ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 325 ดอกไม้ในใจเบ่งบาน / ตอนที่ 326 กลับเมืองหลวง
ตอนที่ 325 ดอกไม้ในใจเบ่งบาน
หิมะปลิวทั่วฟ้า แต่ก็ไม่อาจกั้นความปารถนาที่จะกลับคืนเมืองหลวงอันเร่าร้อนของเหล่าทหารนายพล
ได้ยินว่าเว่ยหยวนและฮ่องเต้ราชวงศ์เหนือได้สัญญาสงบศึกแล้ว จากนี้คงสงบสุข ชายแดนเปิดให้ค้าขายได้อีกครั้ง ตอนแรกคิดว่าคงต้องโคลงเคลงตลอดเส้นทาง คิดไม่ถึงว่าบนเก้าอี้จะมีเบาะยัดฝ้ายรองเอาไว้ หนิงอวี้นั่งอยู่บนเบาะยัดฝ้าย พิงกายกับผนังรถม้าเคลิ้มหลับ
คงเพราะสะดุดกับก้อนหินเข้า รถม้าจึงหยุดลงฉับพลัน หนิงอวี้ซวดเซไปหนึ่งที ครั้นแล้วก็ตาสว่าง สาวใช้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้านข้าง โน้มกายเข้ามาประคองแขนนาง
ดอกไม้ไหวระย้าบนปิ่นปักผมสะบัดแกว่ง หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้วยื่นมือไปลูบหน้าผาก สาวใช้นางหนึ่งประคองแขนนาง อีกนางเห็นเพื่อนพยายามเอาใจ จึงตะคอกออกไปนอกประตูหนึ่งทีว่า “เจ้าบังคับรถม้าเยี่ยงไร ไม่รู้หรือว่าในรถคือท่านนายพลหนิง”
เสียงค่อยๆ เลือนไป ไม่รู้ว่านางพูดอะไรกับคนรถ หนิงอวี้ปล่อยมือลงแล้วส่ายหน้าช้าๆ สาวใช้ยอบกายคำนับแล้วถอยกลับไปนั่งยังที่
ม่านบนรถปลิวไหว สายลมอันหนาวเย็นพัดเข้ากลางรถ สาวใช้มุ่นหัวคิ้ว ยื่นมือไปหมายจะดึงม่านก็ได้ยินเสียงนายพลหนิงดังขึ้น “ไม่ต้อง”
ท่ามกลางลมหนาวที่โกรกเข้ามา เจือด้วยกลิ่นหอมของดวกบ๊วย นางนึกขึ้นมาได้ถึงเมื่อครั้งออกกำราบโจร เว่ยหยวนเด็ดดอกบ๊วยแดงให้นางกำหนึ่ง
บิดารู้ว่านางออกทัพ ยังเขียนจดหมายฉบับหนึ่งเพื่อกำชับนางเป็นพิเศษ ขุนพลหนิงที่แต่ไหนแต่ไรเคร่งคัดวินัยทหาร กลับกังวลเป็นห่วงบอกกับนางว่าหากสู้ไม่ได้ให้หนีเสีย มีเรื่องใดท่านจะช่วยออกหน้ารับ
ยังมี…หนิงเฝ่ย เขาเคยส่งข้าวของมานับสิบถุง จัดข้าวของทุกอย่างที่จำเป็นมาให้อย่างเป็นระเบียบ
หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้แล้วเลิกม่านรถม้าขึ้น ท่ามกลางหิมะขาวโพลนกว้างใหญ่ มีสีแดงกระจายประปราย มีสีเขียวแต้มแซมอยู่ท่ามกลาง บ๊วยแดงถูกกลบด้วยหิมะขาว เผยให้เห็นเป็นจุดเล็กๆ กระจัดกระจายสีสันสดใส
หัวใจเต้นตุบ หนิงอวี้พูดขึ้นเสียงดัง “หยุดรถ!”
