ยอดรักชายาอัปลักษณ์ - ตอนที่ 331 เพียงสองคนทุกภพทุกชาติ / ตอนที่ 332 ถอยโดยไม่สู้
ตอนที่ 331 เพียงสองคนทุกภพทุกชาติ
มุมหนึ่งของตำหนักเจียวหลานฟุ้งตลบไปด้วยธูปกำยานพวยควันขาวลอยขึ้นอยู่เป็นพักๆ หนิงอวี้ซุกตัวพักผ่อนอยู่บนแคร่สนม ด้านหลังฉากบังตาชุดหนึ่งนั้น เว่ยหยวนกำลังจัดการงานราชการอยู่
เมื่ออ่านฎีการายงานการทุจริตจบก็ยื่นมือไปหยิบเอกสารอีกฉบับขึ้นมา อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายอายุก็กว่าเจ็ดสิบแล้ว แต่ที่บ้านมีลูกสาวอายุน้อยกำลังอยู่ในวัยสมควรออกเรือน เป็นที่รู้กันทั่วเมืองหลวงว่าทุกวันต้องส่งฎีกามาทักท้วง ทั้งยังส่งมาอย่างตรงเวลาด้วย
เว่ยหยวนอ่านคำพูดทัดทานที่กล้าหาญสัตย์ซื่อนั้นอย่างละเอียด เขาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวว่าฮองเฮากลับมาทั้งกำลังมีครรภ์ไม่อาจปรนนิบัติได้ สถานการณ์ปัจจุบันมั่นคงแล้ว ชายแดนสงบสุข จึงควรคิดเรื่องพระราชโอรส ควรสรรหาบุตรีจากตระกูลใหญ่ทั้งหลายเพื่อคัดหญิงงามเข้าวังหลัง
เว่ยหยวนกวาดสายตามองเนื้อหาในฎีกาปราดหนึ่งจึงวางฎีกานั้นลงกับโต๊ะ เขาวางมือลงบนหยกประดับบนเอวแล้วสีมือ สัมผัสนั้นช่างอ่อนโยน
เขาเอนกายพิงไปบนพนักเก้าอี้ ชำเลืองขึ้นมองไปยังลายปักร้อยปักษีเฝ้าพญาหงส์บนฉากบังตาเงียบๆ ไม่ส่งเสียง ตามหลักแล้ว เขาควรใส่ใจคัดเลือกหญิงสาวจากตระกูลสูงเข้าวัง เพื่อรักษาอำนาจทุกด้านเอาไว้ แม้จะเพียงแค่ใช้เป็นดอกไม้ประดับแจกัน ก็ยังดีกว่าวันๆ ต้องมาอ่านฎีกาตามรบเร้าเช่นนี้
ทว่าเขากลับไม่ยินยอม เขาไม่อยากให้อวี้เอ๋อร์คิดฟุ้งซ่าน ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวอุทาหรณ์ของมารดายังคงอยู่ต่อหน้าเขา
วันที่อวี้เอ๋อร์ช่วยเขาในวันนั้น เขาตะลึงงันกับกระโปรงแดงอันงดงามของนาง นับแต่นั้นช่วงที่คอยแอบติดตามนาง ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่เขาคิดว่าหากวันหนึ่งได้กอดนางไว้ในอก จะรักใคร่เอ็นดูนางแต่ผู้เดียว มีเพียงสองคนทุกภพทุกชาติไป
เสียงคลอเพลงเสียงหนึ่งดังแว่วมาจากนอกฉากบังตา ครั้นแล้วก็เปลี่ยนเป็นเสียงพลิกตัวในทันใด เว่ยหยวนมุมปากประดับยิ้ม ลุกขึ้นเดินผ่านฉากบังตาไปช้าๆ
หนิงอวี้วางมือหนึ่งลงบนท้องน้อยที่นูนขึ้น มืออีกข้างวางบนที่พักแขนอย่างอ่อนแรง ผ้าห่มไหมบางร่วงลง ครึ่งหนึ่งพาดอยู่บนแคร่สนม อีกครึ่งร่วงอยู่กับพื้น
เว่ยหยวนย่อเข่านั่งลงเก็บผ้าห่มไหมบางแล้วกางมันออกคลุมกายนาง เขานั่งยองกับพื้น ยื่นมือไปทัดปอยผมนางไว้หลังหู
