลั่งไปตลอดทาง หัวใจแทบแหลกเป็นผุยผง สุดท้ายก็จะพบว่าพระอังสาของฮ่องเต้แค่ถูกธนูเฉียดผ่านไปเพียงเล็กน้อย
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง หนิงอวี้ไม่สนใจสิ่งอื่นใด เอาแต่สอดส่องตามหาเขาท่ามกลางฝูงชน ได้รับบาดเจ็บ…หนิงอวี้ขบริมฝีปากเบ้าตาแดงก่ำ เขาจะตายไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด
ท้องฟ้าจู่ๆ ก็มีหิมะโปรยปราย เกล็ดหิมะราวกับขนห่านเกล็ดหนึ่งร่วงลงบนมือหนิงอวี้ นางไม่ทันสังเกต รู้เพียงว่าสถานการณ์ยิ่งขับคันขึ้นเรื่อยๆ
ผ่านไปราวครึ่งเค่อ นางก็หาม้าสีขาวตัวนั้นพบกลางฝูงม้าและผู้คน ม้าที่เหลือตัวอื่นต่างออกวิ่งไป เหลือเพียงม้าขาวที่เดินเข้ามาด้านหน้าช้าๆ ดูสบายอารมณ์ไม่น้อย
ผู้อยู่บนหลังม้าขาวคือเว่ยหยวน น้ำตาที่หนิงอวี้กลั้นอยู่นานสุดท้ายก็ไหลอาบลงมา ร่วงลงบนมือที่กุมสายบังเ**ยนทำให้หิมะเกล็ดนั้นละลายไป
หนิงอวี้ควบม้าวิ่งตรงไปข้างกายเขา นางน้ำตานองหน้ามาแต่ต้น ทว่า เว่ยหยวนที่อยู่บนหลังม้ากลับไม่ได้บาดเจ็บหนักแต่อย่างใด มีเพียงบริเวณแขนที่มีรอยถากเล็กน้อย มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย
เว่ยหยวนนิ่งอึ้งกับที่อยู่นาน เขายกมือขึ้นหมายจะซับน้ำตาให้ แต่เขากลับถูกหนิงอวี้ปัดออกโดยพลัน เหตุการณ์ยากจะจัดการ แต่ในใจเขากลับยินดีอย่างยิ่ง หัวใจเต้นดังตุบ แทบจะเต้นทะลุทรวงอกออกมา
“เจ้าเป็นห่วงข้ามากเลยหรือ”
“ฮึ! พระองค์บาดเจ็บตรงไหนกัน”
หนิงอวี้แค่นเสียงหนึ่งที แต่ด้วยน้ำเสียงเบายิ่งนั้น จึงไม่ดูเหมือนเสียงโกรธ แต่กลับฟังดูออดอ้อน
นางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างรีบร้อน แล้วจ้องถมึงทึงไปยังเว่ยหยวนอย่างดุดัน เว่ยหยวนหัวเราะเบาๆ ยื่นมือไปขยำเรือนผมนาง กลับถูกหนิงอวี้ปัดออกอีกครั้ง
“ข้าได้รับบาดเจ็บจริงๆ” เว่ยหยวนยิ้มงามจรัสดั่งดวงตะวันฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม “เจ้าดูสิ บนแขนข้านี้ไม่ใช่หรอกหรือ”
“มั่วหลีบอกพระองค์บาดเจ็บ! หม่อมฉันคิดว่า…จะบาดเจ็บหนัก!”
หนิงอวี้พูดเสียงแผ่ว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนช่างบุ่มบ่ามเสียเหลือเกิน
มั่วหลีไม่ได้บอกว่าบาดเจ็บเช่นไร นางกลับเข้าใจว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนัก หากฮ่องเต้ทรงบาดเจ็บหนัก ต้องมีคนนับร้อยคอยอารักขามาส่งอยู่แล้ว ดีไม่ดีอาจใช้เกี้ยวแปดหาบพาตัวกลับมาส่งเสียด้วยซ้ำ แล้วจะทิ้งพระองค์ไว้ท้ายทัพได้อย่างไร
เมื่อสำนึกได้ว่าตนทำพลาดเอง หนิงอวี้ก็หน้าแดงไปจนถึงใบหู รีบพูดขึ้นมาว่า “ฮึ…โทษพระองค์นั่นแหละ!”