รอยยิ้มพอประมาณบนหน้าสาวใช้เหือดไปทันใด นางอ้าปากกำลังจะเอ่ยคำ กลับเห็นนายพลหนิงเลิกม่านแล้วเดินออกไป
กระโปรงยาวสีแดงดุจเลือดลากกับพื้น หิมะขาวช่วยขับดุน ยิ่งทำให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น หนิงอวี้ย่างเท้าจมลงกลางหิมะเดินไปอย่างทุลักทุเล แววตานางกลับมิได้ฉายแววยากลำบากแม้แต่น้อย แต่ดวงตานั้นกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
มั่วหลีเห็นรถม้าของนายพลหนิงจอดก็ขมวดคิ้ว เมื่อทอดสายตามองออกไปก็เห็นจุดสีแดงจุดหนึ่งกำลังเคลื่อนที่อย่างลำบาก มั่วหลีย่นคิ้วหันศีรษะม้าออกวิ่งไปยังฮ่องเต้
วันนี้เว่ยหยวนสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำ คลุมเสื้อกันลมสีเงิน ใบหน้างดงามดั่งหยก แม้ว่าจะสีหน้าเยือกเย็น แต่ก็ยังคงดูงามสง่าดั่งคุณชายผู้มีสกุล การสู้รบเข่นฆ่าหลายวันมานี้ มิได้เพิ่มความดุดันให้เขาแม้แต่น้อย
“ฝ่าบาท! ท่านนายพลหนิงหยุดรถม้าพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยหยวนขมวดคิ้ว ยื่นมือไปดึงสายบังเ**ยนแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “นางทำอะไร…ส่งคนตามไป รับรองความปลอดภัยของนางให้ดี”
มั่วหลีพยักหน้ารับกำลังจะจากไป แต่ก็ถูกเขาเรียกขึ้น “เจ้าไปด้วยตนเองแล้วกัน เชิญนางกลับขึ้นรถม้าให้ได้”
มั่วหลีขี่ม้าดำออกวิ่งควบไปโดยเร็ว บนพื้นขาวสะอาดเต็มไปด้วยรอยกีบม้าเป็นสองทาง เว่ยหยวนมองบนพื้นหิมะอยู่ครู่หนึ่งแล้วแค่นเสียงออกจมูกหนึ่งที
เขารู้สึกว่าการที่ตนเองโกรธนั้นมีเหตุผลสมควรอยู่ แต่หนิงอวี้กลับมิได้สังเกตเห็นแม้แต่น้อย เว่ยหยวนขมวดคิ้ว แส้ยาวในมือตวัดขึ้นหนึ่งที เสียงดังขึ้น “เปรี๊ยะ” แล้วม้าก็ออกวิ่งตะบึงไป
ครู่หนึ่ง เมื่อมองออกไปไกลก็เห็นจุดสีแดงสดนั้นถูกคนกอดไว้ในอ้อมอก พริบตานั้นเอง ในใจก็พลันเดือดดาลขึ้นมาราวกับไฟลุกโหม หนิงอวี้ทำอะไรอยู่กันแน่!
เว่ยหยวนโกรธจัด เขาบังคับม้าออกวิ่งตะบึงไป หนิงอวี้เห็นเขามาก็เงยหน้ายิ้มหนึ่งที แต่นางกลับได้ยินเว่ยหยวนสอบถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าคิดทำอะไรอยู่กันแน่”
มั่วหลีได้ยินความโกรธที่เขาพยายามอดกลั้นเอาไว้อย่างชัดเจน ก็รีบปล่อยหนิงอวี้ลงอย่างรีบร้อน แล้วคุกเข่าลงกับพื้น
“เมื่อครู่กระหม่อมเห็นท่านนายพลหนิงกำลังจะล้ม จึงทำไปด้วยเหตุฉุกเฉินพ่ะย่ะค่ะ”
เช่นนี้ มั่วหลีคุ้มครองนายด้วยใจ ไม่มีความผิดแม้แต่น้อย เว่ยหยวนสะกดความโกรธแล้วเลื่อนสายตาไปยังหนิงอวี้ ทันใดนั้น ดอกไม้สีแดงช่อหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตา เสี้ยววินาทีนั้น ไฟโกรธที่ลุกโชติในจิตใจก็พลันดับสลายลงในพริบตา