หนิงอวี้หลับอย่างสนิท มุมบางยังคงประดับยิ้มบางๆ เว่ยหยวนใบหน้าอ่อนโยนขึ้น ก้มหน้าลงประทับจุมพิตร้อนเร่าลงบนหน้าผากนางแล้วกดเสียงต่ำพูดขึ้นว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
——
สายลมกลางฤดูร้อนโชยผ่าน ใบบัวทั่วทั้งสระต่างไหวอยู่ไม่หยุด ดูราวกับลูกคลื่นสีเขียวที่พัดขึ้นลง ผิวน้ำกระเพื่อมไหว ปลาหลีฮื้อยื่นหน้าพ้นผิวน้ำขึ้นมาเป็นพักๆ คอยพ่นฟองน้ำออกมาสองสามฟอง
หนิงอวี้ดื่มน้ำแกงไก่ต้มโสมจนหมดภายใต้การจับตามองของหงหลิงแล้วลุกขึ้นนั่งชันเข่าบนเก้าอี้กลางศาลา สาวใช้เดินเข้ามาสองสามก้าวเพื่อเก็บถ้วยชามแล้วจัดขนมหวานขึ้นวางแทน
หงหลิงเห็นท่านั่งของนางดูไม่งามจึงกระแอมเพื่อเตือนเบาๆ หนึ่งที หนิงอวี้ได้สติก็ลุกขึ้นยืนพลางยื่นมือไปหยิบตลับไม้ด้านข้างขึ้นมา
ในตลับไม้มีอาหารใส่ไว้จนเต็ม หนิงอวี้ยื่นมือไปโปรยหนึ่งกำ อาหารปลาร่วงสู่กลางน้ำ ปลาหลีฮื้อนับไม่ถ้วนมุดน้ำขึ้นมา มีทั้งสีทอง สีขาวล้วน สีแสดแดง ไม่ก็สองสีตัดสลับกัน กลางน้ำราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง สีสันหลากหลายดาษดื่นตา
ทันใดนั้น ฝูงปลาก็เปลี่ยนทิศทางแหวกว่ายไปออกไปไกล หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมองก็เห็นอีกฝั่งไกลออกไปนั้นมีหญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ แม้จะเห็นหน้าไม่ชัดแต่ด้วยรูปร่างอันสะโอดสะองเรียวบางนั้นต้องเป็นหญิงงามนางหนึ่งอย่างแน่นอน
ในวังไม่มีไทเฮา ทั้งไม่มีองค์หญิง หากมีบุตรีตระกูลขุนนางใดมาก็ควรมาถวายคารวะนาง แต่คนผู้นี้มาจากที่ใดกัน หนิงอวี้ขมวดคิ้วยื่นมือหยิบตลับไม้โยนลงกลางน้ำ
เสียงดังขึ้น “ตูม” หนึ่ง ครั้นแล้วฝูงปลาต่างว่ายหนีกระเจิง หงหลิงลุกขึ้นยืน ใบหน้าประดับยิ้ม
“ไปเชิญแม่นางผู้นั้นมา”
นางกำนัลคุกเข่าอยู่บนพื้น มองหน้ากันไปมาอย่างระวัง ครั้นแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งก้าวสั้นไปยังที่แห่งนั้น
หนิงอวี้เห็นนางกำนัลไปไกลแล้วก็พูดขึ้นเสียงเบา “ไม่ต้อง”
หงหลิงสั่งให้ผู้คนถอยไปสามก้าวแล้วรีบเดินเข้าไปกระซิบข้างหูนางว่า “ตอนนี้ในราชสำนักขุนนางน้อยใหญ่ต่างยื่นฎีกาเสนอให้รับสนมเข้าวังหลังเพคะ คนผู้นี้มาปรากฏอย่างไม่รู้ที่มา เกรงว่าคงมีเป้าหมายไม่บริสุทธิ์แน่เพคะ”
ตอนที่ 332 ถอยโดยไม่สู้
หนิงอวี้จ้องตานาง ครั้นแล้วก็หลุบสายตาลงมองรองเท้าปักลาย พักใหญ่จึงพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “นี่เป็นเรื่องจนปัญญาที่จะปฏิเสธได้”