“ใช่ โทษข้า” เว่ยหยวนยอมรับหน้าชื่น ต้องโทษเขาจริงๆ นั่นแหละ
เขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย กลับสั่งให้มั่วหลีรีบควบม้าออกไปแจ้งเพียงลำพัง สั่งให้เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด สีหน้าเศร้าโศก ดูท่ามั่วหลีแสดงละครได้ไม่เลวทีเดียว ควรตบรางวัลให้อย่างงาม
ที่จริงแล้ว ก็แค่ยังไม่หายโกรธดี อยากให้อวี้เอ๋อร์ได้รู้ด้วยตัวเองถึงจิตใจอันกลัดกลุ้มกังวลนั้นสักครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่า นางกลับควบม้ามาหา ร้องไห้น้ำตานอง
ตอนที่ 322 ธารกำนัล
วันที่สองนับแต่ตีผานเฉิงแตก ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหนือก็ส่งทูตมาขอสงบศึก เพราะด้วยต้องปรึกษาหารืออยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ยากนักกว่าหนิงอวี้จะได้นอนหลับพักผ่อนบนเตียงเช่นนี้
นางหลับยาวจนตะวันขึ้นโด่ง ไม่มีผู้ใดกล้าทักท้วง หนิงอวี้พลันนึกถึงหงหลิงขึ้นมา หากนางอยู่คงต้องพล่ามบ่นให้นางตื่นแต่เช้าเป็นแน่ หากบิดารู้เข้า ต้องมายืนตะโกนอยู่หน้าประตูเรียกนางลุกขึ้นมาฝึกวิทยายุทธแน่นอน
น่าเสียดาย หนิงอวี้ส่ายหน้าช้าๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกกลัดกลุ้ม เมื่อคืนหิมะตกหนัก ออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีกว่า หนิงอวี้ยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นนั่ง ปล่อยให้สาวใช้ช่วยแต่งองค์ทรงเครื่อง
“วันนี้หิมะตกหนัก อยู่พักแต่ในกระโจมเถอะเพคะ”
สาวใช้หวีผมให้นางอย่างระมัดระวัง หนิงอวี้เลื่อนสายตาไปยังคันฉ่อง สาวใช้หยุดขยับแล้วหลบสายตา
เมื่อจัดแจงข้าวของเรียบร้อย หนิงอวี้ก็ลุกขึ้นแหวกม่านแล้วเดินออกไปนอกกระโจม พายุหิมะขาวโพลน ทำท้องฟ้ามืดมัว ทันใดนั้นหนิงอวี้ก็รู้สึกว่าตนหดเล็กลงกลายเป็นเพียงจุดดำเล็กจิ๋วเท่านั้น
“ได้ยินว่า ทูตของราชวงศ์เหนือคือองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เหนือหรือ เช่นนั้น นายพลหน้ากากผีก็คือรัชทายาทแห่งราชวงศ์เหนือน่ะสิ!”