“เอ้า ให้พระองค์เพคะ”
หนิงอวี้หัวเราะเบาๆ พลางยื่นดอกบ้วยแดงที่ยุ่งเหยิงมัดหนึ่งไปยังเว่ยหยวน
“หอมเหมือนกับที่พระองค์เคยเด็ดให้หม่อมฉันในวันนั้นเลยเพคะ”
ตอนที่ 326 กลับเมืองหลวง
“อากาศหนาว ไปเตรียมเตาผิงให้นายพลหนิง”
“เพคะ”
“อวี้เอ๋อร์ ชาหลงจิ่งพอดื่มได้หรือไม่”
“ก็ดีเพคะ”
“อวี้เอ๋อร์ ข้าสั่งห้องเครื่องให้ทำขนมกุ้ยฮวาซูแล้ว รอประเดี๋ยวก็คงมาส่ง”
“เพคะ”
มั่วหลีขี่ม้าอยู่ด้านข้าง มองดูฮ่องเต้ขี่ม้ากลับไปกลับมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง บนม้าสีขาวมีช่อดอกบ๊วยแดงถูกเชือกไหมมัดเอาไว้ เว่ยหยวนใบหน้าประดับยิ้ม คอยก้มลงสูดกลิ่นหอมของดอกไม้อยู่เป็นพักๆ
คนในชุดสีเหลืองทองจากไปได้ไม่นาน ไม่ทันไรก็บังคับม้าหันศีรษะหวนกลับมา เว่ยหยวนขี่ม้าควบขนานไปกับรถม้า เขาแหวกม่านแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “วิงเวียนบ้างไหม ห่างจากเมืองหลวงยังเหลืออีกสองลี้ ไม่สู้พักสักหน่อยหรือ”
หนิงอวี้ส่ายหน้า ยื่นมือขึ้นป้องปาก ตลอดทางที่รถวิ่งรู้สึกคลื่นไส้อยู่เล็กน้อย หนิงอวี้หน้าซีดเผือดแต่นางกลับส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
นางรู้ว่าเว่ยหยวนอารมณ์ไม่ดีแต่ไม่รู้ว่าด้วยเรื่องอันใด คงจะมีปัญหาจากการร่วมหารือกับราชวงศ์เหนือ ม่านรถถูกดึงลง เสียงฝีเท้าม้าดังไกลออกไป หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว อึดใจเดียวก็ค่อยๆ ยกมุมปากขึ้นยิ้ม รอยยิ้มนั้นดูอ่อนแอทีเดียว
นางไม่รู้ว่าจะแบ่งเบาความทุกข์ของเขาอย่างไร ทำได้เพียงเด็ดดอกบ๊วยแดงที่นึกขึ้นได้กะทันหันเท่านั้น โชคดีที่ใช้พอได้ผลบ้าง หนิงอวี้คิดไปพลางก้มหน้าไปพลาง นางยื่นมือไปยกชายกระโปรงขึ้น รอยเลือดรอยหนึ่งบนตาตุ่มก็ปรากฏสู่สายตา
“ท่านนายพลหนิง บ่าวจะไปตาม…”
“ไม่ต้อง”
หนิงอวี้ส่ายหน้าสีหน้าเรียบ หากเว่ยหยวนรู้เรื่องนี้ต้องโกรธที่นางบุ่มบ่ามเป็นแน่ ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะทำให้เขาสีหน้าเบิกบานขึ้นได้ จะให้บาดแผลน้อยนิดนี้มาทำให้เขาเสียอารมณ์ได้อย่างไร
วิงเวียนไปทั่วศีรษะ หนิงอวี้เอนกายเคลิ้มหลับ เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นก็เห็นหงหลิงร้องไห้น้ำตานองหน้า
“พระชายา ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว…”
“บ่าวคิดว่าท่านตายไปแล้วจริงๆ ฮือๆๆ”
หงหลิงสะอึกสะอื้นยื่นมือไปคว้าแขนนางเอาไว้ด้วยความแรงเพราะกลัวว่านางจะหายตัวไปอีก
หนิงอวี้ยังคงงุนงง เมื่อเห็นหน้านางแดงก่ำเช่นนั้นจึงได้สติหวนคืน ชั่ววินาทีมือก็ยื่นออกไปโดยสัญชาตญาณวางลงบนศีรษะนางอย่างแม่นยำ
“โอ๋ ไม่ต้องร้องไห้นะ”
“บ่าวจะร้อง หากท่านทิ้งบ่าวไปอีก บ่าวจะร้องไห้ให้น้ำตาท่วมเมืองหลวงเลยเพคะ” หงหลิงสองตาแดงก่ำจ้องถมึงทึงไปยังนางหนึ่งที ครั้นแล้วก็ก้มหน้าลงอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ท่านไม่ต้องการบ่าวแล้ว ใช่หรือไม่เพคะ”
“ข้าเปล่านะ”
“เช่นนั้นไยท่านมีชีวิตรอดกลับมาจึงไม่ส่งข่าวคราวมาบ้างเลยเล่าเพคะ”
หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว เดิมทีตั้งใจจะอธิบายแต่ก็ไม่อยากให้นางต้องมารู้เรื่องราวเหล่านี้ จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนพลางขยี้เรือนผมนาง
“ตอนนั้นข้าโดนปิดล้อม ไม่มีหนทางส่งข่าว ข้ารับรอง คราวหน้าจะแจ้งข่าวอย่างแน่นอน…”
“ห้ามมีคราวหน้า!” หงหลิงตะโกนขึ้นดัง เมื่อพูดจบถึงพบว่าตนทำเสียวินัย จึงก้มหน้าลงพูดพึมพำว่า “บ่าว…เป็นห่วงท่านเพคะ”
หนิงอวี้สังเกตเห็นความหวาดหวั่นของนาง ในใจก็รู้สึกวุ่นวายขึ้นมา นางปรับสีหน้าปล่อยมือที่กำลังขยี้ผมลง นางกุมมือหงหลิงด้วยมือทั้งคู่พลางประสานตากับหงหลิงแล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ในสายตาข้า เจ้าไม่เคยเป็นบ่าวไพร่เลย”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้ามาก คราวหน้าข้าจะระวังแน่นอน”
“เพคะ”
หงหลิงพยักหน้าอย่างน้อยใจแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งซับหน้าตา
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น ตัวหนึ่งสีขาวตัวหนึ่งสีดำกำลังควบเข้ามา หงหลิงช้อนตาขึ้นมอง น้ำตาที่หยุดไหลครั้นแล้วก็พลันพรั่งพรูลงมาอีกครั้งเมื่อเห็นมั่วหลี
เว่ยหยวนขี่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ โน้มกายลงเล็กน้อยยื่นมือขวามายังนาง หนิงอวี้ยิ้มตอบหนึ่งที นางเดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วยื่นมืออกไปวางบนมือเขา
ชั่วอึดใจเดียว นางก็อยู่ในอ้อมอกของเว่ยหยวนอย่างมั่นคง ผู้คนต่างจดจ้องด้วยสายตาอันอิจฉาหรือไม่ก็ประหลาดใจ แก้มทั้งสองของหนิงอวี้แดงระเรื่อ เว่ยหยวนกลับมีสีหน้าสุขุมนิ่ง
เว่ยหยวนโน้มกายลง ก้มหน้าประทับจุมพิตบนหน้านาง หน้าแดงระเรื่อยลามไปถึงใบหู หนิงอวี้ยื่นมือไปผลัก แต่เว่ยหยวนกลับยื่นมือไปกุมมือที่ผลักนั้นเอาไว้
“คนดี”
หว่างคิ้วร้อนผ่าวหนึ่งที หนิงอวี้ไม่ต้องเหลียวกลับไปมองก็รู้สึกได้ถึงสายตาอันเร่าร้อนของผู้คน คิดเพียงชั่วอึดใจ หนิงอวี้ตัดสินใจมุดลงกลางอกเขาแล้วยื่นมือออกไปดึงชุดคลุมเขามาบังตัวเองไว้
เว่ยหยวนก้มหน้าลงเห็นนางน่ารักว่าง่ายราวกับลูกแมวน้อยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ เขาตวัดแส้บังคับม้า ม้าร้องเสียงแหลมทะยานขึ้นกลางอากาศแล้วออกตะบึงห้อไปตามทาง