ต่อให้เป็นเพียงการถ่วงดุลอำนาจ แต่วังหลังยังต้องมีสาวงามถึงสามพันนาง มิหนำซ้ำสายเลือดจักรพรรดิจำต้องสืบทอดขยายเชื้อสายออกไป แต่โบราณมา รัชทายาทคือเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่ระดับต้น
นางไม่รู้ว่าในใจเว่ยหยวนคิดเช่นไรและไม่กล้าที่จะสืบค้น นางไม่อาจปฏิเสธไม่ยอมรับ หนึ่งเหตุผลที่จิตใจว้าวุ่นช่วงตั้งครรภ์นี้ก็คือกลัวว่าเขาจะแต่งสนมเข้าวัง
เรื่องนี้ นางไม่กล้าเอ่ยกับเขา แม้กระทั่งตกดึกค่ำคืนนึกขึ้นมาก็ต้องเตือนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่านี่ไม่ถูกต้อง การมีอนุน้อยใหญ่เป็นเรื่องสามัญ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้
เสียงฝีเท้าดังขึ้น หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นมอง มุมปากยกยิ้มน้อยๆ ดูงดงามและภูมิฐานไม่น้อย ชายกระโปรงแดงลากกับพื้นราวกับดอกแปะเจียกที่เบ่งบาน
สาวงามเบื้องหน้ารูปงามสะคราญ สวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าน้ำทะเล บนศีรษะปักดอกโบตั๋นขาวไว้ดอกหนึ่ง นางเดินมาจนถึงหน้าโต๊ะแล้วยอบกายคำนับอย่างสุขุม แววตากลับดูน่ารักมีชีวิตชีวา
“ซือเย่ว์ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ”
รอยยิ้มมุมปากหนิงอวี้เหือดไป นางพยายามปั้นหน้ายิ้มอีกครั้งแต่กระเทือนเข้ากับรอยแผลยาวบนหน้า หนิงอวี้มองไปยังดวงหน้าขาวผ่องสว่างดั่งเนื้อหยกของนาง รอยยิ้มพลันดูเจื่อนอย่างเต็มประดา
“ลุกขึ้นเถอะ”
หงหลิงเห็นหนิงอวี้ยิ้มเจื่อนก็รู้ว่านางกำลังเศร้าใจ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กำลังจะไม่ดีก็รีบเดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วพูดขึ้นเสียงดัง
สาวน้อยลุกขึ้นอย่างเรียบร้อยเป็นระเบียบ ในแววตากลับไม่อาจซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไว้ได้ หนิงอวี้พยายามปั้นยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “นั่งสิ” ซือเย่ว์หรือ ดูเหมือนนางจะเป็นบุตรีตระกูลสูงเป็นแน่
“ซือเย่ว์ขอบพระทัยฮองเฮา”
“เดิมทีซือเย่ว์ตั้งใจจะมาถวายบังคมฮองเฮาก่อน แต่เห็นว่าตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว ซือเย่วคิดว่าพระองค์กำลังบรรทมกลางวันเพคะ”
“อืม”
ชายกระโปรงกระตุกไหวเบาๆ หนิงอวี้ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองก็รู้ว่าหงหลิงกำลังร้อนใจอย่างยิ่ง อันที่จริงนางสามารถโยนหินถามทางสอบถามว่านางเข้าวังด้วยเหตุใด
แต่ทันทีที่เห็นหน้านางก็รู้สึกอายความงามของตนที่สู้นางมิได้ ซือเย่ว์กำลังอยู่ในวัยงามเปล่งปลั่งดูสดใสร่างเริงน่ารัก กิริยาท่าทางยังคงมารยาท แต่นางเล่า บนหน้ามีรอยแผลยาว นิสัยใจคอมุทะลุดุดัน
ต่อหน้ากองทัพนับพันหมื่น นางไม่เคยก้าวถอยแม้เพียงครึ่งก้าว แต่ต่อหน้าสาวงาม นางกลับถอยหนีไม่สู้ ในใจหนิงอวี้รู้สึกขื่นขมแต่ยังคงยืนอยู่ด้วยใบหน้าสุขุมนิ่ง นางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ดอกบัวหน้าร้อนชูก้าน ซือเย่ว์ค่อยๆ เชยชมเถิด”
“ซือเย่ว์ส่งเสด็จฮองเฮา”
หนิงอวี้หันกายกลับ จังหวะเดินสุขุมสง่า มีเพียงมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเท่านั้นที่สั่นเทิ้มอย่างอดมิได้
หงหลิงขมวดคิ้ว เดิมทีตั้งใจจะเอ่ยปากแต่เมื่อเห็นแขนเสื้อนางกระตุกอยู่เบาๆ จึงยกมือขึ้นคว้ามือนางเอาไว้แน่นแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ฮองเฮาเพคะ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ห้องทรงอักษรหน่อยดีกว่าหรือเพคะ”
มือที่กุมแน่นสั่นเบาๆ หนิงอวี้ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “กลับตำหนัก” ความหมายของหงหลิงนั้น นางเข้าอย่างยิ่ง ทว่า นางเกิดไม่มีความกล้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น
หากเว่ยหยวนเห็นด้วยกับเรื่องนี้นางควรทำอย่างไรดี หรือนางต้องม้วนเสื่อกลับบ้านดี แต่หากต้องอยู่ต่อ นางก็คงอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคงต้องค่อยๆ ตายไปทีละนิดแน่
ชาติก่อน นางต้องคอยวนเวียนอยู่กับหญิงสาวนับไม่ถ้วน พยายามแย่งชิงความรักส่วนที่ใหญ่ที่สุด แต่มาชาตินี้ นางไม่อยากเป็นเช่นนั้น การปรากฏตัวของเว่ยหยวน คำพูดของเขา ยืนยันรับรองว่านางจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวของเขา
แต่ถ้าหากเขาเปลี่ยนใจเล่า การร่วมหัวลงโรง บางครั้งยังเทียบมิได้กับรอยยิ้มเพียงครั้งเดียวของสาวงาม หนิงอวี้หยุดฝีเท้า มองเหม่อไปยังแปลงดอกไม้ ดอกไม้กลางแปลง ดอกโบตั๋นขาวดอกหนึ่งกำลังบานสะพรั่ง ดอกแปะเจียกอีกดอกนั้นกลับกำลังร่วงโรย
“ใครก็ได้ มาขุดโบตั๋นขาวต้นนี้ไปทิ้ง!”
หงหลิงมุ่นหัวคิ้วโบกมือสั่งกำชับนางกำนัล หนิงอวี้กลับส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ไม่ต้อง”
ไม่มีดอกโบตั๋นขาวก็ยังมีกุหลาบเลื้อยสีม่วง ไม่มีกุหลาบเลื้อยสีม่วง ก็ยังมีดอกไม้อื่นอีก
บางที ควรไปจากที่นี่หรือไม่ หนิงอวี้ยื่นมือไปลูบท้องน้อยแล้วถามอย่างเงียบเชียบ “เจ้าอยากไปกับแม่หรือไม่ รออีกหน่อยนะ”