“ใช่แล้ว ได้ยินว่าเขาคิดจะแต่งท่านนายพลหนิงเป็น…คารวะท่านนายพลหนิง”
พลทหารสองนายคุกเข่าลงกับพื้น กำลังตัวสั่นเพราะคำพูดจากปากพล่อยๆ ของตน
“ลุกขึ้นเถอะ”
หนิงอวี้ขมวดคิ้ว ที่แท้ทูตของราชวงศ์เหนือคือเขานี่เอง มิน่าเล่า เช่นนี้ที่สาวใช้สีหน้าอึดอัดก็มีเหตุผลอยู่
ท่ามกลางสายตาคนใต้หล้า ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเว่ยหยวนดูน่าเคลือบแคลง…หนิงอวี้ทอดถอนใจ ทั้งยังรู้ว่าเขากับนางเคยเติบโตมาร่วมกัน
นางไม่ควรออกมาจริงๆ…เมื่อวานนี้เว่ยหยวนได้เอ่ยเรื่องนี้ หมายความว่าเขาไม่อยากให้นางพัวพันกับมู่หรงเหยียน
นางเองก็ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรดี หนิงอวี้ยิ้มเศร้า นางแหวกม่านขึ้นกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ก็ได้ยินเสียง “นายพลหนิง” เสียงทุ้มต่ำอันคุ้นเคย เสียงนั้นดูแหลมดังด้วยความตื่นเต้น
หนิงอวี้สันหลังเย็นวาบ เมื่อหันกายกลับไปก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง คงเพราะเมื่อครู่นางครุ่นคิดจนลืมตัว จึงไม่ได้สังเกตเสียงฝีเท้าของพวกเขา
เว่ยหยวนสวมชุดสีเหลืองทองทั้งตัว ท่ามกลางฝูงชนดูสะดุดตายิ่งนัก หนิงอวี้สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที แล้วเดินเข้าไปแสดงความเคารพ
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
“ขุนนางที่รักลุกขึ้นเถิด”
น้ำเสียงมั่นคง เห็นได้ว่าเขาไม่ได้โกรธ ไม่รู้ด้วยเหตุใด นางกลับรู้สึกร้อนตัวเป็นอย่างมาก
หนิงอวี้ก้มหน้าลง ไม่กล้ามองหน้าเขา และไม่กล้ามองว่าผู้คนว่าเป็นเช่นไรอยู่
“แม้ท่านนายพลหนิงจะเป็นนายพลของราชวงศ์เรา แต่ยังเป็นคนที่เรารักด้วย อวี้เอ๋อร์โชคร้ายถูกจับตัว เป็นเพราะท่านสร้างเรื่องแสร้งเป็นแต่งนางเข้าวังจึงรอดมาได้ เรารู้สึกซาบซึ้งนัก”
มู่หรงเหยียนสวมหน้ากากบนหน้า ไม่เห็นสีหน้าเขาได้อย่างชัดเจนนัก นอกจากสายตาอันลุ่มลึกนั้น
“กระหม่อมกับนายพลหนิงรู้จักกันมานานหลายปี เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ไม่จำเป็นที่ต้องกล่าวถึง”
ด้วยประโยคที่ว่า “รู้จักกันมานานหลายปี” หน้ากากอันสุขุมของเว่ยหยวนพลันแตกร้าวในทันใด สายตาของเขาเลื่อนไปมองหนิงอวี้ที่กำลังจิกชายกระโปรงด้วยสีหน้าตื่นเต้นร้อนรนอย่างรวดเร็ว
เว่ยหยวนยกมุมปากยิ้ม วางท่าแสดงบารมีความเป็นจักรพรรดิ
“อีกไม่กี่วันต้องกลับนครหลวง คิดว่าคงต้องจากกันอีกนาน”
“พ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงเหยียนพูดแก้สถานการณ์ “กระหม่อมมีเรื่องที่อยากบอกกับท่านนายพลหนิง”
ทันทีที่ประโยคนี้พูดออกมา เสียงกระซิบพูดคุยก็เงียบลง เหลือเพียงเสียงลมที่พัดโหมผ่าน
“เราเป็นผู้ใหญ่ไม่ถือ” หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นอย่างประหลาดใจ กลับเห็นเว่ยหยวนใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับด้วยความเยือกเย็นเชือดเฉือน
หนิงอวี้นิ่งอึ้งกับที่คิดอะไรไม่ออก นี่หมายความว่าอย่างไรกัน หากหึงหวงก็ควรปฏิเสธนี่ แต่เขากลับเห็นพ้องด้วยแววตาเย็นยะเยือก เขากำลังยิ้ม แต่ก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณ”
เว่ยหยวนมองหลังทั้งสองพลางขมวดคิ้ว ขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งด้านข้างพูดแก้สถานการณ์ว่า “ดูไปแล้วท่านนายพลหนิงและรัชทายาทแห่งราชวงศ์เหนือรู้จักกันมานาน คงมีมิตรภาพที่ดีต่อกันไม่น้อย” เดิมทีเขาคิดเพียงพูดให้พร้องตามฮ่องเต้ จึงจงใจพูดคำว่ามิตรภาพออกมา
แต่การประจบเอาใจนั้นกลับให้ผลผิดคาด เว่ยหยวนกลับแค่นเสียงเยาะหนึ่งที
“ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี”